ภาคที่ 3 บทที่ 140.1 ติดตาม (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 140 ติดตาม (1)

 

 

เมื่อดาบหั่นภูผาทำลายแท่นบงกชได้แล้วมันก็ยังไม่หยุดยั้ง ยังผ่าเข้าร่างเซินอวิ๋นหงจนแยกออกเป็นสองส่วน

 

 

เปลวเพลิงสีดำโหมเข้าใส่ร่าง แผดเผาเซินอวิ๋นหงจนเหลือเพียงเถ้าทันที

 

 

เว่ยเพ่ยเห็นภาพนั้นชัดเจน ทั้งตกตะลึงและตกใจเมื่อเห็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารถูกเผากลายเป็นจุลแล้วสลายหายไปกับสายลมเช่นนั้น

 

 

เขารู้แล้วว่าซูเฉินกลับมาก็เพื่อรับมือกับเซินอวิ๋นหง แต่เขาไม่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะทำอะไรเซินอวิ๋นหงได้มากมาย แค่บีบให้เซินอวิ๋นหงรับมือลำบากก็นับว่าเกินความคาดหมายแล้ว

 

 

แล้วเขาจะคิดหรือว่าสุดท้ายเซินอวิ๋นหงจะหนีไม่รอดแล้วสิ้นใจลงที่ตรงนี้ได้ ?

 

 

การเปลี่ยนแปลงนี้กะทันหันเกินควร เว่ยเพ่ยยังไม่ทันคิดตกและยังไม่ทันรับมือมันได้ ในใจได้แต่ตกตะลึง ยืนมองภาพนั้นตาค้าง

 

 

ทำให้เขาพลาดโอกาสสุดท้ายไป

 

 

หลังจัดการเซินอวิ๋นหงแล้ว ซูเฉินก็หันไปหาเว่ยเพ่ยแล้วหัวเราะ “ท่านมาได้เวลาพอดี”

 

 

เจียงซีสุ่ยวาดแขน คุกน้ำก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ดาบกระจ่างแสงและค้อนเจาะเกราะทลายขุนเขาเองก็เริ่มสำแดงพลังผ่านการโจมตี เว่ยเพ่ยรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน รีบหันหลังวิ่งหนีไปทันที

 

 

แต่หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดเซินอวิ๋นหงจึงไม่อาจหลบหนีไปได้

 

 

ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาขวางทางหนีเว่ยเพ่ยเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆายังพุ่งเข้าใส่เว่ยเพ่ยด้วยความเร็วน่าผวา มาพร้อมกับซูเฉินบนลำเรือ

 

 

วิชาสรรพสิ่งลวงตา คุกน้ำ ค่ายกลแยกฟ้า และศรทั้งหลายถูกซัดเข้ามาทางเว่ยเพ่ยทันที

 

 

เว่ยเพ่ยนั้นทรงพลังและรวดเร็วมาก แต่เมื่อถูกการโจมตีทรงพลังมาจากทั่วทิศเช่นนี้เขาเองก็ตกใจกลัวเป็นเหมือนกัน

 

 

จากนั้นแท่นบงกชก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ มันหมุนพร้อมกับเปล่งแสงจ้า พร้อมกับได้ยินเสียงเว่ยเพ่ยร้องลั่นขึ้นมา “ข้ายอมแพ้แล้ว ข้ายอมแพ้ !”

 

 

เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร แต่ยามเอ่ยคำว่า ‘ยอมแพ้’ เขากลับร้องลั่นออกไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีใดอีก

 

 

แต่หากมันทำให้เขารอดชีวิตได้ ศักดิ์ศรีจะไปมีความหมายอะไรกัน ?

 

 

ตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นรักหน้ายิ่งกว่าอะไรดี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความตายก็สามารถโยนศักดิ์ศรีทิ้งได้เช่นกัน

 

 

แต่แม้เขาจะรักศักดิ์ศรีเพียงไหน ซูเฉินและคนอื่น ๆ ก็ไม่ใส่ใจอยู่ดี

 

 

ดาบหั่นภูผาตวัดลงมาพร้อมกับที่ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น “วิธียอมแพ้ที่ดีที่สุดก็คือยอมตายเสีย”

 

 

“ไม่ !” เว่ยเพ่ยร้องลั่น

 

 

แท่นบงกชปรากฏขึ้นหมุนเวียนวน สกัดดาบหั่นภูผาของซูเฉินไว้

 

 

