ภาคที่ 3 บทที่ 137 ไล่ตาม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 137 ไล่ตาม

เว่ยเพ่ยว่องไวมากก็จริง ทว่าเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆานั้นรวดเร็วกว่ามาก

จุดสำคัญของเรือเคลื่อนเมฆานั้นมุ่งเน้นที่ความเร็วมาโดยตลอด เอาชนะความเร็วของผู้เชี่ยวชาญได้โดยง่าย ส่วนเรื่องการป้องกันและการโจมตีนั้นเป็นเพียงส่วนเสริมเข้ามาเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของปืนใหญ่ฟ้าลั่นนั้นคือการดึงความสนใจศัตรูต่างหาก

และหากซูเฉินต้องการ เขาก็ทิ้งห่างเว่ยเพ่ยไปได้อย่างง่ายดาย

แต่เขาไม่ได้ต้องการเช่นนั้น

ชายหนุ่มควบคุมความเร็วของเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอย่างดี ทิ้งระยะห่างจากเว่ยเพ่ยไว้พอควร ล่อให้เขาตามราวกับแขวนหัวไชเท้าล่อให้ลาเดินตาม มันก็ได้แต่ไล่ตามไม่หยุด หากแต่พยายามเท่าไหนก็ไม่อาจเอื้อมถึง

แรกเริ่มเว่ยเพ่ยยังไม่รู้ตัวเพราะเรือเคลื่อนเมฆามีทั้งแบบช้าและเร็ว

เรือเคลื่อนเมฆาที่ช้าเป็นพิเศษเช่นเรือเหาะผาทองนั้น คนด่านสู่พิสดารที่ไหนก็ไล่ตามทันได้ทั้งสิ้น

อีกทั้งเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาเพิ่งจะสำแดงพลังโจมตีและพลังป้องกันสูงส่งออกมา หากมันไม่ใช้ของชั้นยอด เช่นนั้นความเร็วที่ลดลงบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ดังนั้นเว่ยเพ่ยจึงไล่ล่าต่อไม่ลดละด้วยรู้สึกว่าเขาต้องตามมันทันแน่

เขาใช้วานรรุดหน้าเป็นระยะ ๆ เงาร่างหายวับไปครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามลดระยะห่างให้ได้มากที่สุด

แต่เรือเคลื่อนเมฆาบัดซบลำนี้กลับมีวิชาพุ่งหรืออย่างไร ทุกคราที่เขาเข้าใกล้ มันก็จะพุ่งตัวออกไปจนห่างไกลอีกครั้ง

เรือเคลื่อนเมฆาเป็นเครื่องมือต้นกำเนิด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีทักษะต้นกำเนิดติดมาด้วย ดังนั้นแรกเริ่มเว่ยเพ่ยจึงไม่ได้คิดสงสัยอะไร

แต่ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ

แม้เขาจะไล่ล่าเรือเคลื่อนเมฆามาสักระยะแล้ว แต่ระยะห่างกลับไม่ค่อยเปลี่ยน เขาไล่อีกฝ่ายมาหลายชั่วอึดใจ ใช้พลังต้นกำเนิดไปไม่น้อย และเพื่อรักษาพลังไว้เขาจึงลดการใช้วาโยรุดหน้า ตามหลักเหตุผลแล้ว เรือเคลื่อนเมฆาควรจะใช้จังหวะหนีสลัดเขาให้หลุด

เว่ยเพ่ยจึงจับสังเกตได้ทันที “คิดจะให้ข้าใช้พลังต้นกำเนิดจนหมดแล้วค่อยประมือกับข้างั้นหรือ ?”

คิดได้ดังนั้น เว่ยเพ่ยจึงเคลื่อนกายช้าลง และไม่ผิด เรือเคลื่อนเมฆาเองก็ลดความเร็วลงเช่นกัน

เห็นดังนี้แล้ว มีหรือที่เว่ยเพ่ยคิดจะไล่ล่าอีกฝ่ายต่อ ?

เขารู้แล้วว่าไล่อย่างไรก็ตามไม่ทัน ดังนั้นจึงยอมแพ้แล้วเหินร่างกลับทันที

หากแต่กลับมีลูกบอลแสงปรากฏขึ้นที่ท้ายเรือเหอะอีกครั้ง

“แย่แล้ว !” เว่ยเพ่ยเข้าใจเรื่องราว รีบใช้วาโยรุดหน้าพุ่งออกไปทันที

ตู้ม !

ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งออกมาแล้วระเบิดอยู่เบื้องล่างเขา

ไอ้บัดซบนั่น !

เว่ยเพ่ยโกรธจัดจนกัดฟันตนเองแทบแตก

หากไม่ไล่ล่ามัน มันก็จะหันมาไล่โจมตีเขาแทน

ทว่าความสามารถในการดึงความสนใจของปืนใหญ่ฟ้าลั่นนั้นมีศักยภาพมาก หากเว่ยเพ่ยไม่อยากถูกโจมตี ก็มีแต่ต้องไล่ล่าต่อไปเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงกลับมาไล่ล่าต่ออย่างจนหนทาง เรือเคลื่อนเมฆาเองก็มุ่งหน้าต่อไปเช่นกัน

ทั้งสองยังพุ่งไปด้านหน้าแล้วหยุดต่อไปเรื่อย ไม่นานก็เคลื่อนตัวออกห่างจากจุดแรกเริ่มไปไกลลิบ

ยิ่งเว่ยเพ่ยไล่ล่าซูเฉินเขาก็ยิ่งต้องตกตะลึง เจ้าเด็กนั่นไปเอาหินพลังต้นกำเนิดมาจากไหนมากมายถึงใช้อย่างไม่คิดเช่นนั้นได้ ? อีกทั้งความสามารถของเรือเคลื่อนเมฆาลำนี้มันจะเหนือชั้นไปแล้วกระมัง ?

เว่ยเพ่ยเองก็มีเรือเคลื่อนเมฆาเช่นกัน แต่มันไม่ได้มีค่ายกลย่นขนาด ดังนั้นเขาจึงพกมันมาด้วยไม่ได้ เขาจึงทิ้งมันไว้ในตระกูลตลอด แต่กระนั้นคนในตระกูลก็ยังมองว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

แต่เรือเคลื่อนเมฆาของเขา หากนำมาเทียบกับลำตรงหน้ากลับดูด้อยไปถนัดตา

เขาเป็นผู้อาวุโสด่านสู่พิสดาร แต่กลับมีของที่ด้อยกว่าเด็กอย่างมัน ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธนัก

เมื่อในใจคิดได้เช่นนี้ เขาก็หยิบบางอย่างออกมา มันคือทรายหนึ่งกำมือ

สายตาเขาจับจ้องมันด้วยความลังเล จากนั้นเตรียมใจตนเองแล้วเขวี้ยงมันไปในอากาศ ทรายเหล่านั้นก่อร่างขึ้นเป็นร่างปีศาจขนาดใหญ่ ส่งเสียงกรีดร้องแสบหูไปทางเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆา ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสีทะมึน เริ่มมีเม็ดทรายซัดกระจายอยู่จนทั่ว เป็นพายุทรายน่ากลัวที่จู่ ๆ ก็บังเกิดขึ้นนั่นเอง

“ฮ่า ๆ ลิ้มรสวงเขตพายุทรายปีศาจของข้าเสียเถอะ ! จงหมุนไปแล้วลากเรือลำน้อยนั่นมาให้ข้า !” เว่ยเพ่ยตะโกนเสียงดัง

วงเขตพายุทรายปีศาจเป็นสิ่งที่เขาได้มาหลังจากเผชิญเรื่องอันตรายมาก มันทั้งทรงพลังและใช้งานได้ดียิ่ง แต่น่าเสียดายที่เป็นของใช้แล้วหมดไป ทุกครั้งที่ใช้ จำนวนทรายก็จะลดลงเรื่อย ๆ ครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างลังเลว่าจะใช้มันดีหรือไม่

แต่เมื่อเขารับรู้ว่าเรือเคลื่อนเมฆานั้นไม่ใช่ของธรรมดา เว่ยเพ่ยจึงใช้มันไม่ลังเลอีก

วงเขตพายุทรายปีศาจนั้นยังผลเกินคาด เม็ดทรายจำนวนมากหมุนเป็นลมพายุจนบดบังดวงอาทิตย์แทบไม่เห็น กระทั่งเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากยังเดินหน้าฝ่าพายุทรายต่อไปด้วยความยากลำบาก ลดแรงโหมพัดเข้าใส่มันเรื่อย ๆ ทรายนับไม่ถ้วนกระทบลำเรือราวกับถูกศรแหลมปัก ที่ลำเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากมีประกายไฟปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นแสงสว่างจ้า

