ตอนที่ 315 ทาสบุปผาเฝ้าบัวหิมะ

พันธกานต์ปราณอัคคี

“คุณหนู พวกเราล่าเหยื่อได้ กำลังล้างในน้ำพุน้ำแข็งนี้ เย็นนี้จะได้เพิ่มกับข้าวไงล่ะเจ้าคะ” เป็นเสียงสดใสของจิ่วเย่ว์

 

 

มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินสัมผัสได้ว่าพลังสายหนึ่งส่งผ่านมา ลากพวกนางตรงขึ้นฝั่งไป จากนั้นโยนทิ้งไว้บนพื้น

 

 

เสียงนิ่งเรียบกระจ่างใสนั่นดังขึ้นอีกว่า “เหลวไหล นี่ก็ใช่เหยื่อหรือ?”

 

 

“คุณหนู มนุษย์และไก่หิมะสำหรับพวกเราแล้วก็เหมือนๆ กันมิใช่หรือ จิ่วเย่ว์ได้ยินมาว่ามนุษย์ที่เคยบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ โดยเฉพาะหญิงสาว รสชาติจะดีกว่าอีกนะ…”

 

 

“จิ่วเย่ว์!” ชีซีทอดแววตาตักเตือนมา

 

 

“พวกเจ้าตามข้ากลับไป พาพวกนางมาด้วย” เสียงหญิงสาวสงบไร้คลื่นลม หันหลังเหยียบเมฆไปแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินหน้ามืดตาลาย ยามที่ยกศีรษะขึ้นอย่างเปลืองแรงได้เห็นเพียงเงาหลังสีขาวดุจหิมะเงาหนึ่งเท่านั้น ต่อจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวถูกหิ้วขึ้น เหินฟ้าไปแล้ว

 

 

ไม่นานนัก ถึงสุดทางพื้นดิน มั่วชิงเฉินถึงพบว่าที่ที่พวกนางอยู่ไม่คิดว่าจะเป็นยอดเขามหึมาลูกหนึ่ง อีกด้านหนึ่งที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง คือยอดเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะระยิบระยับเช่นกัน

 

 

ระหว่างสองเขา คือเหวลึกหมื่นจั้ง มองไม่เห็นก้น ตรงกลางหมอกควันวูบวาบ เมฆล่องลอย ไม่เหมือนโลกมนุษย์

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าที่หิ้วตนคือจิ่วเย่ว์หรือว่าชีซี ยามข้ามเหวลึก ทะเลเมฆที่ม้วนทะยานโถมเข้าหน้า ราวกับเข็มน้ำแข็งละเอียดเหมือนขนวัวนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้ากระดูก เจ็บไปถึงหัวใจ ในชั่วอึดใจรอบตัวปรากฏวงแสงสีขาวขึ้น ความหนาวเย็นเช่นนั้นถึงหายไปเหมือนน้ำลง

 

 

มั่วชิงเฉินแอบตกใจ ทิวทัศน์งดงามที่ดูเหมือนอบอวลด้วยปราณเซียนกลับซ่อนความอำมหิตไว้ หากไม่มีวงแสงสีขาววงนั้นปรากฏขึ้นทันท่วงที ด้วยตบะของตนต้องต้านไม่ไหวแน่นอน

 

 

บินถึงตรงข้าม พวกเขากระโดดขึ้นไป ไม่นานนักก็หยุดลง

 

 

มั่วชิงเฉินฝืนลืมตาขึ้นแอบสังเกตการณ์ สิ่งที่มองเห็นยังคงเป็นกำแพงน้ำแข็งหมื่นลี้ สีขาวของหิมะ ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าไม่คิดว่าจะมีตำหนักหลังหนึ่งทำจากก้อนน้ำแข็ง กระจ่างใสใต้แสงอาทิตย์ สวยอย่าบอกใคร บนประตูตำหนักสลักไว้สามคำ ‘วังกว่างหาน’

 

 

พวกเขาเข้าประตูตำหนักพร้อมกัน เดินไปถึงโถงดอกไม้ที่หนึ่ง หญิงสาวนั่งลง แล้วมองไปที่สาวน้อยสองคนว่า “พวกเจ้าจับพวกนางสองคนได้ที่ไหน?”

