ตอนที่ 317 ความขัดแย้งของแนวคิด

พันธกานต์ปราณอัคคี

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินๆ หยุดๆ มาถึงหน้าผาสูงหมื่นจั้งที่กั้นภูเขาสองฝั่งไว้

 

 

มองดูทะเลเมฆที่ม้วนทะยาน มั่วชิงเฉินรู้สึกเสียวสันหลังเล็กน้อย นางยังจำความรู้สึกที่เมฆหมอกกลายเป็นเข็มน้ำแข็งละเอียดยิบดุจขนวัวแทงเข้ากระดูก ยามที่ข้ามจากที่นี่เมื่อสิบปีก่อนได้

 

 

“หึ่งๆ” ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตกระพือปีก เสียงดังหึ่งๆ ดูเหมือนกำลังเร่งเร้า

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูท้องฟ้า กัดฟันหยิบไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา ชูมือโยนออกไป ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นหมอกควันบางเบาดุจผ้าไหมพันนางไว้ภายในทันที

 

 

สูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง มั่วชิงเฉินมาถึงฝั่งตรงข้ามในพริบตา โบกมือเก็บไหมเกล็ดน้ำแข็งขึ้น แล้วหอบหายใจอย่างแรง เจ็บจนสีหน้าซีดเซียว

 

 

ยังดีที่ที่นี่ห่างกันเพียงหลายสิบจั้ง ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ต่อให้ใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็ง น่าจะไม่ถูกจับสังเกตได้

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบินหน้าต่อไป มั่วชิงเฉินนึกว่ามันจะพาตนไปถึงใกล้ๆ ทะเลสาบเล็กๆ ที่ตกลงมาในตอนแรก ใครจะรู้ว่ากลับหันหัวกลับ มุดเข้าไปในป่าที่ต้นไม้งดงาม

 

 

นางหยุดฝีเท้า ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตก็วนกลมมา บินวนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วบินกลับไปอีก นางก็รู้แล้วว่าในป่าต้องมีคนแน่นอน

 

 

ไม่ว่าจะเป็นจิ่วเย่ว์หรือชีซี กระทั่งพี่รองของจิ่วเย่ว์ ตบะของพวกเขาล้วนอยู่เหนือตน มั่วชิงเฉินเก็บงำกลิ่นอายทันที แล้วเข้าใกล้ป่าอย่างระมัดระวัง

 

 

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในป่าที่กิ่งใบถูกปกคลุมไปด้วยหิมะพวกนี้ จะมีเสียงนกขับขาน

 

 

เสียงนกขับขานอย่างไพเราะผสานเข้าด้วยกัน นานๆ ทีมีนกสองสามตัวบินพรวดขึ้น กิ่งไม้ไกวไปมา หิมะที่ทับถมกันก็ร่วงกราวลงมา

 

 

จักจั่นเซงแซ่ขับป่าเงียบ นกขับขานเขาสงัด ดูเหมือนที่พูดถึงก็คือทิวทัศน์เช่นนี้ เพียงแต่ในป่านี้ คือต้นไม้งอกงามที่คลุมด้วยชุดสีเงิน ภูเขานี้ คือหิมะที่ปกคลุมยาวหมื่นลี้

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาชื่นชมความงานที่ไม่แปดเปื้อนธุลีช่นนี้ สองเท้าลอยขึ้นเล็กน้อย ลอยลึกเข้าไปในป่าช้าๆ ด้านหลังไม่ทิ้งรอยเท้าไว้แม้รอยเดียว

 

 

ยามนี้ต่อให้ไม่มีผึ้งวิญญาณเลือดมรกตคอยนำทาง นางก็รู้ว่าควรเดินไปทางไหนแล้ว เพียงเพราะมีรอยเท้าสองแถวคดเคี้ยว บนพื้นหิมะเบื้องหน้า หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก เห็นชัดว่าเป็นของคนสองคน พูดให้ถูกต้องก็คือหนึ่งชายหนึ่งหญิง

 

 

หรือว่าจิ่วเย่ว์และพี่รองนางพบกันที่นี่?

