ภาคที่ 3 บทที่ 135 กลับมา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 135 กลับมา

“เจ้าพวกนี้ชอบพิษงั้นหรือ ? เข้าใจล่ะ” ผ้าเท่อลั่วเค่อพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาอยู่ภายในห้องห้องหนึ่ง “ดูท่าจุลชีพพวกนี้จะถูกเพาะขึ้นเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตมีพิษเพื่อนำมาใช้ประโยชน์กระมัง”

ซูเฉินกล่าว “ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้าลองดูแล้ว จุลชีพพวกนี้สนใจสิ่งมีชีวิตที่มีพิษมาก โดยเฉพาะพิษจากสัตว์ที่ยังหายใจอยู่ กับพิษที่สร้างขึ้นในห้องทดลองพวกมันสนใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่เพียงแต่กินพิษ แต่ปล่อยออกมาได้ด้วย พิษที่ปล่อยก็คือพิษที่กินเข้าไป แต่คุณภาพพิษที่มันคายออกมานั้นแย่กว่ามาก อาจเพราะมันกินพิษเป็นอาหารไปแล้วกระมัง”

ผ้าเท่อลั่วเค่อคิดไม่เหมือนกัน เขาเสนอว่า “อาจเพราะพวกมันยังไม่ใช่ ‘สิ่งประดิษฐ์ตัวสมบูรณ์’ ด้วยกระมัง เพราะคนสร้างยังไม่ทันพัฒนามันจนสมบูรณ์”

“ก็เป็นไปได้ แต่พวกมันก็น่าทึ่งมากพอแล้ว มีมันก็เหมือนมีเครื่องมือต้นกำเนิดประเภทพิษที่ใช้ได้หลายแบบด้วย” ซูเฉินพูดพลางผิวปากเรียกสองสามครั้ง หนังสัตว์อสูรภายในกล่องกลายเป็นปลอกแขนสีดำแล้วลอยมาห่อแขนเขาไว้ทันที

หลังปลุกพวกมันขึ้นมาได้แล้ว ซูเฉินก็ใช้พลังจิตสื่อสารกับพวกมัน จนพวกมันมองเขาเป็นเจ้านายในที่สุด

เมื่อตื่นขึ้นแล้ว จุลชีพพวกนี้ก็ไม่นอนเฉย ๆ ในกล่องอีกต่อไป พวกมันสามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ อีกทั้งยังแยกจากกันได้หากได้รับพิษมากเพียงพอและบ่อยครั้งพอ มันกินพิษเป็นอาหาร และหากมันอยู่นอกกล่องโดยไม่มีพิษให้กิน พวกมันก็จะหิวตายจนสลายไป

“ตั้งชื่อให้มันสิ” ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า

“อ้อ งั้นเรียกมันว่าหมอกกลืนพิษแล้วกัน” ซูเฉินเอ่ยขึ้น

ปลอกแขนพลันสลายร่างกลายเป็นหมอกขาวกลุ่มหนึ่งทันที

จุลชีพพวกนี้ตัวเล็กมากจนไม่อาจเห็นรูปร่างมันได้เลย นัยน์ตามนุษย์มองเห็นได้เพียงหมอกหนากลุ่มหนึ่งเท่านั้น

แม้จุลชีพส่วนมากจะตายไปแล้วเนื่องจากศาลาหมู่เมฆทรมานมันมานานกว่า 30 ปี ทำให้หมอกกลุ่มนี้มีผลได้จำกัด อีกทั้งยังคายพิษออกมาได้จำกัดเช่นกัน ทว่าหากซูเฉินดูแลมันไปเรื่อย ๆ พวกมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้

ซูเฉินดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาซื้อของล้ำค่าอย่างหมอกกลืนพิษมาในราคาเพียงหินพลังต้นกำเนิด 7 หมื่นก้อนเท่านั้น

