ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 173 โอสถหมื่นโลหิต

จอมศาสตราพลิกดารา

ภาพเหตุการณ์ที่แต่เดิมตอบโต้กันไปมา หลังจากหลี่มู่ถอดเสื้อออกก็เสียสมดุลไป ‘กระบี่สวรรค์สิบหกท่า’ ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ถูกสำแดงออกมาไม่รู้กี่รอบ แต่ก็ควบคุมหลี่มู่ไม่ได้เลย ซ้ำทำให้ตัวเองเหนื่อยแสนสาหัส ส่วนหลี่มู่หลังจากถอดเสื้อแล้ว แค่เพียงสองหมัดก็ทำให้ชายชรากระอักเลือดบาดเจ็บสาหัส

 

ภาพนี้น่าเศร้าสลดอย่างยิ่ง

 

คนมากมายต่างเหมือนเห็นการดับสูญของตำนานยอดปรมาจารย์สายยุทธ์เก่าแก่ และก็เหมือนได้เห็นการถือกำเนิดของตำนานใหม่ ยุทธจักรการต่อสู้ คลื่นลูกใหม่กลบคลื่นลูกเก่า มักมีการดับของตำนานเก่าและการเกิดของตำนานใหม่ ไม่มีใครเป็นตัวละครหลักไปตลอดกาล

 

“ผ่านไปยี่สิบปี พลังของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เพิ่มขึ้นมากมาย แต่ก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่มู่”

 

“หลี่มู่ เจ้าเด็กคนนี้เติบโตแล้ว”

 

“กระบี่สวรรค์กำลังรบถึงขั้นยอดปรมาจารย์สูงสุดแล้ว หลี่มู่กลับเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังบอกว่าไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดด้วย นี่…หรือเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทาน?”

 

“จะล่วงเกินหลี่มู่ไม่ได้เด็ดขาด”

 

ครั้งนี้ ในที่สุดบนเวทีชมการประลองก็ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป เหล่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จากขั้วอำนาจต่างๆ เริ่มกระซิบกระซาบกัน ท่าทางตะลึงยิ่งนัก ไช่จือเจี๋ย โจวอีหลิง และเหล่าผู้แข็งแกร่งในกองทัพเผยสีหน้าเคร่งเครียด วิชาหมัดของหลี่มู่อาศัยพละกำลังแข็งแกร่ง บดขยี้ทันที หาช่องโหว่ไม่ได้เลย ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกว่าตนไร้พลัง

 

เจ้าเมืองหลี่กังคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ลูกนอกคอกคนนี้ยังไม่ได้สำแดงพลังฝึกวิชาเวทออกมา ซ้ำยังไม่เผยกำลังภายใน หรือว่าจะมีไพ่ตายอื่นๆ อีก?

 

ใบหน้าของขุนพลใหญ่หนิงหรูซานฉายแววผ่อนคลาย ในใจเริ่มวางแผนบางอย่าง ไม่ว่าจะอย่างไร บุตรนอกสมรสหนิงจิ้งแต่งงานกับเด็กรับใช้ข้างกายมารดาหลี่มู่ เรื่องนี้สำหรับจวนสกุลหนิงล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น

 

ส่วนเหล่าศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์แต่ละคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม

 

หลายปีมานี้พวกเขากำเริบเสิบสานจนเคยชิน พูดได้ว่าเหิมเกริมเอาแต่ใจ อาศัยอำนาจของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ส่วนต้นกำเนิดอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโรงฝึกยุทธ์อย่างธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ตอนนี้ก็โดนซัดจนกระอักเลือด ฝ่ามือแทบใช้การไม่ได้…นี่คือหายนะชัดๆ

 

‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด

 

ถึงแม้เขาจะไม่ลนลาน แต่พลังของหลี่มู่ยังทำให้หวาดกลัวเป็นระลอกๆ คิดถึงวันนั้น หากเขาสูญเสียสติสัมปชัญญะเพราะการตายของจางชุยเสวี่ย จะสังหารหลี่มู่ให้ได้โดยไม่เสียดายว่าต้องแลกด้วยอะไร ยามนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายในโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์รวมทั้งตัวเขา น่ากลัวว่าคงตัวเย็นชืดไปแล้วกระมัง?