 

 

ความคิดแวบเข้ามาในใจมั่วชิงเฉิน เสียงดุจดั่งมีดุจดั่งไม่มีก็ลอยเข้ามา

 

 

นางรีบซ่อนหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่กล้าเดินหน้าอีก แล้วแอบแบ่งจิตตระหนักสายหนึ่งเข้าไปสอดแนม

 

 

บนพื้นหิมะที่ถูกต้นไม้บดบัง คือพรมสีเหลืองที่สะดุดตา เสื้อผ้ากระจัดกระจายเต็มพื้น ร่างกายเปล่าเปลือย ขาวสะอาดดั่งหยกสองร่างเกลือกกลิ้งอยู่ด้านบน

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าแดงพรวดขึ้นมา เก็บจิตตระหนักกลับมาโดยไม่รู้ตัว กัดปาก แล้วยื่นออกไปใหม่

 

 

นางแอบดูคนอื่นเริงรักเช่นนี้ จะเป็นตากุ้งยิงสินะ?

 

 

ทว่าเพื่อสืบข่าว ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว

 

 

“เหิงหลาง…ชีซีคิดถึงเจ้าเหลือเกิน…” ชีซีตาปรือ ต่างหูปะการังสีแดงแกว่งไกวอย่างเหิมใจตามจังหวะการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม

 

 

เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำแหบพร่า พูดๆ หยุดๆ ว่า “ข้าก็เช่นกัน…ซี เราไม่ได้พบกันสิบปีแล้ว…”

 

 

“พรุ่งนี้เจ้าจะไปอีกแล้ว ข้า…” เสียงของชีซีสะอึกสะอื้นขึ้นมาแล้ว กลับหลุดเสียงครางติดๆ กันเพราะการกระแทกอย่างรุนแรง

 

 

สองคนกำลังจมอยู่ในความปรารถนาอย่างแรงกล้า กลิ้งไปอยู่บนพื้นหิมะกลับไม่รู้ตัว มั่วชิงเฉินหน้าแดงใจเต้นแรง เห็นเท้าหยกประณีตคู่หนึ่งโยกโคลงอยู่บนบ่าชายหนุ่มเข้าพอดี ราวกับเรือเล็กล่องลอยตามคลื่น ในทะเลกว้าง

 

 

ใจเย็น ใจเย็น พวกเขาเป็นอสูรปีศาจ พวกเขาเป็นอสูรปีศาจ

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น เตือนสติตนเอง

 

 

ความปั่นป่วนของกลิ่นอายอันรุนแรงสายหนึ่งส่งผ่านมา จิ่วเย่ว์บุกเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของป่า

 

 

“พวกเจ้า พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเร็ว เกิดเรื่องแล้ว”

 

 

ถูกน้องสาวแท้ๆ พบเรื่องเช่นนี้เข้า ต่อให้เป็นมั่วชิงเฉินก็อดอับอายและขุ่นเคืองแทนพวกเขาไม่ได้ ทว่าที่ทำให้นางงงเป็นไก่ตาแตกก็คือ ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนถึงตอนสำคัญแล้ว การปรากฏตัวของจิ่วเย่ว์เพียงแต่ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ขยับขึ้นมาด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าเดิม

 

 

ส่วนชีซีก็ไม่สนใจที่จิ่วเย่ว์อยู่ด้วย เสียงดังจนทำให้คนหน้าแดง

 

 

หากไม่เพราะกลัวพลาดข่าวสำคัญอะไรไป มั่วชิงเฉินแทบอยากจะหาซอกบนพื้นมุดเข้าไป

 

 

“ไอยา พวกเจ้าเร็วหน่อย!” จิ่วเย่ว์กระทืบเท้าอย่างแรง สีหน้าดูไม่ดี

 

 

ตามด้วยเสียงแผดคำรามต่ำๆ ชายหนุ่มพลิกตัวลงมา ดึงเสื้อผ้าบังชีซีไว้ ถึงแต่งตัวอย่างเชื่องช้า

 

 

ชีซีผูกสายคาดเสื้ออย่างรวดเร็ว เสียงยังหอบเล็กน้อยว่า “เป็นอะไร จิ่วเย่ว์?”

