ภาคที่ 3 บทที่ 139 หั่นภูผา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 139 หั่นภูผา

พลังป้องกันของเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆานั้นมีสูงไม่น้อย ทำให้สามารถใช้ตัวเรือเป็นอาวุธได้ และเพื่อให้โจมตีโดนศัตรูจัง ๆ ซูเฉินจึงไม่ได้ใช้ปืนใหญ่ฟ้าลั่น แต่ใช้ลำเรือเข้าโจมตีเซินอวิ๋นหงโดยตรงแทน

แรงส่งหนักหน่วงกระแทกร่างเซินอวิ๋นหงเจ้าอย่างจัง รู้สึกราวกับถูกหอกหนักหากแต่เร็วดั่งสายฟ้าแลบทะลวงร่างจนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

เขาซวนเซไปก่อนจะทรงตัวอยู่ สายตาจับจ้องยังซูเฉินก้วยความตะลึง “เจ้า…… เว่ยเพ่ยเล่า ?”

“ตายแล้ว” ซูเฉินโกหกหน้าตายไร้แววละอาย พร้อมกันนั้นก็กดปุ่มยิงปืนใหญ่ฟ้าลั่น

ลำแสงขนาดใหญ่สว่างจ้าสาดออกไป เซินอวิ๋นหงไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ ดังนั้นจึงรีบหลบ เป็นตอนนั้นเองที่ร่างหนึ่งพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความเร็วสูง คือซูเฉิน พริบตาที่เขากดปุ่มยิงปืนใหญ่ฟ้าลั่น เขาก็กระโดดออกจากเรือเหาะมา และใช้รองเท้าเงาย่ำเมฆาเดินบนอากาศราวกับพื้นดินแล้วพุ่งเข้าใส่เซินอวิ๋นหง

เซินอวิ๋นหงกระแทกหนึ่งฝ่ามือออกโต้ คลื่นพลังถาโถมออกไป ฝ่ามือนี้หมายจะบดขยี้ซูเฉินจนเหลือแค่ชิ้นเนื้อ !

แต่พริบตาที่เขาออกกระบวนท่า ชายหนุ่มก็หายไป ปรากฏอีกทีด้านหลังเซินอวิ๋นหง นี่คือวิชาไล่เงาของรองเท้าเงาย่ำเมฆ !

จากนั้นก็ใช้ดาบในมือตวัดใส่เซินอวิ๋นหงไม่ยั้ง

จังหวะนั้นเซินอวิ๋นหงก็ตะโกนลั่น ทั่วร่างซูเฉินพลันแข็งค้างไปราวกับถูกฟ้าผ่า หากเป็นในยามปกติ เซินอวิ๋นหงเพียงหันไปโจมตีใส่ซูเฉินก็คงทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว

หากแต่เขาทำไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้สู้เพียงกับซูเฉิน

ในตอนที่ซูเฉินประมือกับเขา เจียงซีสุ่ย อวิ๋นเป้า กังเหยียนและโจรสลัดคนอื่น ๆ ก็ฟื้นคืนพลัง กำลังที่ถูกกดข่มไว้เมื่อก่อนหน้าถูกปลดปล่อย ซัดเข้าใส่เซินอวิ๋นหงอีกครั้งหนึ่ง

เซินอวิ๋นหงไร้ทางเลือก จำต้องใช้มังกรเหล็กจนถึงขั้นสุด ส่งคลื่นพลังขนาดใหญ่แผ่กระจายไปรอบทิศราวกับจะกระจายไปทั่วผืนฟ้าก็มิปาน

กระบวนท่านี้ทำให้เขาสกัดการโจมตีทั้งหมดที่พุ่งตรงเข้ามาได้ แต่จังหวะนั้นซูเฉินเองก็ขยับกายได้เช่นกัน

เมื่อหายจากอาการแข็งค้างแล้ว ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็ปรากฏขึ้นมา

เงาร่างไร้หน้าตาก่อร่างขึ้น มันยกแขนขนาดมหึมาขึ้นข้างหนึ่งแล้วยื่นมือเข้ามาจับดาบหั่นภูผาของซูเฉิน ก่อนที่มันจะเข้าไปอยู่ในมือของภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดโดยพลัน จากนั้นก็ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าได้เหมาะมือ

นี่คือความสามารถพิเศษของดาบหั่นภูผา มันสามารถปรับขนาดให้เล็กใหญ่ได้ตามผู้ใช้ปรารถนา โดยที่ไม่ได้ใหญ่ขึ้นเพียงขนาด แต่กำลังก็จะเพิ่มขึ้นตามขนาดด้วย ตามหลักแล้วมันสามารถขยายใหญ่ได้นับร้อยจั้ง ทรงพลังขนาดหั่นภูผายักษ์ได้ ดังนั้นมันจึงได้ชื่อว่าดาบหั่นภูผา