 

 

จิ่วเย่ว์และชีซีสบตากันปราดหนึ่ง แล้วเล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวรอบหนึ่ง

 

 

หญิงสาวสะบัดแขนเสื้อ กลิ่นอายสดชื่นสายหนึ่งถาโถมเข้ามา มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินที่อาบอยู่ในกลิ่นอายนี้รู้สึกร่างกายสบายขึ้นมาก

 

 

“พวกเจ้ามาจากที่ไหน แล้วเข้าวังกว่างหานมาได้เช่นไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินถึงเงยหน้ามองไปที่หญิงสาวคนนั้น เห็นโฉมหน้านางชัดแล้วอดใจเต้นตึกตักไม่ได้

 

 

หญิงผู้นั้นคิ้วโก่งเหมือนคันศร ผิวดุจดอกท้อแย้มยิ้ม สีหน้าดันเย็นดุจหิมะ ไฝแดงที่หว่างคิ้วเพิ่มความมีเสน่ห์พริ้มพรายให้นาง

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นสาวงามหยดย้อยมาไม่น้อย หากพูดถึงโฉมงามเพียงอย่างเดียว หญิงสาวผู้นี้สู้บรรพบุรุษนางเวินหนิงไม่ได้ และก็สู้ปีศาจปลาตวนมู่จิ้งไม่ได้ กระทั่งเทียบต้วนชิงเกอและหลัวเตี๋ยจวินที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน ทว่าบุคลิกขัดแย้งกันที่เกิดจากการผสมสานกันของเสน่ห์เย้ายวนและความเย็นชาของนาง กลับกุมหัวใจของคนไว้อย่างแน่นหนา

 

 

ที่แปลกกว่านั้นคือ บุคลิกเช่นนี้ มักทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกคุ้นเคย

 

 

“คุณหนูถาม พวกเจ้าสองคนเป็นใบ้หรือ?” จิ่วเย่ว์ด่าว่า

 

 

ชีซียิ้มว่า “จิ่วเย่ว์ พวกนางยังถูกเจ้าปิดปากอยู่นะ”

 

 

จิ่วเย่ว์ฮึเบาๆ เสียงหนึ่ง ขยับมือแสงสีขาวสองก้อนก็บินออกจากปากมั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวิน

 

 

คนอื่นเป็นมีดข้าเป็นผักปลา ความรู้สึกไร้ทางสู้เช่นนี้ทำให้มั่วชิงเฉินหลุบตาลง

 

 

บนพื้นปูด้วยหยกหิมะ ลื่นเป็นเงา สะท้อนเงาของนาง

 

 

มั่วชิงเฉินคิดขึ้นมาได้ กระจ่างในบัดดล มิน่าบุคลิกของหญิงสาวผู้นั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ ที่แท้มีส่วนคล้ายกับตนสองสามส่วนอย่างไม่คาดคิด

 

 

ไม่ทันได้คิดมาก ก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวดังขึ้นอีกว่า “ไม่ต้องกลัว พวกเจ้าจงพูดตามจริง”

 

 

หลัวเตี๋ยจวินแม้คุกเข่าอยู่บนพื้น ตัวกลับยืดตรง เห็นท่าทางเม้มปากแน่นของนาง มั่วชิงเฉินรู้ว่าด้วยนิสัยของนางต้องไม่ยอมเปิดปาก จึงได้แต่พูดว่า “เรียนผู้อาวุโส พวกเราสองคนยามที่ออกมาฝึกตนเจอภูเขาถล่มเข้า ไม่รู้เพราะเหตุใดบนฟ้าสั่นไหวอย่างรุนแรง เราหลบหนีไม่ทันรอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”

 

 

ในเมื่อหญิงสาวสามคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ เรื่องที่ถูกอสูรปีศาจไล่ฆ่าไม่พูดถึงจะดีกว่า

 

 

