บทที่ 134 หนังสัตว์อสูร
ยามได้ยินคำซูเฉิน กู่จิ่นถังก็หน้าตึงไปเล็กน้อย ใช้หินพลังต้นกำเนิดหมื่นก้อนเพื่อซื้อหนังมาทำเบาะหรือ ? พี่ชาย ระดับความเสแสร้งของท่านยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
แต่พอคิดดูแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เสแสร้งสักนิด
สำหรับซูเฉินแล้ว หินพลังต้นกำเนิดหมื่นก้อนไม่นับเป็นอะไรจริง ๆ
หลังจากสู้ราคากันสองรอบ ซูเฉินก็ได้มันมาครองในราคา 7 หมื่น
นับเป็นของชิ้นสุดท้ายที่เขาประมูลมาได้ในงานนี้
หลังจากได้มันมาแล้ว เขาก็ใช้เนตรมองโลกจุลภาค แล้วเริ่มตรวจสอบหนังผืนนั้นทันที ทำให้ชายหนุ่มพบว่ามันมีส่วนประกอบของจุลชีพอยู่นับไม่ถ้วน ถักทอกันแน่นหนาจนกลายเป็นชั้น เป็นภาพแปลกประหลาดจนไม่อาจอธิบายได้
กระทั่งใช้นัยน์ตานั้นแล้ว เขาก็ยังไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ได้แต่เก็บงำความสงสัยแล้วเก็บแผ่นหนังกลับไปเท่านั้น
หลังจากรวบรวมของที่ชนะการประมูลมาได้แล้ว ทุกคนก็เดินทางกลับศาลาลมลอยเลื่อน
และด้วยได้ของมาไม่น้อย ทุกคนจึงต่างคนต่างกลับห้องตนไปเล่นกับ ‘ของเล่นใหม่’
กู่ชิงลั่วไม่ได้เอาของที่ซูเฉินมอบให้มาลองเล่น แต่นางกลับกำลังถือเข็มร้อยด้ายอยู่รอบปะการังใยสาหร่าย นางกำลังปักสมบัติชิ้นนี้อยู่นั่นเอง
ในขณะที่กู่ชิงกำลังปักมันให้ซูเฉิน ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้นั่งเฉยเช่นกัน
ภายใต้แสงจากโคมไฟ เขาจ้องแผ่นหนังในมือนิ่ง ผ้าเท่อลั่วเค่อเองก็อยู่ข้างกายเขา
“ท่านรู้ไหมว่ามันคืออะไร ?” ซูเฉินถามขึ้น
ผู้ดำเนินงานบอกว่ามันเป็นสมบัติโบราณ ดังนั้นจึงมีแต่ผ้าเท่อลั่วเค่อที่อาจรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
ผ้าเท่อลั่วเค่อพินิจมันอยู่ชั่วขณะ “หากข้าจำไม่ผิด กล่องนี่น่าจะเป็นกล่องเพาะพันธุ์”
“กล่องเพาะพันธุ์ ?”
“ถูกต้องแล้ว เอาไว้เพาะจุลชีพ แต่เพราะมีสภาพการณ์ที่ประหลาดสักหน่อย พอขาดอาหารพวกมันก็จะไม่เคลื่อนไหว จริง ๆ แล้วหนังสัตว์อสูรชิ้นนี้เป็นรูปร่างอำพรางตาของจุลชีพพวกนี้ต่างหาก”
ได้ยินดังนั้น ซูเฉินก็อดรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้
เมื่อใช้เนตรมองโลกจุลภาคตรวจดูแล้วก็ไม่ต่างจากที่ผ้าเท่อลั่วเค่ออธิบายไว้ หนังแผ่นนี้ประกอบไปด้วยจุลชีพนับไม่ถ้วน ดังนั้นมันจึงแยกออกจากกันไม่ได้ และเมื่อถูกแยกออก จุลชีพพวกนี้ก็จะขาดสิ่งหล่อเลี้ยง สุดท้ายก็จะตายลงในพริบตา
“แล้วเพาะจุลชีพพวกนี้ไปเพื่ออะไรหรือ ?” ซูเฉินถามอีก
“นานมาแล้ว การเพาะจุลชีพเหล่านี้เป็นที่นิยมในอาณาจักรอาร์คาน่ามาก เผ่าอาร์คาน่าที่มีฐานะสูงเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้สามารถทำหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อาจทำได้ และหากพวกเขาสามารถคุมมันได้ก็จะเป็นประโยชน์มาก ซึ่งก็ถูกในหลาย ๆ ความหมาย สิ่งประดิษฐ์มีชื่อมากมายก็สำเร็จขึ้นได้โดยเกี่ยวพันใกล้ชิดกับเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้นี่ล่ะ”
“แล้วอันที่เรามีเล่า ?”
