ตอนที่ 316 ใจสงบรอโอกาส

พันธกานต์ปราณอัคคี

“อ้าว ย่างไก่หิมะตัวนี้เสีย ยังต้องใช้น้ำผึ้งดอกท้อที่เจ้าทาคราวที่แล้วอีก” จิ่วเย่ว์โยนไก่หิมะตัวหนึ่งไปไว้หน้ามั่วชิงเฉิน ออกคำสั่งอย่างเป็นธรรมชาติมาก

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาไม่ได้พูดอะไร จัดการไก่หิมะเงียบๆ พร้อมหลัวเตี๋ยจวิน

 

 

สิบปีมานี้ ไม่ได้เป็นดังเช่นนิทานมากมายนั้น ที่คนและปีศาจค่อยๆ กลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน ท่าทีที่จิ่วเย่ว์และชีซีมีต่อพวกนางไม่ได้ดีไปกว่ายามเริ่มแรกสักเท่าไร

 

 

มีครั้งหนึ่งมั่วชิงเฉินล่ากระต่ายหิมะได้ตัวหนึ่ง ย่างกระต่ายหิมะกลางหิมะ ดื่มสุราแรงกับหลัวเตี๋ยจวิน กลิ่นหอมของเนื้อและสุราลอยไปไกล ดึงดูดจิ่วเย่ว์และชีซีมา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกนางก็ล่าสัตว์มาให้มั่วชิงเฉินย่างให้พวกนางกินเป็นระยะ

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจดี ในสายตาจิ่วเย่ว์และชีซี พวกนางเป็นเพียงทาสบุปผาที่คอยดูแลบัวหิมะเท่านั้น หากไม่เพราะคำสั่งของหญิงสาวผู้นั้น ก็มีชีวิตรอดมาไม่ถึงบัดนี้โดยสิ้นเชิง

 

 

ส่วนหญิงสาวที่มีไฝแดงที่หว่างคิ้วผู้นั้น ก็ไม่เคยได้พบอีกเลย

 

 

“ใช่แล้ว เจ้าชื่ออะไรนะ?” จิ่วเย่ว์เชิดคางขึ้นเล็กน้อย กวาดมองมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินถอนขนไก่หิมะพลาง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “กู้ชิงอิน” ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อยู่ที่นี่มาสิบปี ยังเป็นครั้งแรกที่พวกนางถามชื่อนาง

 

 

“แซ่กู้?” เสียงจิ่วเย่ว์เย็นชาลงมา “ฮึ ท่านย่าข้าเคยพูดไว้ คนแซ่กู้ล้วนไม่ใช่คนดี!”

 

 

ขนตาดุจพัดเล็กๆ ของมั่วชิงเฉินสั่นระริก ช้อนตาขึ้นแผ่วเบามองจิ่วเย่ว์ปราดหนึ่ง เห็นนางหน้าแฝงความโกรธ ท่าทางโมโห แอบว่านางปีศาจอารมณ์ปรวนแปร ช่างประหลาดเสียจริง

 

 

“นี่ ไยเจ้าถึงไม่พูด?” จิ่วเย่ว์กวาดเท้ามา เตะไก่หิมะในมือมั่วชิงเฉินบินออกไป ขนไก่หิมะปลิวว่อน ร่วงเต็มตัวไปหมด

 

 

มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน แล้วลากไก่หิมะเข้ามาเงียบๆ จัดการต่อ

 

 

“จิ่วเย่ว์ อยู่ดีๆ เจ้าโมโหอะไร?” ชีซีห้ามว่า

 

 

จิ่วเย่ว์เหล่มั่วชิงเฉินพลางว่า “พี่ชีซี เจ้าลืมแล้วหรือ ปีนั้นหากไม่เพราะคนแซ่กู้นั่นคุณหนู บัดนี้จะถูกขังอยู่ในวังกว่างหานได้อย่างไร…”

 

 

“จิ่วเย่ว์!” ชีซีรีบตะโกนห้าม แล้วกวาดมองพวกมั่วชิงเฉินสองคนปราดหนึ่ง

 

