ภาคที่ 3 บทที่ 136 เข้าโจมตีอีกครั้ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 136 เข้าโจมตีอีกครั้ง

“ตามนั้นล่ะ ข้าใช้พลังทั้งหมดสกัดการโจมตีของเซินอวิ๋นหงไปได้ แต่เราก็เสียหายไม่น้อยเช่นกัน”

เจียงซีสุ่ยถอนหายใจ “ด่านสู่พิสดารอย่างไรก็คือด่านสู่พิสดาร ความต่างของพลังมีมากเกินไปจริง ๆ ถึงข้าจะมีสายเลือดอสูรดึกดำบรรพ์ก็รั้งไว้ได้ไม่ง่าย”

“แต่เจ้าก็ยังรั้งเขาไว้ได้ไม่ใช่หรือ ?” อวิ๋นเป้าหัวเราะ

“นั่นก็เพราะทุกคนร่วมแรงกันด้วย” เจียงซีสุ่ยว่าตามตรง “ครั้งแรกเซินอวิ๋นหงให้โอกาสข้าไตร่ตรองเพราะเห็นข้ามีสายเลือดอสูรดึกดำบรรพ์ แต่หนที่สองตัวตนของข้าก็ไม่อาจหยุดเขาได้อีก เขาบอกว่าเขาจะกำจัดกองกำลังสามสายธารเหมือนที่ทำกับกองกำลังสายธารมืด ให้ข้ารอดไปเพียงคนเดียว พวกเราโต้กลับอย่างดุเดือดจึงต้านเขาไว้ได้ แต่เขาล้มเหลวสองครั้ง อย่างไรก็ต้องกลับมาอีกแน่ ซึ่งครั้งหน้าก็คงไม่เรียบง่ายแน่นอน เขาคงจะพาคนด่านสู่พิสดารอีกคนมาร่วมโจมตีด้วย”

“ด่านสู่พิสดาร 2 คนโจมตีพร้อมกันงั้นหรือ ? เรื่องใหญ่นักเชียว” อวิ๋นเป้าหัวร่อ

ซูเฉินไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร “ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเมืองธารน้ำใสไม่นั่งเฉยรอเราตัดแขนขาเขาทิ้งหรอก กระทั่งคนจากราชวงศ์อาณาจักรประกายวารียังไม่รอด”

อวิ๋นเป้าหัวเราะเสียดสี “นั่นก็เพราะที่นี่คืออาณาจักรหลงซาง หากองค์ชายตระกูลหลินลองมา ตระกูลสายเลือดชั้นสูงพวกนั้นก็คงไม่กล้าเสนอหน้ามาด้วยซ้ำ”

นั่นคือเรื่องจริง แม้เจียงซีสุ่ยจะเป็นองค์ชาย แต่ก็ไม่ใช่องค์ชายจากอาณาจักรหลงซาง ดังนั้นจึงมีอำนาจกดดันน้อย เซินอวิ๋นหงไม่กล้าสังหารเขา แต่ก็ไม่กังวลหากคิดจะเด็ดปีกเขาสักหน่อย ทว่าเจียงซีสุ่ยเองก็ไม่ได้ไร้ฝีมือ อีกทั้งฝีมือกองทัพของเขาก็แกร่งกว่าที่เซินอวิ๋นหงคาดการณ์ไว้มาก ดังนั้นจึงต้องล่าถอยกลับไปถึง 2 ครั้ง

เจียงซีสุ่ยไม่รู้ว่าจะมีการโจมตีครั้งที่ 3 หรือไม่ ดังนั้นจึงร้องเรียกให้ซูเฉินกลับมาอยู่ตลอด

แต่ก็ไม่คิดว่าซูเฉินจะกลับมาเร็วเช่นนี้ “ใช่แล้ว ทำไมกลับมาเร็วเช่นนี้ได้ เมื่อวานยังอยู่ที่เมืองฉางผานกันเลยไม่ใช่หรือ ?”

ซูเฉินกับอวิ๋นเป้าเหลือบมองกันแล้วคลี่ยิ้ม

กำลังจะอ้าปากตอบ ก็มีน้ำเสียงหนึ่งดังชัดเข้ามาจากด้านนอก “เจียงซีสุ่ย เจ้าคิดตกหรือยัง ? หากเจ้ายอมละทิ้งทางน้ำไปก็ยังเป็นผู้นำของสถานที่แห่งนี้ได้อยู่ แต่หากเจ้ายังดื้อดึงเลือกเดินทางผิด วันนี้ข้าจะไม่มีเมตตากับเจ้าอีก !”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็สะดุ้งทันที เสียงแจ้งเตือนเริ่มดังขึ้นบนเกาะ พวกโจรสลัดต่างวิ่งกันปราดเปรียว เตรียมพร้อมต่อสู้กันแล้ว