“ข้าไม่รู้ จุลชีพมีอยู่หลายประเภทนัก มองเฉย ๆ ไม่รู้ความหรอก” ผ้าเท่อลั่วเค่อยักไหล่ “อยากจะรู้ก็ต้องทำการค้นคว้าทดลองเอาเอง”
“แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง ?”
“ใช้พลังงานจิตของเจ้าไงเล่า พลังงานจิตนั้นก็เหมือนกับมือไร้รูปที่สามารถสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตพวกนี้ได้”
ซูเฉินลองแผ่เส้นสายพลังจิตของตนออกไป แต่ก็เหมือนจะไร้ผล
ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า “พวกมันหลับใหลอยู่ในกล่องเพาะพันธุ์มาหลายหมื่นปี ก่อนจะสื่อสารกับมัน เจ้าต้องปลุกมันก่อนสิ”
“ปลุกมันหรือ ? แล้วต้องทำอย่างไร ?”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันต้องการอะไร จุลชีพนั้นมีความต้องการแตกต่างกันไป บ้างก็ชอบพืชพันธุ์ที่เน่าแล้ว ชอบพลังต้นกำเนิด หรือเลือดสด ๆ เนื้อสัตว์อสูร โคลน หรือต้นไม้ต่าง ๆ… ใครจะเดาถูก ? เจ้าก็ลองไปเรื่อย ๆ ไม่แน่อาจพบสิ่งที่มันชอบก็ได้ จำไว้ว่าตอนเอาของให้มันกินก็ใช้พลังจิตกระตุ้นมันสักนิด มันจะได้สัมผัสถึงอาหารได้”
“……”
หลายวันต่อมา ซูเฉินก็เริ่มสรรรหาของทั้งหลายมา ‘แหย่’ หนังผืนนั้น แต่สุดท้ายก็ไร้ผลตอบรับอะไร
แต่ลองคิดดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ศาลาหมู่เมฆยังศึกษามันมาตั้ง 30 ปี มันคงเจออะไรมามากมาย แต่สุดท้ายก็ไร้ผลอะไร ของธรรมดาคงไม่อาจทำให้พวกมันพึงพอใจได้
ดังนั้นซูเฉินจึงไม่รีบร้อน เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบอีกด้วย แต่เขากลับได้นิสัยใหม่มาแทน ไม่ว่าจะเป็นของอะไร ได้มาแล้วเขาก็จะยัดเข้ากล่องไปทดสอบก่อน
นอกจากการค้นคว้าเรื่องหนังชิ้นนี้แล้ว ซูเฉินก็ใช้เวลาที่เหลือทำการวิเคราะห์ยาปลุกสายเลือดชั้นยอด หลังจากลองลงมือไปหลายอย่างแล้วเขาก็เริ่มเข้าใจวิธีการปรุงยาขึ้นคร่าว ๆ หากแต่จะให้สมบูรณ์ยังต้องใช้เวลาอีกนานนัก
เวลาที่เหลือเขาใช้มันอยู่กับกู่ชิงลั่ว หนุ่มสาวคู่นี้มักไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะไม่คิดแยกจากกันยามเวลาเอื้ออำนวย
กู่จิ่นถังคิดกล่อมให้นางรีบเดินทางกลับ แต่ก็รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก คนทั้งสองรักกันขนาดนี้ แล้วจะให้เขาไปเป็นก้างทำลายความรักพวกเขาหรือ ? จึงได้แต่หลีกหน้าไปหาอวิ๋นเป้าและกังเหยียนแทนเท่านั้น
ทั้งสองยังไปพบฉือไคฮวง ชายชรารับแท่งชามาอย่างเต็มใจ แต่ไม่ขอรับหินพลังต้นกำเนิดที่ซูเฉินตั้งใจมอบให้ เขาสนใจยาต้นกำเนิดสายเลือดที่ศิษย์คิดค้นได้มากกว่าจึงขอสูตรยามา ด้วยเชื่อว่ามันจะช่วยให้เขาหาวิธีทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดได้