 

จิ่วเย่ว์ก้มหน้าลงด้วยความคับแค้นใจว่า “รู้แล้วน่ะ คนเขาเพียงแต่เรียกร้องความไม่เป็นธรรมให้คุณหนูเท่านั้นนี่นา เจ้ากลัวอะไร พวกนางสองคนชาตินี้ก็ไม่ได้ไปจากที่นี่ รอบัวหิมะเหมันต์บานแล้ว พวกเราก็ตื๊อคุณหนู กินพวกนางเสียหมดเรื่อง จะได้ไม่ต้องคอยระแวงทุกวัน”

 

 

มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินสบตากันเงียบๆ ปราดหนึ่ง ต่างสามารถมองเห็นความเย็นชาในตาอีกฝ่ายได้

 

 

“จิ่วเย่ว์ เจ้าก็อย่าขู่พวกนางเลย สิบปีมานี้พวกนางดูแลบัวหิมะเหมันต์ได้ดีมากทีเดียว วังกว่างหานกว้างขวางอย่างไรก็มีเรื่องให้ทำ เก็บพวกนางไว้ดีมากไม่ใช่หรือ” ชีซียิ้มระรื่นว่า

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนจัดการไก่หิมะเสร็จแล้ว ก่อไฟ วางไว้บนโครงย่างขึ้นมา พลางย่างพลางทาเครื่องปรุง ไม่นานนักกลิ่นหอมของเนื้อที่ทำให้คนน้ำลายไหลก็ลอยออกมาแล้ว

 

 

จิ่วเย่ว์สูดจมูกทีหนึ่ง เม้มปากยิ้มว่า “พี่ชีซีเจ้าพูดถูก ก็เห็นแก่ที่นางหนูนี่ฝีมือดีปานนี้ อย่างไรก็เก็บไว้ดีกว่า เฮ้อ อย่างไรข้าก็เกลียดคนแซ่กู้ นี่ เจ้าล่ะ เจ้าก็แซ่กู้หรือ?”

 

 

“ข้าแซ่หลัว” หลัวเตี๋ยจวินเอ่ยเสียงเย็น

 

 

สีหน้าจิ่วเย่ว์ถึงดีขึ้นหน่อย สายตาวนเวียนอยู่บนใบหน้าหลัวเตี๋ยจวิน แล้วหันหน้าพูดกับชีซีว่า “พี่ชีซี หญิงชาวมนุษย์ หน้าตาสวยเช่นนี้ทุกคนหรือ?”

 

 

ชีซีชะงักแผ่วเบา

 

 

จิ่วเย่ว์ยกนิ้วมือขึ้นอย่างขี้เกียจชี้พวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “เจ้าดูพวกนางสองคน สวยกินกันไม่ลงเลย ใครๆ ก็พูดว่าหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกเราสวยที่สุดในเผ่าปีศาจ เผ่าจิ้งจอกหิมะยิ่งเป็นที่สุดในนั้น เหตุใดหญิงสาวมนุษย์สองคนบุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า กลับเหนือกว่าพี่น้องเราในเผ่าหมดเลยนะ?”

 

 

ที่แท้พวกนางคือเผ่าจิ้งจอกหิมะ!

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ ในที่สุดก็รู้ว่าพวกนางเป็นอสูรปีศาจอะไรแล้ว

 

 

เสียงนุ่มนวลของชีซีดังขึ้นว่า “พวกเราสองคนตั้งแต่จำแลงกาย ก็อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูอยู่ที่เขากว่างหานนี่ จะไปรู้ว่าหญิงชาวมนุษย์เป็นเช่นไรได้อย่างไรกัน”

 

 

จิ่วเย่ว์ยิ้มขึ้นมาอย่างลึกลับ

 

 

“จิ่วเย่ว์ เจ้ายิ้มอะไร?” ชีซีถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

จิ่วเย่ว์ขยิบตารูปผลซิ่งว่า “พี่ชีซีเจ้าลืมแล้วหรือ ทุกสิบปี พี่รองข้าก็จะมาส่งของให้คุณหนูที่นี่ ถึงเวลาเราก็ถามพี่รองสิ”