ดาบหั่นภูผานั้นอาบไปด้วยเพลิงสีดำ เพลิงบางส่วนกระทั่งหลุดออกจากปลายดาบมา แท่นบงกชหมุนอย่างบ้าคลั่ง ซูเฉินคนเดียวก็บีบเว่ยเพ่ยถึงขนาดนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวหากได้เจียงซีสุ่ยและคนอื่น ๆ เข้าช่วย หากเทียบกันเรื่องพลังโจมตีแล้ว วานรเลือดน้ำเงินนั้นยังเทียบกับมังกรเหล็กไม่ได้ด้วยซ้ำไป

 

 

เว่ยเพ่ยรู้ว่าตนตกที่นั่งลำบาก สถานการณ์ตอนนี้ขีดเส้นเป็นตาย หากเขาหยุดมื้อแม้สักพริบตาก็คงไม่มีโอกาสอีก

 

 

เขาร้องลั่น วานรเลือดน้ำเงินพุ่งออกไป กระโจนออกไปไกลกว่า 100 จั้ง

 

 

เมื่อตอนเขาไล่ตามซูเฉิน วานรเลือดน้ำเงินกระโจนแต่ละครั้ง ครั้งละ 30 จั้งเป็นอย่างมาก ดังนั้นซูเฉินจึงคิดว่าวานรรุดหน้าสามารถส่งร่างไปได้ไกลที่สุดแค่เท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะสามารถเร่งให้มากได้ถึง 100 จั้งได้

 

 

พริบตาต่อมา ร่างของเว่ยเพ่ยก็วาบหายไป ไปปรากฏอีกทีห่างจากจุดเดิมเป็น 100 จั้ง

 

 

คุกน้ำของเจียงซีสุ่ยนั้นสร้างขึ้นช้าไปเล็กน้อย เว่ยเพ่ยยังคงใช้วาโยรุดหน้ามุ่งหน้าไปเรื่อยถึง 3 ครั้งติด และแม้การใช้มันติดต่อกันด้วยระยะทางไกลเช่นนี้จะยิ่งทำให้แท่นบงกชเกิดรอยร้าวมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ไม่ใส่ใจ ด้วยเขาต้องหนีออกจากเกาะนี้ให้ได้เสียก่อน

 

 

ดังนั้นคุกน้ำของเจียงซีสุ่ยจึงไม่อาจขังเขาไว้ได้ อีกทั้งพวกกองกำลังโจรสลัด อวิ๋นเป้า และกังเหยียนก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

 

 

มีเพียงชายหนุ่มที่บังคับเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอยู่เท่านั้นที่ไล่ตามได้ทัน แต่เขาก็ไม่คิดจะทำเรื่องโง่เง่าเช่นนั้น เขาขึ้นเรือเหาะไปแล้ววนมารับเจียงซีสุ่ย อวิ๋นเป้า และคนอื่น ๆ ไปด้วย

 

 

หลังจากทุกคนขึ้นเรือเหาะไปแล้ว มันก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ตอนนี้เห็นร่างเว่ยเพ่ยเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งไปแล้ว

 

 

ซูเฉินบังคับเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากไล่ตามไปอย่างดุเดือด เจียงซีสุ่ยขมวดคิ้วมุ่น “ไม่มีคนของข้าแล้ว พวกเราจะรับมือเขาไว้หรือ ?”

 

 

ซูเฉินรีบรับทุกคนขึ้นเรือมา แต่ก็พามาได้เพียงเจียงซีสุ่ย อวิ๋นเป้า กังเหยียน พร้อมทั้งคนด่านทะลวงลมปราณที่นำทัพพวกโจรสลัดมาได้คนหนึ่งเท่านั้น เขาคือหม่าหงเฟย เจียงซีสุ่ยปราบพยศเขาได้เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนี้กลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเจียงซีสุ่ยไปแล้ว

 

 

ซูเฉินตอบ “เขาบาดเจ็บ แท่นบงกชก็เสียหาย ไปไหนได้ไม่ไกลแล้ว พวกเจ้าพักเถอะ ข้าจะใช้เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆาติดตามเขาไปเพื่อทอนกำลังเขาอีกสักหน่อย”

 

 

“เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก ? นี่คือเรือเหาะที่สร้างขึ้นจากซากจักรพรรดิมังกรวารีหลากหรือ ? ไม่แปลกที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้” เจียงซีสุ่ยถอนใจชื่นชมพลางลูบ ๆ โครงภายในของเรือเหาะ

 

 