วันนี้ ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าต้นเฟิงในตอนเหนือของเมืองฉางผาน
แต่เพราะยังไม่ถึงหน้า ทั่วทั้งป่าจึงยังไม่ได้งดงามที่สุด ใบไม้บนต้นยังไม่ทันเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งยังมีคนอีกมากมาย แต่ทั้งสองก็มองเพียงกันและกันเท่านั้น ไม่สนใจทิวทัศน์รอบกาย พวกเขาเพียงใช้ป่าต้นเฟิงเป็นข้ออ้างมาพบกันเท่านั้น หากอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขนั่นก็พอแล้ว
ทั้งสองเดินทอดน่องไปเรื่อย แต่พอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็หลงทางเสียแล้ว
ทันใดนั้น ระหว่างที่เดิน ๆ อยู่ก็มีงูตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่
ซูเฉินคว้ามันไว้ มอง ๆ นิดหน่อยแล้วเอ่ยว่า “เป็นงูพิษ”
ดังนั้นจึงหยิบ กล่องเพาะพันธุ์ ออกมาแล้วยัดเจ้างูเข้าไป จากนั้นใช้พลังจิตกระทุ้งมันสักหน่อย หลายวันมานี้เขาทำจนติดเป็นนิสัย ไม่ว่าจะได้อะไรมาก็จะลองยัดใส่ลงในกล่องเพื่อทดลองดู
เดิมทีเขาก็ไม่ได้หวังอะไรมาก แต่น่าแปลกที่ยัดมันลงไปได้ไม่นาน เนตรมองโลกจุลภาคก็มองเห็นจุลชีพทั้งหลายเริ่มขยับและบิดไปมา สิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับว่าตายไปแล้วเริ่มขยับไปมา จับกลุ่มกันเคลื่อนเข้าหางูตัวนั้น
หากใช้ตาปกติมองจะเห็นว่าหนังสัตว์อสูรเริ่มโค้งตัวขึ้นจนน่าแปลก มันรัดร่างงูตัวนั้นไว้
“หืม ? มีอะไรหรือ ?” กู่ชิงลั่วเห็นแล้วก็ฉงน
“พวกมันเจออาหารแล้ว” ซูเฉินว่า
ซูเฉินเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน เจ้าพวกนี้ชอบกินงูงั้นหรือ ?
เขาเคยลองให้มันกินเนื้อและเลือดสดจากสัตว์อสูรอื่นมาก่อน แต่ก็ไร้ผลตอบรับ หรือมันจะจุกจิก ชอบกินแต่เนื้องูหรือไร ?
ตอนนี้หนังสัตว์อสูรกำลังโอบร่างงูไว้จนมิด เจ้างูทั้งบิดทั้งดิ้นไปมาอย่างรุนแรงราวกับพบเรื่องน่าผวา หากแต่ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรสุดท้ายก็ถูกรัดแน่นกว่าเดิม
พริบตาต่อมามันก็หยุดดิ้น หนังสัตว์อสูรกลับไปเป็นเหมือนเดิม นิ่งเงียบสนิทไร้ความเคลื่อนไหว
ซูเฉินพบว่าร่างงูที่นอนอยู่บนหนังสัตว์อสูรนั้นยังอยู่ครบส่วน ไร้บาดแผลใด แต่มันกลับตายแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกัน ?
ซูเฉินหยิบร่างงูที่ไร้ชีวิตขึ้นมาด้วยความตกใจ
ไม่มีบาดแผลตรงไหนเลย
แสดงให้เห็นว่าจุลชีพพวกนี้ไม่ได้สนใจเจ้างูเลย
แล้วมันสนใจอะไรกัน ?
คำตอบนั้นง่ายมาก เขาเพียงต้องหาว่าบนร่างงูมีอะไรหายไปก็เท่านั้น
ซูเฉินพบในที่สุดว่ามันคือพิษนั่นเอง !
พิษในร่างงูนั้นหายไปอย่างไรร่องรอย !!!
———————