 

 

มั่วชิงเฉินสังเกตทั้งสองคนเงียบๆ พบว่าชีซีได้ยินคำพูดของจิ่วเย่ว์แล้ว หน้าแดงเรื่อขึ้นมา

 

 

“พี่ชีซี อยู่ดีๆ เจ้าหน้าแดงทำอะไร?” จิ่วเย่ว์กะพริบตา

 

 

“เปล่า ร้อนนิดหน่อย” ชีซีตอบอย่างร้อนรนเล็กน้อย

 

 

จิ่วเย่ว์ยิ้มระรื่นยื่นหน้าเข้ามา ตบมือว่า “ว้าย ข้ารู้แล้ว พี่ชีซี เป็นเพราะจะได้เจอพี่รองข้าใช่หรือไม่?”

 

 

ชีซีหน้าแดงก่ำในพริบตาว่า “จิ่วเย่ว์ ต่อหน้าพวกนางสองคน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”

 

 

จิ่วเย่ว์แลบลิ้น ไม่หยอกล้ออีก แล้วหันหน้าว่า “ย่างเสร็จหรือยัง?”

 

 

มั่วชิงเฉินทาน้ำผึ้งดอกท้อลงไปอย่างทั่วถึง พลิกไปพลิกมาย่างอีกครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “เสร็จแล้ว”

 

 

จิ่วเย่ว์จับไก่หิมะที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองกลิ่นหอมฉุยไป ดมที่หนึ่งว่า พี่ชีซี พวกเราไป”

 

 

จนกระทั่งไม่เห็นร่องรอยของจิ่วเย่ว์และชีซีแล้ว บรรยากาศถึงผ่อนคลายลง

 

 

“สหายเต๋าหลัว ดูท่าข้าเดาถูกแล้วจริงๆ พวกนั้นคือปีศาจจิ้งจอกตามที่คาดไว้” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

 

 

คำพูดล้อเล่นเมื่อสิบปีก่อนวันนี้กลายเป็นความจริง ในใจเกิดทอดถอนใจขึ้นมาทันที

 

 

หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าเย็นชาว่า “สหายเต๋ามั่ว คำพูดของพวกนางสองคนวันนี้ กำลังเตือนเราอยู่ใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “จะไม่ใช่ได้อย่างไร เราสองคนอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อไรก็จะก่อแก่นปราณแล้ว พวกนางย่อมต้องเคาะๆ หน่อย เตือนเราอย่าทำอะไรผลีผลาม”

 

 

หลัวเตี๋ยจวินเขี่ยขนไก่หิมะเต็มพื้นไปเรื่อยเปื่อย ในน้ำเสียงแฝงความกังวลสายหนึ่งว่า “สหายเต๋ามั่ว ระยะนี้ข้ามักมีลางสังหรณ์ ว่าก่อแก่นปราณเข้ามาใกล้แล้ว ทว่าบัดนี้ดูแล้ว พวกนางคงไม่ปล่อยให้เราก่อแก่นปราณได้อย่างราบรื่นกระมัง หากมีใจทำลาย เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

“สหายเต๋ามั่ว ยามที่เราพบกันเจ้าก็อยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว นั่นมันเมื่อสิบสามปีที่แล้วกระมัง บัดนี้เจ้ามีลางบอกเหตุของการก่อแก่นปราณหรือไม่?” หลัวเตี๋ยจวินถามขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินทอดสายตาไปไกล เอ่ยเฉื่อยๆ ว่า “ข้ามักรู้สึกว่าขาดอะไรไป หรือไม่ก็ เพราะข้าไม่เคยคิดจะก่อแก่นปราณนอกสำนักมาก่อน ในจิตใต้สำนึกไม่ได้เตรียมตัวไว้กระมัง”

 

 

“ที่ที่ข้าใจสงบคือบ้านข้า สหายเต๋ามั่ว เจ้าติดรูปเสียแล้ว” หลัวเตี๋ยจวินเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ใส่ใจ ยิ้มแผ่วเบาว่า “สหายเต๋าหลัวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักมาตลอดสินะ?”

