นั่นไม่ใช่การฟื้นฟูพลังแบบทั่วไป แต่เป็นการระเบิดปะทุอย่างก้าวกระโดด
สิ่งที่ยิ่งประหลาดก็คือ ผิวพรรณที่แต่เดิมเหี่ยวย่น ผมยาวสีแดงเข้ม ขนคิ้วขาวแซมแดงกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาขึ้น ริ้วรอยหายไปหมด ผมเปลี่ยนจากแดงเป็นดำ ขนคิ้วเปลี่ยนเป็นสีดำด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ใบหน้า คิ้วตา และร่างกายเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนว่าพลังมหาศาลของเวลากำลังหมุนย้อนกลับอย่างรวดเร็วบนร่างของเขา
เขากำลังเปลี่ยนสภาพเป็นชายหนุ่ม
“พลังแห่งเวลา?” หลี่มู่ตะลึง
เป็นไปไม่ได้
จากคำบอกเล่าของซินแสเฒ่า เวลาและมิติเป็นพลังที่แม้แต่เทพเซียนก็ไม่อาจควบคุมได้
โดยเฉพาะเวลา กระทั่งว่าเป็นปริศนาที่ใหญ่ที่สุดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บุคคลเยี่ยมยอดคนใดก็ไม่อาจหนีคำสาปแห่งกาลเวลาได้ ต่อให้เป็นราชาเซียนจอมเทพผู้สูงส่งก็ไม่ได้เป็นอมตะ ภายใต้พลังแห่งกาลเวลา ทุกสิ่งยากจะหนีจากการเสื่อมถอยเน่าเปื่อย จะสาวงามพิลาสหรือเด็กหนุ่มที่น่าทึ่ง สุดท้ายแล้วก็ล้วนกลายเป็นกองดิน
เวลาดุจดาบสังหารวีรบุรุษ
บนดาววิถียุทธ์ระดับต่ำดวงนี้ ไม่มีทางมีคนที่ควบคุมหลักการล้ำลึกของเวลาได้
‘สภาพของเขากำลังเปลี่ยน พลังชีวิตเพิ่มขึ้นมาฉับพลัน เลือดลมพุ่งพล่าน โครงสร้างร่างกายแข็งแกร่งขึ้น หลุดพ้นจากสภาพชรา…นี่คือการย้อนคืนโครงสร้างของร่างกาย พลังในกายกำลังเพิ่มมากขึ้น พลังชีวิตที่แก่กล้าทำให้เขาเด็กลง เอ๋ ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ อันนี้น่าสนใจ’
หลี่มู่ตกใจมาก
เหมือนคนที่เกือบตายเพราะหิวกระหาย พอได้อาหารและน้ำที่มากเพียงพอก็กระเสือกกระสนฟื้นขึ้นมาจากความตาย บนโลกเคยมีนักวิทยาศาสตร์อธิบายขั้นตอนการตายตามอายุขัยธรรมชาติ คิดกันว่าเป็นการหลั่งไหลออกไปของพลังงานในร่างกาย พูดให้ถูกก็คือการขาดแคลนพลังงานในเซลล์ จึงไม่อาจรักษาชีวิตได้อีกต่อไป
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เดิมชราภาพมากแล้ว แต่เป็นเพราะพลังฝึกแข็งแกร่ง จึงอายุยืนกว่าคนทั่วไปนานอีกนิด แต่ความเสื่อมโทรมของร่างกายเป็นสิ่งที่พลังฝึกขั้นยอดปรมาจารย์ไม่อาจฝืนย้อนคืนได้โดยสิ้นเชิง นี่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ นอกเสียจากจะยกระดับคุณสมบัติชีวิตตนได้
หลี่มู่เข้าใจขึ้นอีกมากแล้ว
‘หากเป็นการยกระดับคุณสมบัติชีวิต นั่นไม่ได้หมายความว่า…’
เขาตาลุกวาว เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์
และในขณะเดียวกัน บนเวทีชมการประลอง ผู้แข็งแกร่งที่พลังฝึกล้ำลึกบางคนก็เข้าใจเช่นกัน
“ฟ้าประทาน!”