เมื่อเดินออกมาจากห้องโถงกลาง ก็เห็นเงาร่างสองคนยืนอยู่บนฟ้า คนหนึ่งคือเซินอวิ๋นหง อีกคนเป็นชายชราหน้าตาไม่คุ้นเคย แต่ไม่ต้องคิดอะไรมากก็รู้ได้ว่านั่นเป็นคนด่านสู่พิสดารอีกคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงตระกูลหนึ่งแน่

“ดูท่าจะมาเร็วไม่ใช่น้อยเลยเชียว” ซูเฉินพึมพำ

เจียงซีสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองก่อนหัวเราะ “เซินอวิ๋นหง ท่านไม่อายบ้างหรือ ? มั่นใจหรือว่าเมื่อคราวก่อนท่านรั้งไว้ได้จริง ? แล้วทำไมครั้งนี้จึงพาอีกคนมาด้วยเล่า ?”

เซินอวิ๋นหงหน้าแดง กำลังจะเอ่ยคำก็เหลือบไปเห็นซูเฉิน

เขาไม่เคยพบซูเฉินมาก่อน แต่เคยเห็นรูปอีกฝ่ายมาหลายครั้งหลายหน ดังนั้นจึงคุ้นหน้าดี เมื่อเห็นหน้าคน ในใจจึงโกรธเกรี้ยวขึ้นทันที “ซูเฉิน เจ้ามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่เอง !”

“ซ่อนหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “ท่านคิดว่าข้าถูกหวังซานหยูบีบให้ต้องมาซ่อนตัวที่นี่ไม่กล้าเผยหน้าตาอีกงั้นหรือ ?”

“แล้วไม่ใช่หรือไร ?” ด่านสู่พิสดารอีกคนเอ่ยเสียงวางอำนาจ

เขาคือเว่ยเพ่ย หนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลเว่ย

“จะใช่หรือไม่ ท่านลองดูก็รู้แล้ว” ซูเฉินไม่คิดพูดให้มากความ ปล่อยเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาออกมาแล้วกระโดดพุ่งขึ้นไปทันที

ปืนใหญ่ฟ้าลั่นถูกติดตั้งไว้ที่หลังเรือเหาะ พลังโจมตีของมันอยู่ที่ราว 300 แต้ม ซูเฉินเปิดใช้มันทันที แสงสว่างจ้าแสบจ้าส่องออกจากลำเรือ ก่อนลำแสงจะพุ่งออกมาจากท้ายเรือ เหมือนคำรามลั่นใส่เว่ยเพ่ยราวกับมันเป็นมังกรสายฟ้าตัวหนึ่งก็มิปาน

การโจมตีดุดันส่งผลให้เว่ยเพ่ยตะลึงไปไม่น้อย พลังโจมตีของมันรุนแรงกระทั่งคนด่านสู่พิสดารไม่อาจมองข้ามไปได้ พริบตาเดียว ร่างของเว่ยเพ่ยก็หายวับไป เหลือเพียงภาพติดตาที่เป็นเงาร่างเขายืนอยู่ ณ จุดเดิมเท่านั้น

ปืนใหญ่ฟ้าลั่นยิงเข้าใส่ภาพติดตานั้นของเว่ยเพ่ย ระเบิดกลายเป็นกลุ่มควันกลุ่มหนึ่ง

ซูเฉินเสียใจอยู่บ้างที่โจมตีไม่ถูกตัว

แม้ปืนใหญ่ฟ้าลั่นจะทรงพลังมาก เมื่อใช้แล้วจะสร้างแสงสว่างจ้าหนั่นแน่นออกมา ทำให้ลอบโจมตีไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญพลังที่มีสมองสักหน่อยไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันจัง ๆ แน่นอน ดังนั้นมันจังมีอัตราการโจมตีโดนที่ต่ำมาก ยิ่งกับการที่ต้องใช้พลังสูงในการโจมตีแต่ละครั้ง มันจึงกลายเป็นอาวุธที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดบนเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆา

แต่ก็ช่างมันเถอะ ลูกกระสุนปืนใหญ่ของเขาครั้งนี้ไม่ได้หมายจะสังหารศัตรูในครั้งเดียวอยู่แล้ว

พริบตาต่อมา ซูเฉินก็คุมให้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากบินหายวับไปไกล

เมื่อเว่ยเพ่ยเห็นดังนั้นก็คำรามเสียงเย็นออกมา “ให้ข้าจัดการเอง เจ้ารับมือเจียงซีสุ่ยไป”