หลังจากต่อสู้มากว่าครึ่งวัน ทุกคนก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย แม้จะใช้หินพลังต้นกำเนิดฟื้นพลังได้ แต่พลังกายที่เสียไปก็ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ ดังนั้นจึงต้องการพักร่างบ้าง

 

 

“ลองเดาสิว่าเท่าไหร่” อวิ๋นเป้าว่า

 

 

“ของอย่างนี้น่ะหรือ ? อย่างน้อย ๆ ก็ร้อยล้านนะข้าว่า แล้วเจ้าไปเอาหินพลังต้นกำเนิดมากมายเช่นนี้มาจากไหนกัน ?” เจียงซีสุ่ยถามเสียงตะลึง เขามาจากตระกูลผู้นำ ดังนั้นจึงรู้ว่าเป็นเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากในคราเดียว แต่เห็นซูเฉินใช้เงินเช่นนี้ก็ยังตกใจไปไม่ได้

 

 

ซูเฉินยิ้ม ‘ถ่อมตน’ ก่อนพูด “ก็ไม่เท่าไหร่ ประมาณ 60 ล้านเท่านั้น เรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากมีตำหนิหลายแห่งก็เลยถูกกว่าทั่วไป ข้ายังซื้อของใช้ต่าง ๆ มาด้วย ก็เลยได้มาในราคาถูกกว่าครึ่ง”

 

 

“ซื้อของอื่นมาด้วยหรือ ? เสียไปเท่าไหร่ ?”

 

 

ซูเฉินโคลงศีรษะ “ทั้งหมด 155 ล้าน”

 

 

เจียงซีสุ่ยรู้สึกหน้ามืด “เจ้าจะบอกว่าเจ้าใช้เงินไป 160 ล้านตอนไปเมืองฉางผานในคราเดียวเลยหรือ ?”

 

 

ซูเฉินยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่หรอก จำนวนนั้นคือที่ใช้ไปกับร้านจันทร์ลอยเด่น ถ้าในเมืองฉางผาน ? อืม ประมาณ 300 ล้านได้กระมัง”

 

 

เจียงซีสุ่ยซนเซเกือบจะเป็นลม หม่าหงเฟยที่อยู่ข้าง ๆ ก็เกือบเสียสติไป

 

 

หากไม่ได้เห็นเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอสนีบาตเมฆา ดาบหั่นภูผา ดาบกระจ่างแสง ค้อนเจาะเกราะทลายขุนเขา และสมบัติล้ำค่าส่องประกายระยิบระยับอื่น ๆ และเครื่องมือต้นกำเนิดที่ทุกคนมีแล้ว พวกเขาก็คงได้แต่คิดว่าซูเฉินคงพูดไปอย่างนั้น

 

 

เจียงซีสุ่ยจ้องซูเฉินเขม็ง “บอกข้ามาว่าใช้หินพลังต้นกำเนิดไปเท่าไหร่ ?”

 

 

“อวิ๋นเป้า เจ้าบอกเขาสิ” ซูเฉินง่วนอยู่กับการบังคับเรือเหาะ มันตามเว่ยเพ่ยทันแล้ว แต่เมื่อเทียบความต่างพลังแล้วเขาจึงยังไม่คิดโจมตีทันที เพียงแต่เล็งปืนใหญ่ไปยังเว่ยเพ่ยเท่านั้น

 

 

แม้อัตราการยิงโดนของปืนใหญ่ฟ้าลั่นจะต่ำมาก แต่พลังทำลายล้างของมันก็ทำให้อีกฝ่ายต้องคอยระวัง ดังนั้นจึงต้องแบ่งพลังไปใช้หลบหลีกเป็นระยะ ๆ กระทั่งบางครั้งเปลี่ยนทิศทางทั้งที่ไม่จำเป็น

 

 

หากแต่เขาช้ากว่าเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากมาก ไม่ว่าจะพยายามหลบเลี่ยงอย่างไร สุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้น

 

 

เมื่อเห็นเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากยิงปืนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เว่ยเพ่ยก็เตรียมใจ “หากไม่มีคนอื่นคอยช่วย เจ้าคิดหรือว่าแค่พวกเจ้าจะจัดการข้าได้ ?”

 

 

เขาหันกลับไป วานรเลือดน้ำเงินพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย ท้องฟ้าปั่นป่วน แขนสีน้ำเงินขนาดใหญ่ของมันฟาดเข้ามายังเรือเหาะ

 

 

เห็นเช่นนี้ซูเฉินก็ตบเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลาก มันหันหลังกลับแล้วถอยไปทันที

 

 

หนีไปจริง ๆ ด้วย !