ร่างอ้วนคล้ำราวเจดีย์เหล็กของไช่จือเจี๋ยผุดยืนขึ้นทันใด ร้องตกใจเสียงหลง
ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายในกองทัพและเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ข้างกายของเขาแต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
ในดวงตาของเจ้าเมืองหลี่กังฉายประกายที่ไม่อาจจับสังเกตได้ นิ้วขยับเบาๆ แต่พริบตาต่อมาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยราวคิดอะไรอยู่
เจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เถี่ยจ้าน เจ้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์…
หนิงหรูซานแห่งจวนสุกลหนิง…
ยอดปรมาจารย์ชื่อดังหลายคนในเมืองฉางอันที่มาชมการประลอง…
บนเวทีชมการประลอง ในชั่วขณะนี้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายยากจะสงบนิ่งต่อไปได้ แต่ละคนต่างยืนขึ้นมา สีหน้าตื่นตะลึงขณะมองไปยังเวทีประลองที่พังยับเยิน…
การเปลี่ยนแปลงย้อนวัยที่เกิดขึ้นกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เป็นการยกระดับคุณสมบัติชีวิตอย่างหนึ่ง มีเพียงแค่คำอธิบายเดียวเท่านั้น คือเขาก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว
ฟ้าประทาน
ในเมืองฉางอันจะมีขั้นฟ้าประทานถือกำเนิดขึ้นอีกท่านหนึ่งแล้ว?
ขั้นฟ้าประทาน ผู้แข็งแกร่งไร้พ่าย
ใบหน้าของ ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงปรากฏความลิงโลด เขารอชั่วเวลานี้มานานเหลือเกินแล้ว ทำให้เขาอดไม่ได้หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา ใบหน้าปิดความหยิ่งยโสและคลุ้มคลั่งไม่มิด
เห็นแล้วใช่หรือไม่?
นี่ต่างหากถึงจะเป็นไพ่ตายที่แท้จริงของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์
บรรพชนของข้าเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว
ส่วนรอบๆ สนาม หลายหมื่นคนที่ชมการต่อสู้ส่วนใหญ่ยังตั้งตัวไม่ทัน พลังฝึกสายยุทธ์และประสบการณ์ของพวกเขายังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงไม่ได้มีปฏิกิริยาในทันที แต่ในนั้นก็มีคนสายตาเฉียบคมอยู่บ้าง หลังจากอึ้งตะลึงก็ตั้งสติกลับมา ร้องตกใจเสียงหลงอย่างอดไม่ได้
“ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ทะลวงขั้นแล้ว”
“สวรรค์ วันนี้จะได้เป็นประจักษ์พยานการถือกำเนิดของขั้นฟ้าประทานหรือนี่?”
“จบเห่แล้ว ยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยประมาทเกินไป ไม่ได้ชิงโจมตี ให้คู่ต่อสู้ทะลวงขั้นสำเร็จแล้ว”
“ยังมีโอกาส หลี่มู่ลงมือเร็วเข้า”
เสียงต่างๆ ดังผสมปนเปในสนาม ราวกับคลื่นในมหาสมุทรโหมซัดสาด ฟังไม่ชัดว่ากำลังพูดอะไร แต่ความหมายของท่าทางชัดเจนยิ่ง สีหน้าที่แตกต่างกันไปตอนนี้เหมือนแข็งค้างไปแล้ว
ไกลออกไป บนป้ายสำนัก
เทพพยากรณ์พ่นเปลือกเมล็ดแตงโมออกมา “แย่แล้ว ตาเฒ่ากระบี่สวรรค์บรรลุแล้วจริงๆ ขั้นฟ้าประทานเลยนะ หลี่มู่ลำบากแล้ว”
“ตาเฒ่าบ้านี่สำเร็จขั้นฟ้าประทาน โรงฝึกยุทธ์พลังพายุของพวกเรามิต้องกล้ำกลืนฝืนทนรึ? ผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทาน ถึงอย่างไรข้าก็สู้ไม่ได้” หัวหน้าโรงฝึกยุทธ์ที่ใบหน้างดงามราวเด็กน้อยกลืนแตงโมชิ้นสุดท้ายลงไปในคำเดียวด้วยสีหน้าเกินจริง
นางเช็ดน้ำแตงโมตรงมุมปาก ดวงตากลิ้งกลอก มองไปยังเทพพยากรณ์ผู้ส่งมุกที่ยอดเยี่ยมที่สุดข้างกาย พูดอย่างคล้ายครุ่นคิดอะไรว่า “เจ้าว่าข้าควรกลับไปถอนตัวจากตำแหน่งหัวหน้าแล้วหรือไม่ ตอนที่เจ้าเฒ่านี่มาคิดบัญชี พวกเจ้าคนชั่วจะได้ให้ข้าแบกรับแทนไม่ได้”
“หัวหน้าโรงฝึกคนนี้นี่ จะรับผิดชอบสักหน่อยได้หรือไม่”
“รับผิดชอบอะไร เอามากินเป็นข้าวได้ไหม?”
