บนเรือกระดาษ เถียนฉู่มองฉินมู่ขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ เขาสังเกตพบว่าเด็กหนุ่มดูร่าเริง แต่ความกังวลและความคะนึงหาครอบครัวของเขาซ่อนอยู่ในคิ้วที่ขมวด
“เขามีมิตรภาพกับภูติบดีจริงๆ น่ะหรือ”
เถียนฉู่ลอบถามผู้เฒ่านำทางความตายด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “ราชันย์ขุนนาง พวกเราก็เป็นสหายเก่า ทำไมภูติบดีถึงเห็นแก่หน้าเขาและปล่อยข้าออกมา ข้าไม่เชื่อว่าภูติบดีจะปล่อยข้าออกมาเพียงเพราะคำพูดของเขาเท่านั้น”
ผู้เฒ่านำทางความตายปรายตามองฉินมู่และกระซิบกลับไป “แน่นอนว่าภูติบดีไม่ได้ปล่อยตัวเจ้าเพียงเพราะถ้อยคำของเขา หากว่าเป็นแบบนั้น ใครต่อใครก็จะมาสับเขาของภูติบดีจนเหี้ยนเตียนไปหมด แม้เขาเก้าบิดก็คงจะถูกถากไปจนไม่เหลืออะไร หลังจากที่เจ้าสับไปกระบิหนึ่งเพื่อสร้างยมโลก โลกมิติอื่นๆ หลายแห่งก็ถูกทำลายลงไป ภูติบดีถึงสามารถซ่อมแซมเขาของเขา ราคาที่เขาจ่ายไปนั้นไม่ใช่น้อยๆ สาเหตุที่ว่าทำไมภูติบดีถึงเห็นแก่หน้าเขา นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้เขากลับมายังแดนใต้พิภพ”
เถียนฉู่จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง “เขาไม่ต้องการให้เขากลับมายังแดนใต้พิภพ? เพราะอะไรน่ะ”
“เขาถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และเป็นตัวตนแรกที่กำเนิดจากครรภ์ในแดนใต้พิภพนับตั้งแต่มันถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงได้รับการขนานนามว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ”
ผู้เฒ่านำทางความตายถอนหายใจแล้วกล่าว “เจ้าไม่ทันได้เห็นรูปเงาที่ปรากฏตอนเขาถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งแดนใต้พิภพสะท้านสะเทือนไปหมด และคนใหญ่คนโตมากมายก็ลอบเร้นเข้ามาในแดนใต้พิภพเพื่อชมดูเรื่องราวอันตระการตานี้ สามสี่เดือนให้หลัง เขาก็แทงทะลุเขาเก้าบิด…”
เถียนฉู่มีสีหน้าประหลาดพิลึก และพูดตะกุกตะกัก “ทะ-แทงทะลุ?”
ผู้เฒ่านำทางความตายผงกหัวและหวนระลึกถึงภาพที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้ม “เขาของภูติบดีถูกแทงทะลุ และมันก็ขัดแย้งผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจบาตรใหญ่มากมายในแดนใต้พิภพ ดังนั้นทุกคนจึงแห่กันมาเพื่อล้มเขาเสีย และคนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งก็ถูกเขากินเข้าไป ดูสิ ตอนนี้ยังคงมีหลายแห่งบนร่างของภูติบดีที่ยังปั่นป่วนโกลาหลอยู่ และภูตผีก็ยังคงรบพุ่งกันไปมา เพียงแค่นี้ เจ้าก็คงนึกภาพออกมาว่าการทำลายล้างของเขาในรอบนั้นน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไหน”
เถียนฉู่เองก็เป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่งในแดนใต้พิภพ และเขาก็มีอิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายเป็นอย่างยิ่ง
คนใหญ่คนโตแห่งแดนใต้พิภพครอบครองอิทธิพลอำนาจใหญ่หลวงในแดนใต้พิภพ และพวกเขาก็ล้วนแต่มีเขตแดนอยู่บนร่างของภูติบดี เขตแดนที่พวกเขาครอบครองดูแลนั้น กว้างใหญ่ไพศาล และปกครองภูตผีนับล้านล้าน
เมื่อฉินมู่กินผู้มีอำนาจเหล่านี้เข้าไป ก็ไม่มีใครเหลือที่จะปกครองภูตผีพวกนี้ แบบนั้นแล้ว ผู้มีอำนาจบาตรใหญ่อื่นๆ ก็ฉวยโอกาสเข้าไปรบพุ่งแย่งชิงดินแดน
เห็นได้ชัดว่าฉินมู่กินพวกคนใหญ่คนโตแห่งแดนใต้พิภพมากมายเกินไป ทำให้จนถึงบัดนี้สงครามก็ยังดำเนินไม่จบไม่สิ้น