 

 

มั่วชิงเฉินเบิกตาโพลง ปากก็หุบไม่ลงอยู่นาน

 

 

วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน ที่นี่ก็มีเพียงตนเองที่เขินอาย คนอื่นล้วนเห็นเป็นเรื่องปกติ!

 

 

อสูรปีศาจ อ้อ เผ่าจิ้งจอกหิมะ ในแนวคิดของพวกมัน เรื่องเช่นนี้ไม่น่าอายใช่หรือไม่?

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังคิดอย่างประหลาดใจ กลับถูกบทสนทนาของพวกเขาลากสติกลับมา

 

 

“เป็นอะไร คุณหนูหายไปแล้ว!” จิ่วเย่ว์ร้อนรนว่า

 

 

ชีซีสีหน้าเปลี่ยนไปในพริบตา “คุณหนูหายไปแล้ว? จะเป็นไปได้เช่นไร?”

 

 

จิ่วเย่ว์เกือบร้องไห้ออกมาแล้วว่า “จริงๆ ในวังกว่างหาน อีกทั้งสถานที่ไม่กี่ที่ที่คุณหนูไปบ่อยๆ ล้วนไม่มีเงาของคุณหนู!”

 

 

“น้องเล็ก เจ้าอย่างใจร้อน เขากว่างหานใหญ่โตถึงเพียงนี้ หากคุณหนูไปในที่ลับตาคน ก็เป็นไปได้ที่เจ้าจะหาไม่เจอ” ชายหนุ่มปลอบเสียงเบา

 

 

“เช่นนั้น เรารีบไปหากันอีก” เพิ่งสิ้นเสียงจิ่วเย่ว์ก็บิดตัว บินออกไปแล้ว

 

 

เห็นทั้งสามคนแยกย้ายกันไป มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว ไม่ได้ตามคนใดคนหนึ่งไป หากแต่แอบย่องเข้าไปในโถงดอกไม้ของวังกว่างหาน

 

 

ไม่ผิดจากที่คาดจริงๆ ประมาณหนึ่งชั่วยามให้หลังทั้งสามคนก็ย้อนกลับมา ย่างเท้าไปมาอยู่ในโถงดอกไม้

 

 

“ทำเช่นไรดี ทำเช่นไรดี คุณหนูหายไปแล้วจริงๆ” จิ่วเย่ว์เกือบร้องไห้ออกมาแล้ว

 

 

ชีซีสีหน้าดูไม่ดีเช่นกันว่า “อยู่ดีๆ ไยคุณหนูถึงหายไปได้นะ?”

 

 

ในโถงดอกไม้เงียบสงัด

 

 

“ว้าย ใช่เพราะเมื่อวานเราคุยกัน ถูกคุณหนูได้ยินเข้าใช่หรือไม่?” จิ่วเย่ว์อุทานออกมา

 

 

“พวกเจ้าคุยอะไรกัน?” เสียงชายหนุ่มยากจะปิดบังความร้อนใจ

 

 

ชีซีปากสั่นว่า “พวกเราได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่องศึกใหญ่ของร้อยอสูรและมนุษย์ข้างนอก จึงถกกันเล็กน้อย…”

 

 

สีหน้าชายหนุ่มยิ่งดูไม่ดีหนักขึ้นว่า “เรื่องมนุษย์แซ่กู้ผู้นั้นเข่นฆ่าไปทั่วพวกเจ้าก็พูดถึงหรือ?”

 

 

ชีซีและจิ่วเย่ว์สบตากันปราดหนึ่ง แล้วพยักหน้า

 

 

ชายหนุ่มสีหน้าเย็นชาลงมาว่า “พวกเจ้า พวกเจ้ารู้ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับคนผู้นั้นเป็นเรื่องต้องห้ามในวังกว่างหานชัดๆ ยังกล้าเอามาพูดในวังกว่างหานอีก?”