หากแต่การขยายร่างเช่นนี้ ผู้ใช้จำต้องมีร่างกายแข็งแกร่งมาก ดาบหั่นภูผายิ่งใหญ่ก็ยิ่งหนักหน่วง จึงมีแต่คนที่ร่างกายแข็งแกร่งมาก ๆ เท่านั้นที่จะใช้มันได้เต็มความสามารถ ทำให้ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะเปลี่ยนขนาดมันได้ตามใจชอบ

เช่นนี้จึงมีน้อยคนนักที่ทำให้ดาบหั่นภูผากลายเป็นอาวุธที่น่าขวัญผวาได้จริง

ซูเฉินซื้อมันมาเพราะเขามีภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดที่มีขนาดมหึมานับ 10 จั้ง ส่วนดาบหั่นภูผานั้นสูงราว 3 จั้ง

และเมื่อตวัดดาบ มันก็ส่งแรงกดดันมหาศาลราวกับเป็นแรงกดดันจากผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคนหนึ่ง

เซินอวิ๋นหงสะดุ้งตัวโยน เมื่อเผชิญหน้ากับพลังดาบเช่นนี้เขาก็ไม่กล้ามองเมิน เขาวาดมือออกไป ส่งปราณดาบเยือกเย็นพุ่งออกไปปะทะ ปลดปล่อยแรงกดดันแบบเฉพาะของคนด่านสู่พิสดาร และเมื่อมันเข้าปะทะกับดาบหั่นภูผา ก็เกิดเป็นสะเก็ดแสงส่องไปทั่วท้องฟ้า

หากมีเพียงแต่ซูเฉินกับท่าดาบเพียงหนึ่ง เขาก็คงจะปัดป้องมันกลับไป ทั้งยังอาจโต้กลับไปได้แล้ว

หากแต่ยังมีการโจมตีไม่หยุดยั้งของเจียงซีสุ่ย พลังโจมตีรวมกลุ่มของพวกโจรสลัด และคนอื่น ๆ ที่โจมตีเข้ามา ทำให้เขาไร้จังหวะโต้กลับ เมื่อเป็นเช่นนี้จะรุกก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ดี นับว่าเสียเปรียบเป็นอย่างมาก

ซูเฉินยังตวัดดาบต่อไป ทุกท่วงท่ายิ่งน่าผวากว่าเก่า อีกทั้งเขายังใช้สว่านทะลวงเกราะลงในตัวดาบ แม้เซินอวิ๋นหงจะปัดป้องได้ แต่รอยปราณดาบก็ยังทะลวงผ่านเกราะป้องกันเซินอวิ๋นหงไปได้ ทำให้ศัตรูรับมือได้ยากเย็นนัก

เซินอวิ๋นหรู้ว่าตนเสียเปรียบ และหากดำเนินต่อไปเขาต้องแพ้แน่ ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดหนี

เขาอยากหนี ทว่าซูเฉินและเจียงซีสุ่ยอยากให้แขกท่านนี้รั้งอยู่ต่อ

เจียงซีสุ่ยยกมือขึ้น แขนของลั่วโหยวแยกออกเป็นหลายส่วน เกิดเป็นคุกน้ำล้อมกายเซินอวิ๋นหงไว้ ชายชราจึงกลายเป็นนกในกรงที่ไม่อาจสยายปีกหนี

จากนั้นนัยน์ตาเซินอวิ๋นหงก็มีแววประกายวาดผ่าน “คิดจะใช้เพียงเจ้านี่ขังข้างั้นหรือ ?”

พลังของมังกรเหล็กนั้นมหาศาลมาก มันทะลวงคุกน้ำออกมาจนแท่นน้ำที่กักขังเขาไว้สลายไป ไม่อาจกักขังเข้าไว้ได้อีก

แต่เมื่อคิดจะพุ่งตัวออกไปก็ถูกลำแสงสกัดเอาไว้ เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆานั้นควบคุมโดยใช้พลังงานจิต ซึ่งประโยชน์คือแม้ชายหนุ่มไม่ได้อยู่บนเรือเหาะก็ยังสามารถควบคุมมันได้

และการโจมตีครั้งนี้ก็นับว่าจังหวะเหมาะเจาะนัก เซินอวิ๋นหงนับว่าพุ่งเข้าใส่มันตรง ๆ เลยก็ว่าได้

จังหวะนั้นเซินอวิ๋นหงก็ร้องลั่นแล้วใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตน ก่อนแท่นบงกชพลันปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ

ขั้นแรกของการเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคือการสร้างแท่นบงกช

แท่นบงกชเหล่านี้คือขุมพลังของคนด่านสู่พิสดาร เชื่อมต่อพวกเขากับสวรรค์ชั้นฟ้า

เมื่อแท่นบงกชปรากฏ มันก็เริ่มหมุนวนแล้วปล่อยแสงอบอุ่นออกมา ปราณต้นกำเนิดเริ่มแผ่กำจายออกมา ส่วนหนึ่งซึมซาบเข้าร่างผ่านทางหน้าผาก นี่คือการเสริมพลังต้นกำเนิดในร่างเพื่อให้ทนรับแรงปะทะได้ พลังที่เหลือพากันมสรวมตัวอยู่เบื้องหน้าราวกับบานประตู ลำแสงนั้นปะทะเข้ากับแท่นบงกช แรงระเบิดที่ตามมาส่งผลให้ลมพัดกระหน่ำไปทุกทาง