 

 

หลัวเตี๋ยจวินชะงัก แล้วพยักหน้าแผ่วเบา

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วยิ้มขึ้นมาว่า “ที่ที่ใจสงบคือบ้านข้า สหายเต๋าหลัวช่างอิสระไม่ยึดติด ข้าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ทว่าอยู่ที่นี่ ใจข้ายากสงบ”

 

 

อสูรปีศาจขั้นเจ็ดตัวหนึ่ง และอสูรปีศาจขั้นห้าสองตัว พวกนางจะยอมปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์สองคนก่อแก่นปราณจริงหรือ?

 

 

หลัวเตี๋ยจวินไม่ได้พูดอะไรอีก

 

 

ความเป็นมาต่างกันตัดสินให้รูปแบบความประพฤติแตกต่างกัน บอกไม่ได้ไว้ใครถูกใครผิด

 

 

“สหายเต๋าหลัว จิ่วเย่ว์บอกว่าพี่ร้องนางอีกไม่นานก็จะมาถึงเขากว่างหานแล้ว ไม่แน่ นั่นก็คือโอกาสของเรา” มั่วชิงเฉินมองตาของหลัวเตี๋ยจวิน เอ่ยอย่างจริงจัง

 

 

ดวงตาดอกท้อทอประกายแวววาว สีหน้าเคร่งขรึมชัดๆ กลับท่วงท่างดงามสะดุดตา มองจนหลัวเตี๋ยจวินใจสั่น แอบว่ามิน่าแต่ก่อนสหายเต๋ามั่วมักใช้ผมข้างหน้าปิดหน้าตาไว้ หากให้ผู้คนเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ยังไม่รู้ต้องเกินเรื่องวุ่นวายขึ้นมากแค่ไหน

 

 

“สหายเต๋ามั่ว หรือว่าเจ้าสังเกตเห็นอะไรแล้ว?” หลัวเตี๋ยจวินตั้งสติกลับมา ถามว่า

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มพลางส่ายหน้าว่า “มิใช่สังเกตเห็นอะไร เพียงแต่เราอยู่ที่นี่มาสิบปี ล้วนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การมาของพี่รองจิ่วเย่ว์ ก็คือตัวแปรเพียงหนึ่งเดียวในรอบสิบปี ตัวแปร มักหมายถึงโอกาส สหายเต๋าหลัวหากวางแผนจะก่อแก่นปราณ มิสู้รอพี่รองนางมาก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้า ในตาแฝงความชื่นชมว่า “สหายเต๋ามั่วแน่วแน่มาก”

 

 

หยุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์สิบสามปี มีต่างเผ่าอยู่ข้างๆ กลับสามารถอดทนไม่ก่อแก่นปราณได้ ไม่ใช่เพราะการเตือนของเผ่าปีศาจ ประนีประนอมเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป หากแต่เพราะรอคอยโอกาสอย่างเงียบๆ

 

 

จิตใจเช่นนี้ พูดถึงที่สุดแล้วก็คือตนตกเป็นเบี้ยล่างแล้ว

 

 

พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งเดือนกว่า

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนตีเคล็ดวิญญาณที่ซับซ้อน เก็บร่มไผ่เหมันต์กลับมาด้วยกัน

 

 

“สหายเต๋ามั่ว ข้าไปบำเพ็ญเพียรก่อนแล้ว” เก็บร่มไผ่เหมันต์เสร็จแล้ว หลัวเตี๋ยจวินเอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึก พูดจบก็หันหลังจะไป

 

 

“สหายเต๋าหลัว ช้าก่อน”

 

 

หลัวเตี๋ยจวินหยุดฝีเท้า หันกลับมาว่า “เป็นอันใดหรือ สหายเต๋ามั่ว?”