หญิงสาวอ้อเบาๆ เสียงหนึ่งว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เกรงว่าพวกเจ้าจะไม่รู้ เขากว่างหานนี่เข้าได้ออกไม่ได้ ในเมื่อพวกเจ้ามีโอกาสวาสนามาถึงที่นี่ ก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ”

 

 

“คุณหนู เก็บมนุษย์สองคนไว้ทำอะไร เปลืองเสบียงอาหารเปล่าๆ” จิ่วเย่ว์เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ

 

 

ชีซีหัวเราะฟู่ว่า “จิ่วเย่ว์ ใครไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์ถึงระดับสร้างรากฐานแล้วก็สามารถเลี่ยงธัญพืชได้ นางหนูน้อยสองคนนี้อยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว จะเปลืองเสบียงอาหารได้อย่างไรกัน ข้าว่าเจ้ากินพวกนางไม่ได้ ไม่ยอมมากกว่ากระมัง”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน จิ่วเย่ว์คนนี้ตกลงเป็นอสูรปีศาจอะไรกันแน่ เหตุใดจึงคิดแต่จะกินพวกนาง!

 

 

หญิงสาวเสียงนิ่งเรียบมากว่า “วังกว่างหานที่ใหญ่โตเพียงนี้มีเพียงเรานายบ่าวสามคน เงียบเหงาเหลือเกิน เก็บพวกนางไว้ถือเสียว่าจะได้ครึกครื้นขึ้น บัวหิมะจันทราที่สระหมื่นเหมันต์หลังเขาใกล้จะบานแล้ว ต้องการคนดูแลตลอดเวลา ชีซี จิ่วเย่ว์ พวกเจ้าพาพวกนางไปเฝ้าสระอยู่ที่นั่นเถอะ”

 

 

“เจ้าค่ะ คุณหนู” สาวน้อยสองคนตอบรับพร้อมกัน จับไว้คนละคนแล้วเดินออกข้างนอกไป

 

 

มั่วชิงเฉินทันเพียงเหลือบมองหญิงสาวนั่นปราดหนึ่ง กลับเห็นหญิงสาวผู้นั้นทอดสายตาออกไปไกล สีหน้าเหนื่อยล้ายิ่งนัก

 

 

อสูรปีศาจขั้นเจ็ดคนหนึ่ง จำแลงเป็นมนุษย์แล้วกลับทำท่าทางเหมือนหมดอาลัยตายอยาก ช่างประหลาดจริง

 

 

“อ้าว ถึงแล้ว” จิ่วเย่ว์โยนมั่วชิงเฉินลงบนพื้นอย่างไม่เกรงใจ

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน ฝืนยืนขึ้นมา

 

 

“จิ่วเย่ว์ เจ้าเบาหน่อย คุณหนูให้พวกนางเฝ้าสระ งานเรายังน้อยลงงานหนึ่ง หากทำพวกนางตายจะทำเช่นไร” ชีซีตำหนิพลางวางหลัวเตี๋ยจวินลงเบาๆ

 

 

จิ่วเย่ว์หัวเราะคิกคักว่า “รู้แล้วน่ะ คนเขาชินแล้วนี่นา เห็นพวกนางเป็นประเภทไก่หิมะ นกกระจอกน้ำแข็งเรื่อย”

 

 

ชีซีทอดสายตามา กวาดผ่านทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าฟังให้ดี คุณหนูไว้ชีวิตพวกเจ้าเป็นโชคของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าต้องทำงานที่คุณหนูมอบหมายให้ดี ดูแลบัวหิมะจันทราให้ดี”

 

 

มองตามนิ้วมือนางไป พวกมั่วชิงเฉินสองคนตกตะลึงอย่างมาก

 

 

สระที่ก่อจากหยกหิมะพันปี น้ำใสกระจ่าง หนาวเข้ากระดูกชัดๆ กลับไม่แข็งเป็นน้ำแข็ง ไอสีขาวอบอวลลอยขึ้น กลายเป็นเมฆน้ำแข็งมากมาย

 

 