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่กู้ หรือว่า…หญิงสาวจิ้งจอกหิมะนั่นคือคนรักในวันวานของอาจารย์?

 

 

นักพรตจื่อซีบอกว่าหญิงผู้นั้นตายไปนานแล้วมิใช่หรือ?

 

 

ในใจกำลังพลุ่งพล่าน เสียงที่เหมือนจะร้องไห้ของจิ่วเย่ว์ดังขึ้นอีกว่า “คุณหนู คุณหนูต้องออกไปหาคนผู้นั้นแล้วเป็นแน่!”

 

 

“ไม่หรอกกระมัง เขากว่างหานนี่ตั้งค่ายกลไว้ หากไม่มีป้ายคำสั่งเปิดค่าย เข้าได้ออกไม่ได้ คุณหนูจะออกไปได้เช่นไรกัน?” ชีซีตัวโคลงไปมา

 

 

“ความสามารถของคุณหนู จะเป็นสิ่งที่เราสองคนเข้าใจได้เช่นไรกัน นางต้องมีวิธีเป็นแน่ พี่ชีซี พวกเรารับคำสั่งหัวหน้าเผ่าคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูที่เขากว่างหาน กลับปล่อยให้คุณหนูหายตัวไป ทีนี้ เกรงว่าจะไม่รอดแล้ว” จิ่วเย่ว์สะอึกสะอื้นขึ้นมา

 

 

ชายหนุ่มสุขุมกว่าหญิงสาวสองคนเล็กน้อยว่า “ชีซี น้องเล็ก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเจ้าก็ไม่ต้องร้อนใจแล้ว บัดนี้สิ่งที่ทำได้ มีเพียงข้ารีบกลับไปแจ้งหัวหน้าเผ่าโดยเร็ว ดูหัวหน้าเผ่าจะจัดการเช่นไร?

 

 

“เช่นนั้นพวกเราล่ะ?” ชีซีถามขึ้น

 

 

“พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน หากคุณหนูหนีออกไปข้างนอกจริง หัวหน้าตระกูลต้องเรียกตัวพวกเจ้ากลับไปแน่ ถึงเวลาข้าค่อยมารับพวกเจ้า” ชายหนุ่มกล่าว

 

 

“ได้” จิ่วเย่ว์และชีซีตอบพร้อมเพรียงกัน

 

 

ชายหนุ่มมองทั้งสองคนปราดหนึ่ง สายตาที่อ่อนโยนตกลงบนหน้าชีซี จากนั้นหันหน้า บินออกข้างนอกไป

 

 

“เหิงหลาง เจ้ามารับเราเร็วๆ” ชีซีรวบรวมความกล้าเรียกขึ้น จากนั้นทรุดนั่งลงกับพื้น

 

 

จิ่วเย่ว์ก็นั่งลงมา กอดศีรษะไว้ไม่พูดอะไรอยู่นาน

 

 

มั่วชิงเฉินฉวยโอกาสที่ชายหนุ่มบินออกไป สองสาวเหม่อลอย ถอยออกไปเงียบๆ

 

 

“สหายเต๋ามั่ว เหตุการณ์เป็นเช่นไร?” หลัวเตี๋ยจวินเห็นมั่วชิงเฉินไม่กลับมาเสียที รอจนร้อนรนแล้ว เห็นนางกลับมาในที่สุดก็โล่งใจจนได้

 

 

สหายเต๋าหลัว โอกาสของเรามาถึงแล้ว” มั่วชิงเฉินกลับถึงที่นี่ ถึงรู้สึกว่าใจเต้นแรงไม่หยุด

 

 

“หมายความว่าเช่นไร?” หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าปีติ ถามด้วยความคาดหวัง

 

 