ซูเฉินอยู่ในเมืองฉางผานนานเกือบเดือน ตอนนี้ได้เวลากลับไปแล้ว หากเขาไม่รีบกลับ เจียงซีสุ่ยก็อาจเริ่มตะโกนด่าเขาอยู่กลางถนนก็เป็นได้ ตอนนี้อิทธิพลของเจียงซีสุ่ยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงจึงส่งคนด่านสู่พิสดารสองคนเข้าโจมตีกองกำลังสามสายธารแล้ว

ทว่าเจียงซีสุ่ยต้านได้ 2 ครั้ง ด้วยเขามีสายเลือดอสูรดึกดำบรรพ์ ทั้งยังเป็นการต่อสู้บนผิวน้ำ อีกทั้งยังมีเหล่าโจรสลัดที่มีโทเทมโลหิตสลายคอยช่วยเหลือ เจียงซีสุ่ยจึงมีกำลังพอจะปกป้องตนเอง

หากแต่กองกำลังสามสายธารก็เสียหายไม่น้อย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เจียงซีสุ่ยฝึกมากับมือตายลง ดังนั้นเจียงซีสุ่ยจึงกดดันให้ซูเฉินรีบกลับมาโดยเร็ว

หลังจากบุกโมตี 2 ครั้งไม่เป็นผล ครั้งต่อมาก็อาจส่งด่านสู่พิสดารเพิ่มอีก 2 คนก็เป็นได้

ซูเฉินจึงได้แต่ต้องกลับมาเท่านั้น

ก่อนจาก ซูเฉินมอบยาปลุกสายเลือดให้กู่ชิงลั่ว เขาทำการวิเคราะห์มันเสร็จแล้วจึงมอบยาที่เหลือให้นาง ส่วนยาที่เหลือจะมีประโยชน์ต่อผู้อาวุโสท่านนั้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเขา อย่างไรก็ไม่เสียเงินนี่นา ?

ในวันที่ต้องลาจาก ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วจ้องหน้ากันไม่เอ่ยคำใด

ทั้งสองกอดกันแน่น ไม่อยากแยกจากกันแต่อย่างไร

ซูเฉินเอ่ยกับนางว่า “เจ้ารอข้า ครั้งหน้าที่ข้ามา ข้าจะเหินลงจากเมฆรุ้งมาสู่ขอเจ้า”

‘เหินลงจากเมฆรุงเพื่อมารับสตรีอันเป็นที่รักไปเป็นภรรยา’ คือคำกล่าวที่คนในแคว้นนี้พูดเพื่อสื่อถึงความรักในใจ มันไม่ใช่เพียงคำพูดส่ง ๆ แต่เป็นคำมั่นสัญญา เป็นความมุ่งหมายและความหวัง

นั่นก็เพราะมีแต่คนด่านสู่พิสดารเท่านั้นที่จะเหินลงมาจากเมฆได้ ดังนั้นกล่าวประโยคนี้ก็เหมือนยื่นคำขาดคำปฏิญาณที่ต้องทำให้ได้

ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่ซูเฉินคิดไว้

เขาทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารเมื่อไหร่ เขาก็จะเหินลงจากเมฆเพื่อมารับกู่ชิงลั่วไปเป็นภรรยา

กู่ชิงลั่วจ้องเขาด้วยสายตาเปี่ยมสุข นางพยักหน้า “อืม ข้าจะรอนะ !”

ซูเฉินกอดนางแน่น ก่อนจะหันไปขึ้นเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก ทว่าทั้งสองยังจับมือกันแน่น

สุดท้ายกู่จิ่นถังก็เอ่ยเสียงจนใจ “หากยังตัดใจปล่อยมือกันไม่ได้ก็ลงมากอดกันให้หนำใจก่อนเถอะ”

ซูเฉินจึงปล่อยนางไป

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาพลันสั่นสะเทือน จากนั้นแสงสีขาวก็สว่างวาบพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามลั่น เรือเหาะพลันพุ่งขึ้นฟ้าราวกับลำแสง หายไปจากวงสายตาทันที

