บทที่ 138 กระแสน้ำเปลี่ยนทิศ
เมื่อเว่ยเพ่ยเริ่มทำการไล่ล่าซูเฉิน การต่อสู้บนเกาะใจหยกก็เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน
เจียงซีสุ่ยไม่มากความ เข้าประมือกับอีกฝ่ายทันที เขาเปิดใช้สายเลือดตน ส่งผลให้น้ำรอบเกาะใจหยกเริ่มข้นหนืดขึ้น กระทั่งเป็นคลื่นขนาดยักษ์ก่อตัวสูงขึ้นมา มันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นรูปแขนขนาดใหญ่แล้วปล่อยหมัดใส่เซินอวิ๋นหง
เมื่อครั้งพวกเขาอยู่ในคฤหาสน์ซู เจียงซีสุ่ยเรียกได้เพียงดวงตาของลั่วโหยวออกมาเท่านั้น แต่ไม่อาจเรียกแขนทั้งแขนออกมาได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเพราะที่เขาทุ่มฝึกปรือฝีมือในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เขาจึงสามารถใช้ความสามารถของลั่วโหยวแห่งตระกูลเจียงได้อย่างเต็มที่
กระทั่งเซินอวิ๋นหงยังไม่กล้าเข้าปะทะกับแขนยักษ์นั่นตรง ๆ เขาเอ่ยคำขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “สายเลือดเทพอสูร !”
ภาพมายามังกรเหล็กปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง พริบตานั้น เซินอวิ๋นหงก็ปล่อยท่าฝ่ามือ จากนั้นภาพฝ่ามือขนาดใหญ่นั้นก็พุ่งออกไปซัดแขนของลั่วโหยว
แม้มังกรเหล็กจะมีตัว ‘มังกร’ อยู่ในชื่อด้วย แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตบนดินที่มีพลังล้ำลึก ไม่ได้มีปีกแต่อย่างไร
เจียงซีสุ่ยนั้นมีสายเลือดอสูรดึกดำบรรพ์ ทั้งยังได้เปรียบเรื่องสถานที่ แต่อย่างไรก็เป็นเพียงคนด่านกลั่นโลหิตที่ต่ำกว่าด่านสู่พิสดารถึง 2 ด่านเต็ม ๆ และมังกรเหล็กเองก็เหมาะกับการใช้ต่อสู้ตัวต่อตัว ดังนั้นเมื่อปะทะกัน มังกรเหล็กก็ยังได้เปรียบอยู่เล็กน้อย
มังกรเหล็กคำรามออกมา ทันใดนั้นหมัดดั่งเหล็กของเซินอวิ๋นหงก็กระแทกเข้าที่แขนของลั่วโหยว
หากแต่ผืนน้ำนั้นไร้จุดสิ้นสุดทั้งยังเคลื่อนไหวได้อิสระ ลั่วโหยวได้เปรียบ ไม่ใช่แค่เรื่องการโจมตีที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้เท่านั้น
แต่ตราบเท่าที่อยู่ใกล้น้ำ เจียงซีสุ่ยก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างแขนของลั่วโหยวไปได้เรื่อย ๆ