“อสูรปีศาจขั้นเจ็ดตัวนั้น…ไม่อยู่ที่เขากว่างหานแล้ว” พูดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง ตั้งแต่ที่เดาได้ว่าหญิงผู้นั้นอาจเกี่ยวข้องกับอาจารย์ การเรียกนางว่าอสูรปีศาจขั้นเจ็ดอีกก็ดูเหมือนไม่ค่อยปกติแล้ว

 

 

“จริงหรือ?” หลัวเตี๋ยจวินดีใจมาก

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า เล่าเหตุการณ์ให้ฟังรอบหนึ่ง แน่นอนย่อมไม่กล้าพูดถึงเรื่องชายหญิงในป่าแม้แต่คำเดียว

 

 

“พี่รองของจิ่วเย่ว์ไปจากเขากว่างหานกลับไปส่งข่าวแล้ว ที่นี่ก็เหลือเพียงพวกนางสองคน ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับมา ก็คือโอกาสที่ดีที่สุดของเรา” มั่วชิงเฉินดวงตาดอกท้อระยิบระยับดั่งดารา สะท้านจิตวิญญาณ

 

 

หลัวเตี๋ยจวินประหลาดใจว่า “เจ้าหมายถึง เราจะกำจัดจิ่วเย่ว์และชีซี? พวกนางเป็นอสูรปีศาจขั้นห้าเชียวนะ!”

 

 

“ต่อให้ยากปานไหนก็ต้องลองดู นี่คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของเราแล้ว รอชายผู้นั้นมาพาพวกนางไป เจ้าว่าพวกนางจะจัดการกับเราเช่นไร?” มั่วชิงเฉินสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

หลัวเตี๋ยจวินกำหมัดว่า “หากสามารถก่อแก่นปราณ…”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ “โชคชะตาไม่แน่นอนเรื่องในโลกยากจะคาดเดา เรื่องในโลกนี้จะให้เรามีโอกาสเตรียมพร้อมทุกด้านเสียที่ไหน ชายผู้นั้นกลับมาได้ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีเวลาก่อแก่นปราณ”

 

 

หลัวเตี๋ยจวินเงยหน้าขึ้นช้าๆ สีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมาว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าพูดได้ถูกต้อง ทางแห่งการบำเพ็ญเพียรเดิมทีก็เป็นการขัดต่อฟ้าอยู่แล้ว สวรรค์ให้อุปสรรคมากมายแก่เราเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ข้ามไปได้ เราก็เดินต่อไปบนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ข้ามไม่พ้น นั่นก็ต้องยอม!”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าเบาๆ

 

 

สิบปีมานี้ ระมัดระวังทุกฝีก้าว กล้ำกลืนฝืนทน ไม่ใช่เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างรักตัวกลัวตาย หากแต่ขัดเกลาตนเอง ทำให้ตนเองดีพร้อมอย่างไม่หยุดยั้ง รอคอยโอกาสที่ดีที่สุดหนีออกจากการจองจำ ก้าวต่อไปบนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร

 

 

“เราจะเคลื่อนไหวเมื่อไร?” หลัวเตี๋ยจวินตัดสินใจแล้ว สีหน้ากลับสุขุมขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินแอบพยักหน้า ยิ้มว่า “คืนนี้นี่แหละ”

 

 

“คืนนี้?”

 

 

“อืม วันนี้เป็นวันที่จิตใจพวกนางสับสนที่สุด เป็นโอกาสของเรามีมากที่สุด ยิ่งกว่านั้นชายหนุ่มนั่นเพิ่งจากไป หากเราสามารถจัดการจิ้งจอกสองตัวนั้นได้ ก็มีเวลาเต็มที่ในการหาทางออกไปจากที่นี่ ต่อให้หาทางไม่พบ ก็สามารถเตรียมตัวอย่างเต็มที่รอชายผู้นั้นย้อนกลับมา” มั่วชิงเฉินเอ่ย

 

 

“ได้ ก็ทำตามที่เจ้าพูด” หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้า

 

 

สองคนสบตากันปราดหนึ่ง ยื่นมือกุมไว้ด้วยกันอย่างเงียบๆ