 

หากรู้อย่างนี้แต่แรก ไม่ควรตอแยหลี่มู่จริงๆ

 

ทว่า ระหว่างทั้งสองฝ่ายตอนนี้คือความแค้นอาฆาต ไม่ตายไม่เลิกรา มาเสียใจภายหลังกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

 

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้จะต้องสังหารหลี่มู่ให้ได้ มิฉะนั้นโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์นับว่าจบเห่แน่แล้ว

 

ส่วนประธานสมาพันธ์การค้าโจวเต๋อเต้าที่อยู่บนเวทีชมการประลองเช่นกัน ตอนนี้เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ปาดเหงื่อไม่หยุด ในใจเกิดกลัวภายหลัง เทียบกับจางเฉิงเฟิงแล้วฝังลึกกว่ามาก พอเห็นพลังของหลี่มู่น่ากลัวถึงเพียงนี้ เขาตระหนักได้ว่าวันนั้นหากไม่ใช่ว่าหลี่มู่รีบร้อนไปโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เพื่อช่วยเด็กรับใช้อีกคน เกรงว่าสมาพันธ์การค้า และสกุลโจวตอนนี้คงกลายเป็นซากไปแล้ว

 

การต่อสู้ดำเนินมาถึงตรงนี้ ทุกคนต่างคิดว่าผลแพ้ชนะตัดสินชัดแล้ว

 

รวมถึงหลี่มู่ด้วย

 

การประลองเช่นนี้ เขาวาดหวังไว้สูงมาก

 

แต่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ทำให้เขาผิดหวัง

 

ในขณะเดียวกัน เขาก็กำลังขบคิด หากธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์คือตัวแทนของกำลังรบสูงสุดของขั้นยอดปรมาจารย์ เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาสามารถกำจัดผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของขั้นยอดปรมาจารย์ได้ทั้งหมด

 

ทว่า…

 

“ฮี่ๆๆๆ…” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เลือดกบปาก หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “ยังไม่จบหรอก”

 

หลี่มู่หรี่ตาลง “ทำไมกัน เจ้าจะให้ข้าซัดเจ้าจนตายจริงๆ รึไง?”

 

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ใช้คนเป็นๆ สัตว์เป็นๆ ฝึกกระบี่ที่เขาวงกตใต้ดิน เดิมก็เป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมอยู่แล้ว หลี่มู่ไม่เชื่อว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์จะไม่รู้เรื่องนี้ กระทั่งว่าอาจเป็นธรรมเนียมชั่วร้ายที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นตั้งแต่รุ่นของบรรพชนผู้นี้แล้วก็เป็นได้ หลี่มู่ไม่ได้เห็นตัวเองเป็นผู้กอบกู้โลกผดุงความยุติธรรม แต่หากธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ไม่รู้จักดีชั่ว เช่นนั้นเขาก็ไม่รังเกียจหากจะสับให้คนชั่วที่มือเปื้อนเลือดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หัวเราะลั่น “ซัดข้าให้ตาย? ผู้เยาว์ เจ้าดีใจเร็วเกินไปแล้ว”

 

“หืม? เจ้ายังมีพลังเหลืออีก? ถ้างั้นรีรออะไร เชิญเริ่มการแสดงของเจ้าเถอะ” หลี่มู่นึกยินดี

 

ในใจของเขาเฝ้ารอ ดีที่สุดคือธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา เช่นนี้ถึงจะกระตุ้นขีดจำกัดของเขาออกมาได้จริง และขัดเกลาความมุ่งมั่นแรกเริ่มของตนได้อย่างแท้จริง

 

เคร้ง

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์โยนกระบี่ยาวสี่แฉกทรงประหลาดไปไว้ข้างๆ

 

ใบหน้าของเขาเหี้ยมเกรียม

 

เม็ดยาสีแดงเม็ดหนึ่งลอยออกมาจากอกเสื้อของเขา

 

เม็ดยาราวกับเลือดสดแข็งตัวเป็นก้อน ข้างในมีแสงแวววาวหมุนวน ส่องประกายสีเลือดเป็นเส้นๆ พร้อมลอยกระจายออกมาข้างนอก ทันใดนั้น กลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งประหนึ่งมีกองศพสูงเป็นภูเขา เลือดไหลนองเป็นมหาสมุทร ทั่วสนามเหมือนย้อมไปด้วยเลือด เสียงกรีดร้องคร่ำครวญของสรรพชีวิตดังออกมาจากเม็ดยาใหญ่ขนาดหัวแม่มือเม็ดนี้

 

เป็นความรู้สึกชั่วร้ายและแปลกประหลาดมากบางอย่าง

 

บนเวทีชมการประลอง ผู้ที่พลังฝึกล้ำลึกหลายคน ซึ่งรวมเจ้าเมืองหลี่กังอยู่ในนั้นด้วย เมื่อเห็นเม็ดยาสีแดงเม็ดนั้นก็ราวคิดถึงอะไรได้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

ประกายแสงของเม็ดยาสีแดงส่องกระทบคนเรือนหมื่นที่ชมการประลองอยู่รอบๆ พวกเขารู้สึกว่าความวิงเวียนและความชั่วร้ายกระทบมาที่หัวใจ รู้สึกไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง

 

“นั่นคืออะไร?”