มังกรตัวเขื่องทำให้ผืนน้ำเคลื่อนตัวพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นแขนของลั่วโหยว แม้มังกรเหล็กจะทรงพลังมาก แต่ก็ไม่อาจจัดการเจียงซีสุ่ยได้เมื่ออีกฝ่ายสามารถสร้างแขนขึ้นใหม่ได้เรื่อย ๆ เว้นเสียแต่เขาจะใช้พลังต้นกำเนิดจนหมดหรือน้ำรอบกายเหือดแห้งไปก็เท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น โจรสลัดนับไม่ถ้วนก็เผยกายขึ้นเหนือน้ำ เริ่มยิงธนูและหน้าไม้ขึ้นฟ้า ทั้งยังเปิดใช้ค่ายกลที่เสริมความแกร่งให้ศรและหน้าไม้ทั้งหลาย บีบให้กระทั่งคนด่านสู่พิสดารต้องรับมือด้วยความระวัง
ผู้เชี่ยวชาญพลังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ รวบรวมพลังเข้าด้วยกัน ก่อนจะซัดพลังนั้นเข้าใส่คนด่านทะลวงลมปราณ นี่คือท่าโจมตีกลุ่มของตระกูลเจียงแห่งอาณาจักรประกายวารี รวมพลังของทุกคนเข้าด้วยกัน ใช้ประโยชน์จากจำนวนคนเข้าสู้
ดังนั้นการโจมตีระลอกที่สามจึงเต็มไปด้วยคมดาบทั้งหลายที่พุ่งเข้าใส่เซินอวิ๋นหงบนฟ้า
เซินอวิ๋นหงเตรียมตัวมาแล้ว เขาโบกมือซ้าย ในมือปรากฏดาบยาวที่ไร้การตกแต่งใดขึ้น ก่อนตวัดมันผ่านอากาศ ใช้ปลายดาบสร้างสายลมคลั่งขึ้นเบื้องหน้า ซัดศรและหน้าไม้ที่พุ่งเข้ามากระจายออกไป
ส่วนมือขวายังคงกดดันแขนของลั่วโหยวต่อไป และใช้ดาบในมือซ้ายวาดโค้ง ปล่อยพลังซัดเข้าใส่โจรสลัดเบื้องล่าง
พริบตาที่โจมตีออกไป แขนของลั่วโหยวเองก็ยืดออกมาป้องกันพลังดาบนั่นไว้ ส่วนโจรสลัดก็กระโจนร่างขึ้นมา แสงจากโทเทมโลหิตสลายเริ่มแผ่ออกจากร่าง คมดาบทรงพลังซัดเข้าหาเซินอวิ๋นหงอีกครา บีบให้เขาต้องเปลี่ยนมาตั้งรับ
เซินอวิ๋นหงเคยมาโจมตีเกาะใจหยก 2 ครั้งแล้ว ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงคุ้นเคยกันดี กระทั่งสามารถใช้คำว่า ‘ข้ารู้แผนเจ้า เจ้าก็รู้แผนข้า’ มาอธิบายได้
ดังนั้นเจียงซีสุ่ยจึงมีหน้าที่จำกัดพื้นที่เซินอวิ๋นหงให้มากที่สุดเพื่อปกป้องคนอื่น ๆ ส่วนโจรสลัดคนอื่น ๆ ก็มีหน้าที่เข้าโจมตีเซินอวิ๋นหง เพื่ออีกฝ่ายจะได้ไม่สามารถทำการโจมตีเต็มกำลังได้
เป็นเพราะร่วมแรงร่วมใจกันเช่นนี้พวกเขาถึงสามารถต้านเซินอวิ๋นหงกลับไปได้ถึง 2 ครั้ง
หากแต่ 2 ครั้งก่อนหน้านั้น เจียงซีสุ่ยก็เสียคนไปไม่น้อย ดังนั้นความสามารถในการโจมตีของเกาะใจหยกจึงมีไม่มากพอ
ท่ามกลางการโจมตีไร้ที่สิ้นสุด ข้อเสียเปรียบนี้ค่อย ๆ เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มกัดฟันฝืนต่อไปได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
เซินอวิ๋นหงปัดป้องกันโจมตีแล้วหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ก็แค่ลูกหมาลูกแมว มีเยอะแล้วอย่างไรกันเล่า ?”