เมฆน้ำแข็งพวกนั้นเพราะมีไอสีขาวไม่ขาดสายคอยดันขึ้นจึงไม่ตกลงมา ลอยละล่องอยู่เหนือสระน้ำช้าๆ แสงอาทิตย์ส่องลงข้างบน เหมือนสาดเสร็จเงินนับไม่ถ้วน สว่างเจิดจ้า เงาดาราพร่างพราย

 

 

ใจกลางสระน้ำ คือใบบัวเขียวมรกต บนยอดก้านบัวดันดอกบัวตูมไว้ดอกหนึ่ง

 

 

ดอกตูมเป็นสีฟ้าน้ำแข็งอันประหลาด หุบสนิทแน่น รอบๆ มัน ล้อมด้วยสายรุ้งสองเส้น นกกระจอกวิญญาณเริงระบำ

 

 

“บัวหิมะจันทราเกิดจากแสงจันทร์ บอบบางสูงส่ง ที่กลัวที่สุดก็คือปราณหยางบริสุทธิ์ พวกเจ้าต่างเป็นหญิงสาว ให้มาดูแลกำลังเหมาะ พวกเจ้าจำไว้ ยามเหม่าและยามเที่ยงของทุกวันเป็นยามที่แสงอาทิตย์รุนแรงที่สุด จำเป็นต้องใช้ร่มไผ่เหมันต์นี้บังให้บัวหิมะจันทรา หากในสองชั่วยามนั้นไม่ได้บังแดดให้บัวหิมะจันทรานานเกินหนึ่งเค่อ บัวหิมะจันทราก็จะเ**่ยวเฉาตาย ถึงเวลา พวกเจ้าตายร้อยครั้งก็ไม่พอชดใช้ จำไว้หรือจัง?” เสียงชีซีเข้มงวดขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินสบตากันปราดหนึ่ง แล้วพยักหน้าเนิบๆ ไม่ว่าอย่างไร รักษาชีวิตไว้ก่อนสำคัญที่สุดแล้ว

 

 

“พี่ชีซี เราไปกันเถอะ ไก่หิมะนั่นขืนไม่จัดการอีก ก็ไม่สดแล้ว” จิ่วเย่ว์ลากชีซี ไปอย่างเบิกบานแล้ว

 

 

พริบตาเดียวก็เหลือพวกมั่วชิงเฉินสองคน

 

 

“สหายเต๋ามั่ว บัดนี้ทำเช่นไรดี?” หลัวเตี๋ยจวินถามขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือบมองบัวหิมะจันทราปราดหนึ่ง ถอนใจเบาๆ ว่า “ยังจะทำอะไรได้ ได้แต่ดูแลบัวหิมะจันทราให้ดีก่อนแล้ว ดูท่าทางบัวหิมะนี่ คงไม่บานในเวลาอันสั้นแล้วล่ะ อย่างน้อยก่อนดอกจะบาน อสูรปีศาจสามตัวนั้นจะไม่ทำอะไรเรา”

 

 

หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้าว่า “ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว ยังดีที่วันหนึ่งต้องดูแลเพียงสองชั่วยาม เวลาที่เหลือเรายังบำเพ็ญเพียรได้” พูดถึงนี้เกิดคิดอะไรขึ้นได้ สายตาเร่าร้อนมองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าและข้าสองคนต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ หากบัวหิมะจันทรานี่ไม่บานภายในสิบปี ไม่แน่…เราอาจสามารถเลื่อนเข้าระดับก่อแก่นปราณก็ได้ใครจะไปรู้!”

 

 

“สหายเต๋าหลัวหมายความว่า?”