เซินอวิ๋นหงอยากบอกว่าหากเขารับมือเจียงซีสุ่ยคนเดียวได้แล้วจะเรียกอีกคนมาทำไมกัน ? แต่คำเหล่านั้นนับว่าอ่อนแอเกินไป สุดท้ายก็ไม่กล้ากล่าวออกไป ได้แต่ส่งเสียงรับคำกลับไปเท่านั้น เขาจะรอให้เว่ยเพ่ยจัดการซูเฉินแล้วค่อยมาช่วยทางเขาก็แล้วกัน

เว่ยเพ่ยจึงเริ่มไล่ตามซูเฉินไป

แม้ปืนใหญ่ฟ้าลั่นจะทรงพลังมาก แต่เว่ยเพ่ยก็รู้จุดอ่อนสำคัญมันแล้ว มันยิงออกมาเป็นเส้นตรงได้เท่านั้น ดังนั้นหากเขาไม่ไปจ่อที่ปากกระบอกปืนใหญ่ อย่างไรก็ปลอดภัยแน่นอน

ในขณะที่กำลังไล่ล่าอยู่นั้นเอง เว่ยเพ่ยใช้พลังลมมาแต่ไกล ฝ่ามือขนาดใหญ่ก่อร่างขึ้นบนฟ้าแล้วเริ่มกระแทกลงมาใส่เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆา

“พวกคนด่านสู่พิสดารชอบเล่นกันแบบนี้นักหรือ ?” ซูเฉินพึมพำพลางเงยหน้ามองฝ่ามือยักษ์ที่กำลังกระแทกลงมา

เมื่อฝ่ามือนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แสงสว่างจ้าก็วาบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มันสว่างล้อมรอบลำเรือไว้ราวกับหนามแหลมคมนับไม่ถ้วน เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากจึงกลายเป็นเหมือนเม่นยักษ์ที่เกิดขึ้นจากแสงอย่างไรก็อย่างนั้น

ฝ่ามือของเว่ยเพ่ยจึงซัดลงบนหนามแสงเหล่านั้น ก่อนจะถูกมันทิ่มแทง ระเบิดตูมออกในทันที

เกราะแสงนี้มีไว้เพื่อป้องกันการโจมตีประเภทนี้โดยเฉพาะ หากคิดจะโจมตีมันจริง ๆ เขาต้องโจมตีเต็มกำลัง

รู้ดังนั้นเว่ยเพ่ยจึงไม่ยั้งมืออีก

ภาพมายาของสัตว์อสูรร่างยักษ์พลันปรากฏขึ้นเบื้องหลัง มันคือวาโยยักษ์ที่มีหน้าเป็นม้า มีสี่ตา และมีเขาขนาดไม่เท่ากันอยู่สองข้างบนหัว

มันคืออสูรลมลี้ลับเลือดน้ำเงิน

พริบตาที่มันปรากฏขึ้น มันก็ส่งเสียงร้องลั่นใส่เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาแล้วกระโจนเข้าใส่ทันที

นับเป็นครั้งแรกที่ซูเฉินภาพจากสายเลือดโจมตีเข้าโจมตีศัตรูเองโดยไร้คำสั่งเจ้านายมัน ทำให้เขาตกตะลึงไป เคราะห์ดีที่เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆานั้นเคลื่อนไหวเร็วมาก เมื่อใส่ความเร็วเต็มขั้นก็หลบการโจมตีนั้นได้พอดี

พริบตาเดียวเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาก็พุ่งไปด้านหน้า

“คิดจะไปไหน !” เว่ยเพ่ยตะโกนลั่น ร่างเขาหายวับไป พลันปรากฏขึ้นมาตรงจุดที่อสูรลมลี้ลับเลือดน้ำเงินเคยอยู่

แสดงว่าภาพจากสายเลือดของอีกฝ่ายไม่เพียงโจมตีได้เอง แต่ยังทำให้เว่ยเพ่ยเคลื่อนกายตามมาได้อีกด้วย แต่ระยะห่างที่ภาพจากสายเลือดสามารถทำได้ก็มีจำกัด ดังนั้นระยะเคลื่อนกายจึงถูกจำกัดไปด้วย

เมื่อเห็นเว่ยเพ่ยใกล้เข้ามาแล้ว ซูเฉินก็หัวเราะกับตนเอง “ดูท่าจะต้องเร่งความเร็วขึ้นอีกสินะ”

เขาเพิ่มพลังงานจิตที่ส่งให้กับเรือเหาะ ความเร็วของมันพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งคนทั้งเรือเหาะต่างเคลื่อนไปด้านหน้า ฝ่านหนึ่งหนีฝ่ายหนึ่งตาม พุ่งหายไปจนไกลลับตา !