“เฮ้อ ฝากฝังผิดคนจริงๆ”
“ข้าหน้าสะสวยอ่อนเยาว์ ใครเห็นใครก็รัก ยังไม่ได้เสพสุขในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย จะออกหน้ารับผิดแทนพวกเจ้าได้อย่างไร…แต่จะว่าไป เจ้าดูท่าทางของหลี่มู่ คงไม่ใช่กลัวจนโง่งมไปแล้วกระมัง หน้าตากลับดีอกดีใจเสียนี่ หรือว่า…”
“หรือเขาจะไม่เกรงกลัวขั้นฟ้าประทาน?”
ทั้งสองคนพูดถึงตรงนี้ก็จ้องตากัน ต่างมองเห็นความตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย ก่อนพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า “คงไม่ใช่หรอกกระมัง?”
……
ในที่สุดก็น่าสนใจขึ้นมาหน่อยแล้ว
ขั้นฟ้าประทาน!
ในที่สุดหลี่มู่ก็สัมผัสถึงความกดดันบางส่วนจากกลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่ทะลักล้นมาจากธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ได้แล้ว
ขั้นฟ้าประทานคือการก้าวกระโดดของระดับชีวิตครั้งหนึ่ง จอมยุทธ์ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานหมายถึงทำลายพันธนาการชีวิตที่สวรรค์ลิขิตไว้ได้ และเปิดหนทางในขอบเขตนอกเหนือจากความสามารถของมนุษย์ที่กฎฟ้าดินจำกัดเอาไว้ เป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นเหนือมนุษย์ จากเหนือมนุษย์เป็นเทพ
เมื่อก้าวสู่ขั้นฟ้าประทาน ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล
สำหรับจอมยุทธ์แล้ว เมื่อก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานจะผลัดเนื้อเปลี่ยนกระดูก มีอายุขัยที่ยิ่งยืนยาว ร่างกายยิ่งแข็งแกร่ง พลังจิตวิญญาณยิ่งบริสุทธิ์ เส้นทางสายหลักปรากฏอยู่เบื้องหน้า…สรุปแล้ว ทุกๆ ด้านของร่างกายล้วนแกร่งมาก เหนือกว่าคนทั่วไป
“ฮี่ๆๆๆๆ…” ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หัวเราะได้ใจอย่างยากจะควบคุม น้ำเสียงแฝงด้วยความเหี้ยมโหดชวนให้คนขนลุก
เขาในตอนนี้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้วโดยสมบูรณ์ หน้าตากลายเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบ รูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าเหลี่ยม ปากกว้าง คิ้วดาบ ผมดกดำ หรือคือหน้าตาของเขาในยามหนุ่มนั่นเอง นี่เป็นการย้อนวัยโดยสมบูรณ์แบบ
“ผู้เยาว์ เจ้าประมาทไปแล้ว เจ้าจะต้องจ่ายชดใช้อย่างแสนสาหัสให้กับความประมาทของเจ้า”
ในดวงตาของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มีประกายกระบี่แผ่ออกมา เลือดลมทั่วร่างปั่นป่วนราวกับมหาสมุทรกว้างใหญ่ ละอองหมอกสีแดงคล้ายควันที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าโอบล้อมร่างกายเขาไว้ประดุจเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ นี่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของขั้นฟ้าประทาน เลือดลมราวคลื่น มากมายไร้สิ้นสุด พลังชีวิตของคนคนหนึ่งเทียบเท่ากับหลายพันคน
หลี่มู่กระดิกนิ้วท้าทาย “อย่างนั้นรึ? เช่นนั้นยังจะรออะไรอีก รีบแสดงให้ข้าได้เห็นหน่อยเถอะว่าพลังของขั้นฟ้าประทานแข็งแกร่งเพียงใด”
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์หัวเราะเหี้ยมเกรียม “บอกมาเถอะ เจ้าอยากตายอย่างไร”
หลี่มู่พูดขึ้นอย่างรำคาญ “พูดมากความจริง ตัวประกอบเจ๋งๆ ทั้งหลายในละครส่วนใหญ่ก็ตายเพราะพูดมากนี่แหละ…ข้าลงมือก่อนแล้วกัน” พูดจบเขาก็ลงมือทันใด หมัดหนึ่งโจมตีออกไป ปราณหมัดดุจสายฟ้า พลังหมัดดั่งคลื่น ทรงพลังไร้จิตใจ ตราประทับหมัดอันมหึมาโจมตีไปยังธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์