 

 

ดวงตาของหลัวเตี๋ยจวินสว่างยิ่งขึ้น สุกใสดั่งดาราว่า “เจ้าไม่ได้ยินหญิงสาวนั่นพูดหรือ ว่าที่เขากว่างหานนี่มีเพียงพวกนางนายบ่าวสามคน หากเป็นเช่นนี้จริง เมื่อไรที่เราก่อแก่นปราณ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวจิ่วเย่ว์กับชีซี ต่อหน้าหญิงสาวผู้นั้นแม้ไม่มีแรงตอบโต้ กลับไม่ใช่ไม่มีโอกาสหนีเสียเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋าหลัวพูดได้ถูกต้อง เราสามารถฉวยโอกาสนี้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรก็ไม่เลว พอดีข้าระหกระเหินมาหลายปี ควรสงบใจบำเพ็ญเพียรมานานแล้ว”

 

 

มีประโยคหนึ่งกลับไม่ได้พูด หญิงสาวผู้นั้นไม่เพียงพูดว่าที่นี่มีเพียงพวกนางนายบ่าวสามคน ยังบอกว่าเขากว่างหานนี่เข้าได้ออกไม่ได้ ถึงเวลาคิดจะออกไป เกรงว่าจะไม่ง่าย

 

 

ทว่าเรื่องวางแผนการหนีก็เป็นเรื่องหลังจากก่อแก่นปราณได้แล้ว บัดนี้พูดออกมาบั่นทอนความมั่นใจเปล่าๆ สู้ไม่พูดดีกว่า

 

 

ที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่มั่วชิงเฉินไม่ได้พูด อย่าว่าแต่หลัวเตี๋ยจวินเลย เกรงว่าอสูรปีศาจสามคนนั้นก็คาดไม่ถึง นางรู้ว่าบัวหิมะจันทราเป็นสมบัติล้ำค่าในโลกมนุษย์ที่ได้โชควาสนาจากฟ้าดินถึงเพียงไหน!

 

 

ในฟ้าดินมีไฟอัศจรรย์ตามธรรมชาติหลายชนิด นางและหลัวอวี้เฉิงเคยได้ไฟหน่อไม้หินที่สามารถเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณที่แดนไร้วิญญาณมาก่อน ไฟหน่อไม้หินนี้กลับอยู่ท้ายสุดของไฟอัศจรรย์

 

 

ไฟอัศจรรย์ที่อยู่อันดับหนึ่งชื่อว่าไฟศักดิ์สิทธิ์โกลาหล อันดับสองชื่อว่าไฟกรรมบัวแดง อันดับสามคือไฟแจ้งกาทอง อันดับสี่ก็คือเปลวน้ำแข็งเหมันต์

 

 

เพราะว่ามั่วชิงเฉินมีเพลิงแก้วใจกระจ่างกับตัว เคยเสาะหาสืบข่าวไฟอัศจรรย์พวกนี้โดยเฉพาะ แม้รู้น้อยมากเกี่ยวกับไฟอัศจรรย์บางอย่าง กลับรู้พอดีว่าเปลวน้ำแข็งเหมันต์ที่อยู่อันดับสี่แปลงจากแก่นแห่งจันทรา เป็นเปลวน้ำแข็งที่พิเศษมาก และสิ่งที่ให้กำเนิดเปลวน้ำแข็งเหมันต์นี้ก็คือบัวหิมะจันทรานั่นเอง!

 

 

หากเลื่อนเข้าระดับก่อแก่นปราณ อีกทั้งสามารถกำราบเปลวน้ำแข็งเหมันต์ได้ละก็ ไม่แน่ เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรปีศาจขั้นเจ็ดนั่นอาจมีกำลังสู้กันสักตั้ง…

 

 

ความคิดพวกนี้ฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมั่วชิงเฉิน ไม่ใช่นางมีเจตนาปิดบังหลัวเตี๋ยจวิน เพียงแต่กำแพงมีหู นางกลัวว่าหากพูดออกมาแล้วถูกอสูรปีศาจสามตัวนั้นรู้เข้า จะเป็นการตัดโอกาสรอดสายสุดท้ายทิ้งไป

 

 

ก็เป็นเช่นนี้มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินเฝ้าอยู่ข้างสระหมื่นเหมันต์ ดูแลบัวหิมะจันทราทุกวัน เวลานอกเหนือจากนั้นก็นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร ตบะแม้ไม่อาจเพิ่มขึ้นอีก สภาพจิตใจรากฐานกลับแน่นปึกขึ้นทุกวัน

 

 

เฝ้าอยู่เช่นนี้ แล้วเวลาสิบปีก็ผ่านไป