 

 

สิบปีมานี้ทุกครั้งที่ดูแลบัวหิมะเหมันต์เสร็จ ทั้งสองคนล้วนต่างคนต่างบำเพ็ญเพียร วันนี้มั่วชิงเฉินเอ่ยปาก ต้องมีอะไรแน่

 

 

“จิ่วเย่ว์และชีซี ไม่ได้มาที่นี่ครึ่งเดือนกว่าแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา

 

 

หลัวเตี๋ยจวินเลิกคิ้วว่า “สหายเต๋ามั่วหมายความว่า?”

 

 

“หากคาดไว้ไม่ผิด พี่รองของจิ่วเย่ว์น่าจะขึ้นเขากว่างหานมาแล้ว” มั่วชิงเฉินกดเสียงเบาลงอีก

 

 

หลัวเตี๋ยจวินชะงักเล็กน้อยว่า “สหายเต๋ามั่วแน่ใจเช่นนี้หรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า “ตั้งแต่แปดปีก่อนที่เราย่างกระต่ายหิมะถูกจิ่วเย่ว์และชีซีพบเข้า อย่างน้อยสิบวัน อย่างมากครึ่งเดือน พวกนางมักล่าสัตว์มาให้เราย่างให้กิน ไม่มีข้อยกเว้น บัดนี้ไม่มาเกือบยี่สิบวัน ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแน่ และความเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งเดียวในช่วงนี้ ก็คือพี่รองของจิ่วเย่ว์แล้ว”

 

 

“สหายเต๋าหลัวละเอียดอ่อนจริงๆ เช่นนั้นเราไปสืบดูกันหน่อย?” หลัวเตี๋ยจวินอดเผยให้เห็นสีหน้าปีติไม่ได้ นางกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วจริงๆ ชีวิตการเป็นทาสบุปผาวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ ช่างอึดอัดเหลือเกิน

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ยามนี้ไม่ได้”

 

 

“สหายเต๋ามั่ว?” หลัวเตี๋ยจวินประหลาดใจ

 

 

แล้วก็ได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “รอยามเที่ยงข้าไปสืบดู สหายเต๋าหลัวดูแลบัวหิมะเหมันต์อยู่นี่

 

 

หลัวเตี๋ยจวินขมวดคิ้วไม่พูด ลองคิดดูก็เข้าใจความหมายของมั่วชิงเฉินแล้ว

 

 

สิบปีมานี้ ยามเหม่าและยามเที่ยงของทุกวัน พวกนางดูแลบัวหิมะเหมันต์อย่างละเอียดอ่อนด้วยกัน พวกจิ่วเย่ว์สองคนเห็นจนชินมานานแล้ว พวกนางต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่าในเวลาดูแลบัวหิมะเหมันต์ จะมีคนออกจากสระหมื่นเหมันต์ไปสืบข่าว หรือพูดได้ว่าสองชั่วยามนี้เป็นเวลาที่พวกนางเลินเล่อที่สุดแน่นอน

 

 

พริบตาเดียวก็ถึงยามเที่ยงแล้ว

 

 

“สหายเต๋าหลัว ร่มไผ่เหมันต์เจ้าคนเดียวคงทานไหวกระมัง?” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้าว่า “ไม่มีปัญหา สหายเต๋ามั่วเจ้ารีบไปเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า เก็บงำกลิ่นอายแล้วออกจากสระหมื่นเหมันต์เงียบๆ

 

 

“ไปดูหน่อยว่าที่ไหนมีคน จำไว้อย่าเข้าใกล้วังกว่างหาน” มั่วชิงเฉินแอบตบถุงอสูรวิญญาณ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตตัวหนึ่งบินออกมา

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินวนนิ้วมือนางรอบหนึ่ง ถึงบินออกไปไกล

 

 

มั่วชิงเฉินรอคอยด้วยอดทน

 

 

หลายปีมานี้นางเข้าใจแล้วว่า หญิงสาวผู้นั้นแทบจะอยู่แต่ในวังกว่างหาน ส่วนจิ่วเย่ว์และชีซีกลับไม่แน่

 

 

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินกลับมา มั่วชิงเฉินใช้ปลายนิ้วแตะหัวมัน แล้วเดินตามไป