เซินอวิ๋นหงร้องเสียงประหลาด ร่างกระเด็นลอยไป ถูกโจมตีครั้งนี้เขาบาดเจ็บสาหัส ร่างกายบาเจ็บ แต่ที่สำคัญคือแท่นบงกชของเขาก็เสียหาย กระทบถึงพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง นี่คือผลของการดึงเอาแท่นบงกชออกมาปกป้องร่าง ใช้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังรับแรงโจมตี

รับแรงโจมตีครานี้เขาเสียพลังบำเพ็ญไปเกือบ 10 ปี ในใจเขาเกรี้ยวกราด หมายจะกลับมาล้างแค้นในวันหลัง

น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสอีกแล้ว

ซูเฉินมองอีกฝ่ายแล้วใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา

หากแต่ครั้งนี้มันได้ผลน้อยกว่าคราก่อนนัก เซินอวิ๋นหงรู้จากหวังซานหยูแล้วว่าซูเฉินมีวิชาประเภทจิต ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมรับมือ จึงทำให้แข็งค้างไปเพียงพริบตา ก่อนจะหนีออกจากโลกมายาได้

ถึงกระนั้นก็ทำให้เขาพลาดโอกาสสุดท้ายที่จะหนีออกไปทั้งยังมีลมหายใจไปเสียแล้ว

คุกน้ำของเจียงซีสุ่ยปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยดาบหั่นภูผาที่ตวัดมาพร้อมกับคลื่นพลังรุนแรง

เซินอวิ๋นหงถูกคุกน้ำจำกัดการเคลื่อนไหว ทั้งปืนใหญ่ฟ้าลั่น วิชาสรรพสิ่งลวงตา และวิชาโจมตีทั้งหลายต่างพุ่งเข้ามา ทำให้เขาไม่อาจหลบเลี่ยงพวกมันได้เลย

พวกมันประดังเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าจนเลือดเซินอวิ๋นหงที่อยู่ด่านสู่พิสดารไหลชุ่มโชก

เขารู้ว่าตนเสียเปรียบหนัก ในใจได้แต่หวังว่าจะรั้งอยู่จนกว่าเว่ยเพ่ยจะมาช่วยเหลือ

เขาตบหน้าผากตนอีกครั้ง แท่นบงกชปรากฏขึ้นอีกครา

พลังต้นกำเนิดเริ่มแผ่ออกมาจากมันแล้วเริ่มจับตัวกัน กลายเป็นเกราะป้องกันการโจมตีทั้งหลายเอาไว้

หากแต่เกราะทรงพลังนี้ก็แลกมาด้วยพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง ทุกพลังที่ซัดเข้ามาเจ็บปวดจนเซินอวิ๋นหงแทบกระอักเลือด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปแท่นบงกชอาจแตกได้ แล้วเขาก็จะถดถอยกลับไปอยู่ที่ด่านทะลวงลมปราณ และหากไร้ข้อได้เปรียบเรื่องพื้นฐานการบ่มเพาะพลังแล้ว พริบตาเดียวก็คงถูกศัตรูจัดการได้

แท่นบงกชยังคงหมุนไม่หยุด พยายามสกัดกั้นการโจมตีรุนแรงจากทุกทิศทาง พื้นผิวเรียบลื่นแต่เดิมเริ่มเห็นรอยแตกร้าวบ้างแล้ว

ทุกการโจมตีทำลายพื้นฐานการบ่มเพาะพลังที่เซินอวิ๋นหงบ่มเพาะมาชั่วชีวิตไปทีละน้อย ทำให้พื้นฐานพลังเขาใกล้จะพลิกกลับเต็มที

สำหรับเซินอวิ๋นหง ความรู้สึกเช่นนี้ก็ราบกับค่อย ๆ ถูกสับเป็นหมื่นชิ้น

เป็นตอนนั้นเองที่เว่ยเพ่ยปรากฏให้เห็นอยู่ไกล ๆ

หลังจากไล่ตามมานาน เว่ยเพ่ยก็มาถึงสักที

เมื่อเห็นเว่ยเพ่ย นัยน์ตาเซินอวิ๋นหงก็มีประกายหวัง รีบตะโกนเสียงดัง “พี่เว่ย ช่วยข้าด้วย !”

“เขาช่วยท่านไม่ได้หรอก แต่ท่านจะได้ตายอย่างสงบ” ซูเฉินตอบเสียงเย็น

จากนั้นเพลิงดำก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบตัวดาบ เผยกลิ่นอายแห่งความตายออกมา

“ไม่ !”

เซินอวิ๋นหงร้องเสียงสิ้นหวังในตอนที่ดาบหั่นภูผาซัดเข้ามาใส่แท่นบงกช

เปรี๊ยะ !

แล้วแท่นบงกชของเขาก็ปริแตกออก