บทที่ 133 งานประมูลหมู่เมฆ (5)
หลังจากได้ปะการังใยสาหร่ายมาแล้ว ซูเฉินก็ประมูลของมาอีก 5 ชิ้น เป็นสร้อยข้อมือทองคำ มีดบินหนึ่งชุด ผลึกแก้วต้นกำเนิดอสูรไฟโลกันตร์ ผลึกแก้วต้นกำเนิดอสูรเยือกแข็ง และอาวุธอีกชิ้นหนึ่ง
สร้อยข้อมือทองคำเครื่องมือต้นกำเนิดประเภทป้องกัน แต่ไม่ใช่ทั้งเกราะพลังหรือเกราะร่าง เป็นของที่ใช้ป้องกันได้ต่างหาก ใช้มันโยนออกไปแล้วมันจะลอยในอากาศ คอยป้องกันการโจมตีได้ และเมื่อถึงขีดจำกัดมันก็จะร่วงลงพื้นเอง
ส่วนมีดบินทุกเล่มในชุดก็มีค่ายกลซับซ้อนอยู่ภายในตัวมีด เมื่อซัดใส่ศัตรูจะสามารถปลดปล่อยพลังเทียบเท่าได้กับพลังซัดเต็มกำลังของคนด่านสู่พิสดารแท่นบงกช 5 แท่น มันทรงพลังมาก แต่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ส่วนผลึกแก้วต้นกำเนิดอสูรไฟโลกันตร์และผลึกแก้วต้นกำเนิดอสูรเยือกแข็งนั้นใช้เป็นของเสริมยามใช้วิชาประเภทเพลิงและน้ำแข็ง เหมาะจะใช้เสริมวิชาโบราณอาร์คาน่าของซูเฉินนัก
และอาวุธนั้นคือดาบหั่นภูผาระดับ 6 เครื่องมือต้นกำเนิดที่เป็นอาวุธทำลายล้าง แม้คุณสมบัติจะไม่ตรงตามอย่างที่เขาคาดคิด แต่ก็ยังนับว่าใช้ได้
ของแต่ละชิ้นในนี้ต่างก็หายากเป็นสมบัติล้ำค่าทุกชิ้น
ซูเฉินนับว่ามากวาดของในงานประมูลไปก็ไม่ผิด ทำให้คนอื่น ๆ ได้แต่จนใจ
หลังจากประมูลของมาได้แล้ว ยาปลุกสายเลือดระดับสูงที่กู่ชิงลั่วและคนอื่น ๆ ตั้งตารอมานานก็ปรากฏขึ้นในที่สุด ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ไม่มีราคาขั้นต่ำตั้งไว้
อย่างที่กู่ชิงลั่วว่าไว้ ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องการยานี้เช่นกัน พอมันปรากฏขึ้นคนก็แย่งกันเสนอราคา ไม่นานราคาก็พุ่งไปที่ 1.8 ล้าน
นับเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับซูเฉินมาก
ยาปลุกสายเลือดระดับสูงเป็นยาสำหรับนักปรุงยาระดับปรมาจารย์ ตามระดับยาแล้วควรจะมีราคาเพียงไม่กี่แสน ไม่มากไปกว่า 1 ล้านแน่นอน
หากแต่ในการประมูลครั้งนี้ ยาปลุกสายเลือดระดับสูงขวดนี้กลับทำลายขีดจำกัดทั้งหลาย ราคาทะลุล้านไปแล้ว อย่างน้อยในเรื่องราคาของมันก็เทียบเท่าได้กับยาจากนักปรุงยาระดับตำนานไปแล้ว
“ทำไมเป็นเช่นนี้ได้เล่า ? ก็แค่ยาขวดหนึ่งเท่านั้น” ซูเฉินว่า
“มันเอาไปใช้ได้หลายอย่างมาก พอสายเลือดทรงพลังแรกเริ่มตื่นขึ้นแล้วพลังแฝงก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ปกติราคายาจะมีพื้นฐานมาจากวัตถุดิบทำยานั้น ๆ และวิธีการทำว่ายากหรือไม่ ไม่ใช่ประโยชน์ของตัวยา แต่ผลของยาปลุกสายเลือดระดับสูงนั้นเหนือกว่าราคาวัตถุดิบมาก และเมื่อรวมกับกระบวนการปรุงยาที่ยากพอสมควร ราคาจึงทะลุราคาปกติไปโดยง่าย ปกติแล้วจะมี ‘กฎ’ ที่นับว่ารู้กันอยู่มากมาย แต่กฎเหล่านั้นก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน”
ซูเฉินเข้าใจทันที ยกตัวอย่างเช่น คนด่านทะลวงลมปราณนั้นแกร่งกว่าด่านกลั่นโลหิต เป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไป แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะหรือ ? ก็ยังมีคนมีสายเลือดทรงพลังที่ก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้นได้ เอาชนะคนที่มีด่านพลังสูงกว่าได้อยู่ดี
ตัวเขาเองก็เช่นกัน
หากไม่ใช่ว่าคนที่ปลุกสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลขึ้นมาจำต้องเดินทางไปยังภูผาสูญ คนทั้งหลายก็คงยอมจ่ายเป็นพันล้านเพื่อยาปลุกสายเลือดระดับสูงเพียงหนึ่งขวดเพื่อนำมาใช้ปลุกสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลอันทรงพลังในร่างตนแล้วกระมัง
เช่นนั้นยาปลุกสายเลือดก็นับเป็นหนทางหาเงินที่ดีไม่ใช่ย่อยเลยไม่ใช่หรือ ?