เขาเสือกดาบเข้าไป พลังจากคมดาบซัดออกมา เจียงซีสุ่ยหมายจะสกัดมันไว้ แต่มันกลับแยกออกเป็น 3 คม คมหนึ่งถูกเจียงซีสุ่ยสกัดไว้ได้ อีกหนึ่งถูกการโจมตีรวมพลังของทุกคนหยุดไว้ได้ ส่วนคมที่เล็กที่สุดถูกซัดไปทางกลุ่มโจรสลัด
เซินอวิ๋นหงจึงคิดจะค่อย ๆ เฉือนกำลังเกาะใจหยกออกไปทีละน้อย และเมื่อกำลังลดลงระดับหนึ่งแล้ว คนทั้งหมดก็จะล้ม ตามปกติแล้วเซินอวิ๋นหงจะต้องบุกเข้าโจมตีราว 7-8 ครั้งกว่าจะสำเร็จ ทว่าครั้งนี้เขามีคนด่านสู่พิสดารมาอีกหนึ่ง แม้จะยังไม่มาถึงที่ แต่เขาก็กดดันพวกโจรสลัดได้มาก ทำให้พลังใจลดลงมากโข
ในสถานการณ์เช่นนี้ ใช้การโจมตีบีบไม่กี่ครั้งก็คงทำให้อีกฝ่ายเสียแรงใจจะสู้ได้แล้ว
เซินอวิ๋นหงยังทำการต่อสู้ต่อไปด้วยความคิดเช่นนี้ ตวัดดาบเยือกเย็น เต็มไปด้วยไอสังหาร
เป็นตอนนั้นเองที่จู่ ๆ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นสกัดคมดาบนั้นไว้ที่กลางอากาศ
เคร้ง !
เสียงโลหะกระทบกันดังก้อง
พลังซัดที่เซินอวิ๋นหงหมายจะโจมตีถูกสกัดไว้ได้
เขามองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง “ท่านอวิ๋น ?”
คนที่สกัดคมดาบนี้ไว้ได้คืออวิ๋นเป้า
ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นกองกำลังลับเมืองธารน้ำใส เซินอวิ๋นหงย่อมเคยเห็นหน้าเขามาก่อน
หากแต่พริบตาต่อมา เซินอวิ๋นหงก็มีสีหน้าเข้มขึ้น “เจ้าหนู คิดว่าเป็นกองกำลังลับแล้วจะทำตามใจได้หรือ ?”
ลมเริ่มพัดพา มังกรเหล็กเงยหน้าคำรามลั่น ดาบเริ่มเปล่งแสงออกมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เล็งไปที่อวิ๋นเป้าด้วย
อวิ๋นเป้าตอบเสียงเรียบ “ข้าไม่เคยใช้ตัวตนในกองกำลังลับมาทำตามอำเภอใจ หากข้าอยาก เช่นนั้นก็ใช้เพียงดาบในมือและเลือดในกายก็เท่านั้น”
เซินอวิ๋นหงตอบกลับด้วยหนึ่งฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังงาน สำแดงพลังเกินจะหยั่งของมังกรเหล็กให้ได้เห็น
อวิ๋นเป้ากระโจนขึ้น ตวัดดาบดาบกระจ่างแสง แสงระลอกหนึ่งถูกซัดออกจากตัวดาบ บีบให้ท่าฝ่ามือนั้นหลีกทางไป ส่วนตัวเขาก็พุ่งเข้าใส่เซินอวิ๋นหง เห็นดังนั้นเซินอวิ๋นหงก็ตกใจ กระแทกอีกหนึ่งฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังออกมาเพื่อสกัดพลังดาบของอวิ๋นเป้าให้ล่าถอยไป