————————————

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆารวดเร็วมาก ภายในวันเดียวก็เดินทางจากเมืองฉางผานมาถึงเมืองธารน้ำใส

แต่แทนที่จะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู ซูเฉินกลับตรงไปยังเกาะใจหยกแทน

เกาะใจหยกเปลี่ยนไปไม่น้อย ก่อนหน้าที่มีธงอยู่มากมาย ตอนนี้ส่วนมากได้หายไปแล้ว เหลือเพียงธงจากกองกำลังสามสายธารที่ยังโบกสะบัดเห็นเด่นชัด เห็นได้ชัดว่าตอนนี้กองกำลังสามสายธารมีอำนาจขนาดไหน

พวกโจรสลัดเองก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงเช่นแต่ก่อน พวกเขาสวมชุดเหมือนกัน ทำหน้าที่ตามกำหนดตามกฎเกณฑ์ กระทั่งท่าเดินยังเริ่มจะเหมือนกัน

ส่วนที่ท่าเรือบนเกาะก็จะมีการเฝ้ายามทั้งวัน หากมีใครกล้ามาสร้างปัญหาก็จะถูกจับตัวไปลงโทษสถานหนักทันที

สุดท้ายเกาะใจหยกจึงกลายเป็นระเบียบระบบ ไม่เหลือพวกบ้าพลังชอบก่อเรื่องให้เห็นอีกต่อไป เหมือนกับเป็นฐานทัพของกองเรือ ขาดแต่เพียงธงจักรวรรดิและเรือรบเท่านั้น

ต้องกล่าวว่าชนชั้นสูงอย่างเจียงซีสุ่ยนั้นมีฝีมือโดยแท้ เปลี่ยนพวกโจรสลัดให้กลายเป็นทหารได้เช่นนี้

แต่อย่างไรก็ยังไม่อาจต้านคนด่านสู่พิสดารได้

เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากลงจอดใกล้กับห้องโถงกลางของทัพใหญ่กองกำลังสามสายธาร

ทันทีที่ลงจอด โจรสลัดนับไม่ถ้วมก็มารุมล้อมราวกับพบศัตรูน่าผวา กระทั่งค่ายกลต้นกำเนิดยังส่งแสงแวววาวราวกับจะเริ่มทำงาน

แต่เมื่อพวกเขาเห็นซูเฉินและคนอื่น ๆ เดินลงมา พวกโจรสลัดก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาตาม ๆ กัน

หนึ่งในหัวหน้าพวกโจรสลัดจึงเดินหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวขึ้นว่า “ทักทายเจ้ากรมซูขอรับ ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที”

ซูเฉินเก็บเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากไป “หัวหน้าเจ้าเล่า ?”

“อยู่ด้านในขอรับ”

ซูเฉิน อวิ๋นเป้า และกังเหยียนจึงมุ่งหน้าเข้าไป

ภายในห้องโถงกลาง เจียงซีสุ่ยกำลังจิ้ม ๆ ชี้ ๆ อยู่บนแผนที่มายาของเกาะใจหยก “เราจะวางค่ายกลแยกฟ้าไว้ตรงนี้ โรยผงงูพิราบไว้ด้วย ส่วนใต้นั้นเราจะวางศรเรียงกัน 49 ดอก ตาแก่เซินอวิ๋นหงนั่นชอบสู้บนอากาศไม่ใช่หรือ ? ข้าจะเด็ดปีกเขาแล้วอัดเขาให้ร่วงเลย !”

“หัวหน้าเจียงนี่ดุดันจริงเชียว ! ข้าสัมผัสได้ถึงไอสังหารตั้งแต่อยู่ที่นอกประตูแน่ะ” ซูเฉินเดินเข้ามาพลางหัวเราะ

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เจียงซีสุ่ยก็ตาเป็นประกาย “มาสักทีนะ !”