ซูเฉินพลันฉุกคิดบางอย่างได้
ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคิดว่าการปรุงยาขายนั้นเสียพลังมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่คิดอยากทำ แต่หากมียาที่สามารถขายได้กำไรนับสิบเท่าจากต้นทุนแล้วละก็ เช่นนั้นก็น่าลงมืออยู่ เพราะอย่างไรตอนนี้เขาก็ได้ลืมรสชาติหอมหวานของการมีเงินตรามาแล้ว
คิดได้ดังนั้น เขาก็เสนอราคาออกไป “3 ล้าน !”
เมื่อราคายาปลุกสายเลือดแตะ 1.2 ล้าน กู่ชิงลั่วก็ไม่เสนอราคาไปอีก
นั่นเพราะเงินที่ผู้อาวุโสให้มานั้นมีไม่พออีกต่อไป
ในเมื่อมีเงินไม่พอก็นับว่าภารกิจล้มเหลว เคราะห์ดีที่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องของทั้งตระกูล ดังนั้นภารกิจนี้จึงเป็นหน้าที่เพื่อคน ๆ เดียว จึงไม่มีใครใส่ใจอะไรมากนัก
ดังนั้นเมื่อซูเฉินเสนอราคาออกไป กู่ชิงลั่วก็จ้องเขาสายตาตกตะลึง “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่ต้องช่วย”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้ารู้ ข้าเพียงอยากได้ยามาใช้เอง”
“ทำการทดลองหรือ ?” กู่ชิงลั่วเข้าใจเข้าไม่น้อย
“อืม” ซูเฉินพยักหน้า “หากมีเหลือก็สามารถมอบให้ผู้อาวุโสตระกูลเจ้าได้”
กู่ชิงลั่วปิดปากหัวเราะ “เช่นนั้นก็ขอบคุณแทนท่านผู้อาวุโสด้วย”
ยาปลุกสายเลือดระดับสูงขวดหนึ่งราคา 3 ล้านนั้นนับว่าแพงมหาศาลแล้ว เมื่อคิดถึงการใช้เงินก่อนหน้านี้ของเขา จึงไม่มีใครกล้าเสนอราคาสูงกว่านี้อีก ซูเฉินจึงได้ยาปลุกสายเลือดมาครอง
ทันทีที่ยาถูกส่งมาให้เขา ซูเฉินก็เปิดขวดออกมาดมกลิ่นทันที “หญ้าไหมทอ มณีเลือด แก่นพลังต้นกำเนิดจิ้งจอกทมิฬ เกล็ดหมึกกระดองทะเลแดง……”
เขาค่อย ๆ ร่ายวัตถุดิบยาแต่ละอย่างออกมาเรื่อยราวกับรู้จักเป็นอย่างดี ทำเอาคนรอบข้างได้แต่มองตาค้าง
หากแต่รู้วัตถุดิบแล้วยังไม่พอ ยังต้องหาวิธีปรุงมันรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งต้องมีการทดลงและผิดพลาดกันบ้าง ซูเฉินจะรายการวัตถุดิบต่าง ๆ แล้วส่งให้กู่จิ่นถัง “เรากลับไปแล้ว ท่านช่วยข้าหาของเหล่านี้ที”
“เข้าใจแล้ว” กู่จิ่นถังพยักหน้ารับทันที
เดี๋ยวก่อน เขาไปเป็นลูกน้องของซูเฉินตอนไหนกัน ?
แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็พบว่าเป็นคนทำธุระให้อีกฝ่ายก็ไม่แย่เสียทีเดียว พวกสาวใช้ก่อนหน้านี้ก็ได้ไม้เท้าอสรพิษห้วงฝันผวาไปไม่ใช่หรือ ? หากเขาทำหน้าที่ได้ดีต้องได้รางวัลอย่างงามเป็นแน่
โดยไม่ทันรู้ตัว นายน้อยผู้เย่อหยิ่งจึงไม่คิดโอ้อวดอะไรอีก ยอมสยบแด่ซูเฉินโดยสมบูรณ์ สำหรับใครที่มีสหายที่ใช้เงิน 3 ร้อยล้านได้ภายในไม่กี่วัน พวกเขาเองก็คงยอมคุกเข่าให้เช่นเดียวกัน !