“เปล่าประโยชน์ สายไปแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะ ก่อนอ้าปากพ่นปราณกระบี่ออกมา
แสงกระบี่กวาดไปในท้องฟ้า เป่าพลังหมัดของหลี่มู่กระจายหายไปเสมือนเป่าเมฆลอยไร้รากอย่างไรอย่างนั้น
“จิๆ น่าสนุก” รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่มู่ยิ่งสดใสกว่าเดิม
ตอนนี้ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แข็งแกร่งกว่าก่อนหลายเท่า
“ข้าก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว เจ้าและข้าแตกต่างกันดุจเทพเซียนกับมนุษย์ ตอนนี้ข้าสังหารเจ้าง่ายดายราวเชือดไก่” ทั่วร่างของเขาเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจอันแรงกล้า สายตาที่มองหลี่มู่ราวกับแมวหยอกหนู ทั้งหยอกเย้าและเหี้ยมโหด
จิตกระหายต่อสู้ของหลี่มู่ลุกโหม “อย่าวางท่า มาสู้เถอะ”
เขาตื่นเต้นนัก จัดการลงมืออีกครั้ง ร่างเพียงกะพริบก็ราวสายฟ้าบุกมาถึงข้างกายธรรมจารย์กระบี่สวรรค์ หมัดหนึ่งโจมตีออกมา หมัดนี้ซัดจนอากาศรอบๆ ระเบิด กระแสอากาศในท้องฟ้าพังทลาย ภาพฉากน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เหมือนว่าหมัดนี้ซัดออกมาจนฟ้าถล่มก็ไม่ปาน
พลังหมัดเช่นนี้คือหมัดที่เอาชนะธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก่อนหน้านี้ได้
ทว่าครั้งนี้ชายชราตามความเร็วของหลี่มู่ได้ทัน
เขาไม่หลบไม่หลีก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ และโจมตีหมัดหนึ่งออกมา ใช้หมัดปะทะหมัดเช่นกัน ภายในประกายหมัดแฝงด้วยปราณกระบี่คมกริบเหมือนตัดทองขยี้หยกได้ ต่างจากปราณหมัดของหลี่มู่ที่หนาและหนักแน่นโดยสิ้นเชิง
ตูม!
การปะทะกันของหมัดทั้งสองประหนึ่งอุกกาบาตพุ่งชน
กระแสอากาศที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าทะลักล้นออกมาระหว่างหมัดดั่งคลื่นคลั่ง
ร่างของหลี่มู่ไหวเอน ก่อนจะหยุดนิ่งลง
ส่วนธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ครางเสียงต่ำ ใบหน้าแดงก่ำ ถอยหลังไปหลายก้าว เนื้อตรงหมัดเหวอะหวะ ปรากฏรอยเลือดให้เห็นอีกครั้ง
“เอ๋? แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยๆ แต่ก็ไม่เท่าไหร่นะ ผู้เฒ่า เจ้ามั่นใจเกินไปแล้ว” หลี่มู่หัวเราะเย้ยหยัน
สีหน้าของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ไม่น่ามองเล็กน้อย ก่อนจะฉายแววเหี้ยมโหด กัดฟันแค่นเสียงหัวเราะ “อย่าได้ใจไป ก็แค่เพราะข้าเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน พลังยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์เท่านั้น แต่นี่ก็เป็นแค่ปัญหาเรื่องเวลา ทุกชั่วขณะ ข้ากำลังแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุด ไม่นานนักในกายก็จะเกิดพลังฟ้าประทานขึ้นมา ต่อให้เจ้าดิ้นรนสุดกำลัง จะดิ้นรนไปได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว?”
หลี่มู่กลับพยักหน้ายอมรับ เอ่ยว่า “นั่นก็ใช่…”
เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน พลังภายในกาย การยกระดับคุณสมบัติกาย ล้วนแต่ต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ใช้โอสถหมื่นโลหิตทะลวงขั้น จนถึงตอนนี้เป็นเวลาแค่ไม่กี่สิบอึดใจเท่านั้น ก็สามารถต้านทานหมัดของหลี่มู่ได้ซึ่งหน้าแล้ว หากเวลานานขึ้นอีกหน่อยจะน่ากลัวถึงเพียงใด?
ประมาณได้ยากยิ่ง
ทว่าหลี่มู่กลับไม่ลนลาน
“ข้าสงสัย ในเมื่อเจ้ามี ‘โอสถหมื่นโลหิต’ ทำไมจึงไม่กินเข้าไปแล้วทะลวงขั้นเสียแต่ทีแรก ต้องทู่ซี้ขึ้นมาบนเวทีให้ข้าปั่นหัวถึงจะตัดสินใจได้ หรือเจ้ามีแนวโน้มชอบโดนทารุณ? หรือว่า ‘โอสถหมื่นโลหิต’ ที่จริงแล้วมีข้อบกพร่องอะไรอยู่?”
……………………………