 

“ไพ่ตายของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์รึ?”

 

“เม็ดโอสถ? หรือจะเพิ่มพลังยุทธ์ได้?”

 

เสียงกระซิบดังมาเป็นระลอก

 

เหลยอินอินที่มาจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ใจสั่นทันที ตะโกนขึ้นว่า “หน้าไม่อาย สู้ไม่ได้ก็ใช้ยา เจ้า…อื้อๆๆ” ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกสหายที่อยู่ข้างๆ พุ่งไปอุดปากทันที ท่านยายเจ้าเก็บแรงไว้หน่อยเถอะ อย่าเที่ยวพูดส่งเดชเลย

 

ณ จุดที่ไกลที่สุด บนแผ่นป้ายประตูใหญ่ของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่สูงกว่าห้าจั้ง หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุย้ายเก้าอี้พับมา ดื่มเหล้าบ๊วย แทะเมล็ดแตงโมไปพลางกินแตงโมไปพลาง ทิ้งเปลือกแตงโมเปลือกเมล็ดแตงโมเรี่ยราดอย่างไร้จิตสำนึกอยู่กับคู่หูเทพพยากรณ์

 

“ลูกพี่ ทำไมพวกเราต้องมาปีนดูอยู่ที่นี่ด้วย ไกลไปหน่อยนะ”

 

“เจ้าโง่หรือ เช่นนี้ถึงจะดูแตกต่างจากคนอื่นไงเล่า”

 

“ถ้าคนโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์พบว่าเราเที่ยวทิ้งขยะเรี่ยราดอยู่บนป้ายสำนักจะโมโหหรือไม่?”

 

“หากพวกมันไม่โมโห ข้าไม่มาหรอก”

 

“หลี่มู่แข็งแกร่งจริงๆ”

 

“แน่นอน ชายที่ข้าถูกใจ…”

 

“แต่เขาไม่ถูกใจท่านนะลูกพี่”

 

“อ๋า? ถุย เทพพยากรณ์เจ้ากล้าล้อข้าหรือ? ข้าหมายถึงเขาคือคนที่ข้าเตรียมจะลากเข้ากลุ่มด้วย…”

 

“เอ่อ ลูกพี่ คิดให้รอบคอบนะ จะหลอกใครก็ได้ แต่กับหลี่มู่ท่านอย่าเที่ยวทำส่งเดช ท่านสู้เขาไม่ได้”

 

บทสนทนาที่ไร้ซึ่งประโยชน์และคุณธรรมดำเนินไปครึ่งหนึ่ง เปลือกแตงโมในมือของหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุร่วงไปข้างหนึ่ง ใบหน้างดงามอย่างโลลิน้อยฉายแววตะลึงเต็มกำลัง “แม่เจ้าโว้ย นั่นมัน…โอสถหมื่นโลหิต? เจ้าเฒ่ากระบี่สวรรค์หลอมของชั่วร้ายแบบนี้ออกมาอย่างนั้นหรือ?”

 

“โอสถหมื่นโลหิต? เม็ดโอสถชั่วร้ายที่ใช้เลือดจากหัวใจมนุษย์หนึ่งหมื่นคนปรุงขึ้นมาในตำนาน?”

 

“ใช่แล้ว หลี่มู่ลำบากแล้วละ” สีหน้าหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุเคร่งขรึมขึ้น

 

……

 

“โอสถนี้คือ ‘โอสถหมื่นโลหิต’ ที่ข้าใช้เลือดจากหัวใจตัวเองปรุงขึ้นมา เดิมทีไม่คิดจะใช้วันนี้ แต่ว่าผู้เยาว์ เป็นเจ้าที่บังคับข้า”

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์พูดด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม

 

หลี่มู่เบ้ปาก

 

แก่นเลือดจากหัวใจตัวเองหมื่นหยด?

 

หลอกใครกัน เจ้าเอาเลือดจากหัวใจมาหมื่นหยดยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ?