ใครไม่ทำก็โง่แล้ว
ของประมูลชิ้นต่อไปคือแท่งชาไอพิสุทธิ์
ชาไอพิสุทธิ์นั้นเป็นชามีชื่อ รสชาติกลมกล่อมเข้มข้น ดื่มแล้วรสติดในลำคอ ที่น่าแปลกคือเมื่อดื่มมันติดต่อกันจะช่วยยืดอายุขัยได้ ทั้งยังเพิ่มพลังจิตได้อีกต่างหาก
ซูเฉินรู้ว่าฉือไคฮวงใช้ชีวิตเรียบง่าย นอกจากดื่มชาแล้วก็ไม่มีงานอดิเรกอื่นใดอีก
หากเขามอบของอะไรให้ฉือไคฮวง อีกฝ่ายก็อาจไม่ชอบ แต่เขาต้องชอบชาไอพิสุทธิ์เป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงประมูลมันมา วางแผนว่าจะใช้มันทำตัวเป็นศิษย์ที่ดีเสียหน่อย
หลังซื้อชาแท่งนั้นมาแล้ว การประมูลก็มาถึงจุดสิ้นสุด
ของชิ้นสุดท้ายถูกนำออกมาวางไว้บนแท่น มันเป็นกล่องไม้ดูน่าประหลาดที่ภายในมีหนังสัตว์บางอย่างอยู่
ผู้ดำเนินการประมูลกำล่าวแนะนำ “เราได้หนังสัตว์อสูรตัวนี้มาเมื่อ 30 ปีก่อน เราไม่รู้ว่าเป็นหนังของอสูรกายตัวไหนกันแน่ แต่มันเก่ามาก ราวกับเป็นเศษซากที่เหลือจากอารยธรรมโบราณ มันทั้งเหนียวทั้งทนทาน กันได้ทั้งน้ำและไฟ หากขาดก็จะเชื่อมติดกันเองได้ นับเป็นของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง แต่มีตำหนิใหญ่คือ มันไม่อาจแยกกับตัวกล่องนี้ได้ หากเอามันออกไปก็จะเริ่มเสื่อมสลาย เราพยายามเฉือนมันออกมาใช้หลากหลายวิธี แต่ก็ไร้ผล เดิมทีมันมีขนาดราว 3 จั้ง แต่หลังจากที่เราทำการค้นคว้ามาทุกอย่างแล้วก็เหลือเพียงเท่าที่ทุกท่านเห็นขอรับ”
ทุกคนพากันหัวร่อ เศษหนังเหลือ ๆ ชิ้นนี้มีขนาดเพียงถังล้างหน้าเท่านั้น ศาลาหมู่เมฆเสียเวลาศึกษามันไป 30 ปี ได้แต่เปลี่ยนมันจากสมบัติล่ำค่าเป็นขยะไร้ค่าไปแทน สุดท้ายจึงนำออกประมูลเพราะหาประโยชน์ไม่ได้อีก
“มันมีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร เราจึงไม่อาจตั้งราคาหรือตัดสินได้ว่าจะเอาไปใช้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีราคาเริ่มต้น หากสหายท่านใดสนใจก็เชิญประมูลได้เลยขอรับ”
“หินพลังต้นกำเนิดร้อยก้อน” คนหนึ่งเสนอขึ้น
ศาลาหมู่เมฆใช้เวลา 30 ปีศึกษามันแต่ไร้คำตอบ อีกทั้งมันยังเหลือเพียงนิดเดียว จึงไม่มีใครคิดว่าจะเอามันไปใช้ทำอะไรได้อีก
แต่ในเมื่อหนังชิ้นนี้ทนไฟทนน้ำทั้งยังทำลายยาก อีกทั้งยังมีเรื่องราวที่ศาลาหมู่เมฆเฝ้าศึกษามันอยู่นานถึง 30 ปี ทำให้หากประมูลสมบัติชิ้นนี้ไปดูฟังดูไม่เลวนัก
หลายคนมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาจึงเริ่มเสนอราคาเรื่อย ๆ ไม่นานราคาก็แตะถึงหมื่น
คนที่มาร่วมประมูลอย่างไรก็ไม่ใช่คนจน ใช้เงินนับหมื่นเพื่อประมูลเอาของที่ระลึกมีประวัติศาสตร์เพื่อเอาไว้ดูเล่นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก
หากแต่ถ้ามันราคาสูงกว่านี้ก็คงต้องคิดหนักหน่อย
ซูเฉินยกมือขึ้น “3 หมื่น”
กู่จิ่นถังชะงักไป “พี่ซูอยากได้มันหรือ ?”
“อืม ข้าจะเอาไปทำเบาะ” ซูเฉินตอบหน้านิ่ง เขามีเนตรมองโลกจุลภาค ทำให้มองเห็นความลึกลับมากมายที่คนอื่นไม่เห็น ดังนั้นเขาจึงชื่นชอบในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ อีกทั้งนี่ยังเป็นสมบัติที่เหลือมาจากยุคอาร์คาน่าอีกด้วย
เขามีผ้าเท่อลั่วเค่ออยู่ ก็นับว่าราวกับมีสารานุกรมเดินได้ติดตัวอยู่ตลอด
อย่างไรงานประมูลเช่นนี้ก็หาไม่ง่าย หากไม่ชิงเอาของดีมาสักหน่อยแล้วจะมางานประมูลเพื่ออะไรกัน จริงไหม ?
——————-