แม้จะบีบอวิ๋นเป้ากลับไปได้สำเร็จ แต่เขาก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ อวิ๋นเป้าซัดดาบคราเดียว เขาถึงกับต้องใช้สองฝ่ามือเข้าสู้ เป็นเรื่องน่าตะลึงไม่น้อย ไม่เพียงแต่ดาบของอวิ๋นเป้าไม่ธรรมดา แต่เกราะก็เช่นกัน เห็นแล้วเขาจึงเอ่ยคำขึ้น “ใช้เครื่องมือต้นกำเนิดขั้นยอดทั้งตัว ไม่แปลกที่กล้าประมือกับข้า”
อวิ๋นเป้าไม่สนใจ เขาส่งเสียงคำรามต่ำแล้วกระโจนขึ้นเข้าโจมตีเซินอวิ๋นหงพร้อมกันกับเจียงซีสุ่ยและโจรสลัด
กังเหยียนเองก็พุ่งเข้ามาเช่นกัน ตวัดค้อนเจาะเกราะทลายขุนเขาในมือเข้ามา ตัวค้อนตวัดเข้ามาด้วยพลังรุนแรงไม่อาจหยุดยั้ง อาวุธเหล่านี้ถูกซื้อมาเพื่อรับมือกับคนด่านสู่พิสดารโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นดาบกระจ่างแสงหรือค้อนเจาะเกราะทลายขุนเขาก็ตาม
กังเหยียนนั้นอยู่ด่านกลั่นโลหิต แต่แกร่งกว่าอวิ๋นเป้าอยู่เล็กน้อยเพราะมีร่างกายแข็งแกร่งและชำนาญการต่อสู้ระยะประชิดแต่กำเนิด ค้อนที่กำลังจะเข้าโจมตีนั้นเต็มไปด้วยกำลังที่หมายจะกว้างล้างทกสรรพสิ่ง ส่งผลให้เซินอวิ๋นหงต้องล่าถอยไป
นับเป็นครั้งแรกในการต่อสู้ที่เซินอวิ๋นหงถูกบีบให้ถอยไปเช่นนี้
ทั้งสองฝ่ายเริ่มลงมือเต็มกำลังทันที
เจียงซีสุ่ยนั้นมีหน้าที่ป้องกันเสียส่วนใหญ่ ส่วนคนที่ทำการโจมตีรวมกันนั้นรับหน้าที่บุกโจมตี อวิ๋นเป้ากับกังเหยียนช่วยเข้ามาเสริมจุดที่ขาดตกบกพร่อง การรวมกำลังกันเช่นนี้เป็นแรงกดดันใหญ่หลวงแก่เซินอวิ๋นหง
แล้วการต่อสู้ก็ถึงทางตัน ไม่มีใครคิดก้มหัวยอมแพ้ ดังนั้นตอนนี้ก็ได้แต่แข่งกันว่าใครจะเป็นฝ่ายที่รั้งอยู่ได้จนถึงที่สุด
เซินอวิ๋นหงคำรามลั่นบ้าคลั่งพลางกระแทกฝ่ามือไม่หยุดหย่อน “คิดหรือว่าเครื่องมือต้นกำเนิดไม่กี่ชิ้นมันจะพอ ?”
“อย่างน้อยก็ดึงเจ้าไว้ได้” อวิ๋นเป้าตอบเสียงเย็น
เซินอวิ๋นหงนัยน์ตาส่องแววประหลาด “ดึงข้าไว้ ? คิดจะรั้งให้ข้าใช้พลังต้นกำเนิดจนหมดงั้นหรือ ?”
ในการต่อสู้ครั้งก่อน พลังต้นกำเนิดของเซินอวิ๋นหงหมดลงกลางคัน เขาจึงต้องล่าถอยกลับไป ดังนั้นเขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงจะใช้แผนเดิมเป็นแน่
แต่ครั้งนี้เขามีเว่ยเพ่ย ศัตรูคงรั้งไว้ได้ไม่นานนักหรอก
“รั้งจนกว่าเจ้าจะใช้พลังต้นกำเนิดหมดหรือ ?” อวิ๋นเป้าหัวเราะเย็นชา “ให้ค่าตนสูงไปแล้ว ข้าไม่คิดจะรอนานเช่นนั้น”
“เช่นนั้นรออะไรอยู่ ?” เซินอวิ๋นหงถามเสียงโกรธ
“ก็รอข้าไงเล่า !”
มันเป็นเสียงตะโกนที่ราวกับถูกส่งมาจากเส้นขอบฟ้า เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาพลันพุ่งผ่านหมู่เมฆออกมาราวกับลูกธนู ก่อนจะกระแทกเข้าร่างเซินอวิ๋นหงอย่างจัง