“บัดซบ คนด่านสู่พิสดารแต่ละคนย่อมมีไม้ตายงั้นสินะ” ซูเฉินอดส่ายหน้าด้วยความชื่นชมไม่ได้

เว่ยเพ่ยมีเพียงหนึ่งแท่นบงกช แต่เท่านั้นก็รับมือยากแล้ว หากเป็นคนที่แกร่งกว่านี้จะรับมือยากขนาดไหนกัน ?

เม็ดทรายเหมือนจะพัดปลิวว่อนไปทั่ว อีกทั้งความหนาแน่นของมันยังไม่อาจทำให้มุ่งหน้าต่อไปได้ เว่ยเพ่ยเห็นแล้วก็ดีใจ คิดว่าซูเฉินคงหมดทางหนีเข้าแล้ว

หากแต่ซูเฉินกลับยิ้มน้อย ๆ

แล้วเอ่ยขึ้นว่า “โง่เง่า !”

จากนั้นเขาก็หมุนเรือเหาะให้พุ่งเข้ามายังทิศที่เว่ยเพ่ยยืนอยู่

หันกลับมาแล้ว !

แม้วงเขตพายุทรายปีศาจของเว่ยเพ่ยจะกินพื้นที่มาก แต่ก็ยังมีจุดศูนย์กลาง พลังส่วนมากส่งผลไปยังด้านหน้า เพราะตัวซูเฉินนั้นอยู่ด้านหน้าของเว่ยเพ่ย

ซูเฉินจึงกลับลำเรือแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่เขตที่พายุทรายอ่อนกำลังลง

หากแต่ตรงจุดที่พลังลมเบาลงนั้นก็คือจุดที่เว่ยเพ่ยยืนอยู่นั่นเอง

เขามองเรือเคลื่อนเมฆาที่กำลังเคลื่อนเข้ามา รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นบนหน้า “ไอ้หนู ข้าจ……”

เขาพูดยังไม่ทันจบ สายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีลูกบอลแสงกำลังก่อตัวขึ้นบนเรือ

“เวรเอ๊ย !” เว่ยเพ่ยสบถด่าแล้วรีบหลบไปด้านข้าง

และพริบตาเดียวกันกับจังหวะที่ลำแสงพุ่งออกมา เว่ยเพ่ยก็มองเรือเคลื่อนเมฆาที่จู่ ๆ ก็เร่งความเร็วขึ้นด้วยความตกตะลึง

มันแตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนมาก ราวกับเรือเหอะหมายจะไล่ตามลำแสงไปอย่างไรก็อย่างนั้น

ความตกตะลึงส่งผลให้เว่ยเพ่ยเบิกตามองกว้างจนลูกตาแทบถลนจากเบ้า

แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าความเร็วที่แท้จริงของเรือเคลื่อนเมฆาชั้นยอดนั้นเร็วกว่าที่เขาเคยเห็นมานักต่อนัก แต่เมื่อเห็นความเร็วมันกับตา เขาก็ยังตกใจมากอยู่ดี

ของชั้นยอด !

มันเป็นเรือเคลื่อนเมฆาชั้นสุดยอด

เรือเคลื่อนเมฆาระดับนั้นย่อมมีราคามากกว่าร้อยล้าน กระทั่งผู้อาวุโสเช่นเขาก็ยังไม่อาจหามาใช้สักลำได้

แล้วซูเฉินไปได้มันมาอย่างไรกัน ?

แต่ยังไม่ทันได้หาเหตุผล เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากก็พุ่งออกจากเขตการโจมตีแล้วหายลับไป ไม่ชะลอตัวลงแม้สักนิด พริบตาด้วยก็หายไปไม่เห็นรอย

เกิดอะไรขึ้นกัน ?

ซูเฉินพยายามล่อให้เขาไล่ตามไม่ใช่หรือ ?

แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงหนีไปเช่นนั้น ?

ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เว่ยเพ่ยตะโกนลั่น “แย่แล้ว ! เหล่าเซิน !”