 

อีกทั้ง ‘โอสถหมื่นโลหิต’ ที่ว่ามีกลิ่นอายชั่วร้าย ข้างในยังมีเสียงคร่ำครวญขอความช่วยเหลือของสรรพชีวิตเป็นพันเป็นหมื่นอยู่แว่วๆ ทั้งยังมีกลิ่นอายสังหาร หลี่มู่ที่ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ยิ่งว่องไวกับกลิ่นพวกนี้เป็นอย่างมาก น่ากลัวว่าคงใช้วิธีที่ชั่วช้าสังหารชีวิตไปนับไม่ถ้วนเพื่อหลอมออกมา

 

หลี่มู่นึกถึงทุกสิ่งที่อยู่ในเขาวงกตใต้ดิน ศพที่กองเป็นภูเขา และยังมีเตาเผาศพที่เผาศพทั้งวันทั้งคืน…ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มีที่มาที่ไปเป็นปริศนา จะต้องก้าวสู่สายมารแล้วแน่นอน

 

และในความเป็นจริง สิ่งที่หลี่มู่เดานั้นถูกต้อง

 

เหตุที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์กล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อหาทางลงและให้คำตอบกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่บนเวทีชมการประลองทั้งหลาย

 

โอสถหมื่นโลหิตชั่วร้าย หากเปิดเผยที่มาที่ไปที่แท้จริงออกมาจะสร้างความโกรธแค้นให้กับมวลชน ชื่อเสียงฉาวโฉ่

 

แต่ว่า นอกจากเหล่าคนใหญ่คนโตที่สายตาเฉียบแหลมและข่าวสารข้อมูลรวดเร็วแม่นยำเหล่านี้ เป็นหมื่นคนที่เหลือผู้ที่ดูออกก็มีไม่มาก ขอแค่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ไม่คิดเล็กคิดน้อยเกินไปก็ไม่เป็นไรแล้ว เรื่องแบบนี้พวกเขาต่างรู้อยู่แก่ใจ ไม่พูดออกมาก็พอ

 

“วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ถึงพลังที่แท้จริง”

 

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์อ้าปากกลืนยาเม็ดนี้ เสมือนกลืนกินวิญญาณที่ดิ้นรนกรีดร้องคร่ำครวญนับพันนับหมื่นลงไปในท้อง

 

เพียงเสี้ยวขณะ ทั้งตัวเขาก็เหมือนอาบย้อมไปด้วยเลือด สีแดงสดที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวบริเวณใบหน้า จากนั้นแผ่ลามไปทั่วทั้งตัวอย่างบ้าคลั่ง นั่นเป็นสีแดงที่น่าประหวั่นพรั่งพรึงยิ่ง ราวกับทาด้วยเลือดของวิญญาณพยาบาทจากนรก แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายประหลาดยากจะบรรยาย

 

ในขณะเดียวกัน รอยแผลบนร่างธรรมาจารย์กระบี่สวรรครวมถึงเนื้อหนังของสองมือที่หายไปก็ฟื้นตัวในชั่วพริบตา เลือดที่สาดไปบนเวทีประลองลอยขึ้นดุจมีชีวิต ก่อนแปรสภาพเป็นหยดเลือด กลับเข้าไปในปากของเขาราวนางแอ่นกลับรังอย่างไรอย่างนั้น

 

หลี่มู่ไม่ได้ฉวยโอกาสโจมตี แต่มองดู สังเกต และสัมผัสอย่างสนอกสนใจ

 

เขาสนใจการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อย่างมาก

 

การเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ใดๆ ก็ตามแต่ต่างเป็นความลับวิถียุทธ์ของโลกใบนี้ เป็นตัวแทนถึงแก่นแท้ของมัน และแสดงให้เห็นรูปแบบของพลังที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ทุกอย่างเป็นทฤษฎีทั้งสิ้น

 

เมื่อมีอยู่ แน่นอนว่าย่อมมีหลักการ

 

“แต่ว่าน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ กลืนเลือดที่กระอักออกมากลับลงไปใหม่”

 

หลี่มู่จุปากอย่างประหลาดใจ

 

หลายหมื่นคนที่ชมการต่อสู้ในสนาม รวมถึงผู้ยิ่งใหญ่และผู้แข็งแกร่งบางคนบนเวทีชมการต่อสู้ ครั้นเห็นภาพนี้แล้วต่างปาดเหงื่อแทนหลี่มู่ เด็กหนุ่มนั้นขาดประสบการณ์จริงๆ บนเวทีประลองสู้เป็นตายเช่นนี้ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แค่ดูก็รู้แล้วว่ากำลังสะสมพลังอยู่ แต่เขากลับไม่ฉวยโอกาสโจมตี รอจนธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ผสานพลังโอสถหมื่นโลหิตได้ ถึงตอนนั้นสถานการณ์ก็อาจกลับตาลปัตรแล้ว

 

พวกเขาไม่อาจรู้ถึงสภาพจิตใจของหลี่มู่

 

แต่ทุกคนสัมผัสได้ว่า กลิ่นอายพลังอำนาจของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

 

………………………………………