เถียนฉู่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ในก้นบึ้งของแดนใต้พิภพ บางตัวตนเป็นถึงยอดฝีมือระดับบัลลังก์จักรพรรดิก่อนที่พวกเขาจะตายลง พวกเขาเหล่านั้นไม่ลงมือหรอกหรือ”
“พวกเขาลงมือ”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “ตอนแรก พวกเขาก็ไปต่อสู้ตัวต่อตัว แต่พวกเขาจะทำอะไรได้ ก็ในเมื่อกำลังฝีมือของพวกเขาด้อยกว่าเมื่อตอนยังเป็นๆ เมื่อปราศจากกายเนื้อ พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็กลุ้มรุมโจมตีพร้อมๆ กัน แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดี พวกเขาจึงได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือจากภูติบดี เมื่อนั้นเขาจึงถูกปิดผนึกและเนรเทศออกมา”
เถียนฉู่ตัวสั่นเทิ้มอยู่หลายทีและกล่าวพลางถอนหายใจ “ถูกกักขังในดาบเทวะประตูจักรพรรดิ ทำให้ข้าพลาดเรื่องน่าสนใจไปมากมาย…”
ผู้เฒ่านำทางความตายยิ้มหยัน “ต่อให้เจ้าอยู่ที่นั่น เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี หากว่าไม่ปิดผนึกเขาเอาไว้ เขาก็คือราชามารชัดๆ เขาจะกินทุกสิ่งทุกอย่างที่คว้าจับได้ แม้แต่เจ้าก็จะถูกเขากินเข้าไป! หลังจากเจ้ากลับไปแล้ว อย่าริจะแตะต้องเวทปิดผนึกที่ใจกลางหว่างคิ้วของเขาเป็นอันขาด หากว่าเจ้าทำแบบนั้นเจ้าจะตายอย่างน่าสังเวช! ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขาทลายฝ่าผนึกมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง และภูติบดีก็ปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างหนัก”
เถียนฉู่หัวเราะแห้งๆ “ข้าไม่ใช่คนอยากรู้อยากเห็น เจ้าก็รู้จักข้า ข้าขี้ขลาดเป็นอย่างยิ่ง” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็ลอบมองฉินมู่ที่กำลังยืนเหม่อ สายตาของเขาตกลงไปที่หว่างคิ้ว
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “เมื่อเจ้าไม่ดื่มสุรา เจ้าก็ขี้ขลาดอยู่ แต่หลังจากที่เจ้าดื่ม เจ้ากล้าถึงกับสับภูติบดี มีเรื่องไหนอีกที่เจ้าจะไม่กล้าทำ เจ้าและข้าเป็นเพื่อนเก่าแก่ ดังนั้นข้าจึงบอกเตือนเจ้าไว้แต่บัดนี้ หากว่าเจ้าปล่อยเขาออกมา มันจะเป็นมหาภัยพิบัติที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสับเขาภูติบดีเสียอีก! พวกเรามาถึงโลกแห่งคนเป็นแล้ว…”
ทุกคนบนเรือลุกขึ้นยืน และมองตรงไปข้างหน้า มันมืดสนิท
ทันใดนั้น ผู้เฒ่านำทางความตายก็ผลักเถียนฉู่ตกจากเรือ
ผู้เฒ่านำทางความตายก็ผลักฉินมู่และฉีเจี่ยวอี๋ออกไปจากเรือ ก่อนที่จะหันไปมองยังกิเลนมังกร กิเลนมังกรไม่ต้องรอให้บอก และเขากระโดดลงไปด้วยตนเอง
“เจ้าก้อนเนื้ออุ้ยอ้ายนี่นับว่ามีตาและมีแววอยู่”
ผู้เฒ่านำทางความตายหัวเราะในคอแล้วหันหัวเรือเพื่อเดินทางกลับ
ระหว่างการเดินทางกลับนั้น เรือกระดาษมากมายก็เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่งขณะที่พวกมันแล่นออกมาจากสันตินิรันดร์มุ่งหน้าไปยังกายเนื้อของภูติบดี
ดวงวิญญาณของผู้คนแห่งสันตินิรันดร์บรรจุอยู่แน่นเรือ
ด้วยเรือมากมายขนาดนี้ แสดงว่าผู้คนหลายล้านได้ตกตายอย่างเฉียบพลันภายในระยะเวลาสั้นๆ!
ผู้เฒ่านำทางความตายตื่นตระหนก “ศิษย์แห่งแดนบาดาลได้ลงมือกันแล้ว…”
เรือน้อยหยุดลง และบนหัวเรือคือผู้เฒ่ามากมายที่ดูเหมือนกันยังกับแกะ ผู้เฒ่าทั้งหลายมองกันไปมาและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพได้กลับไปยังโลกแห่งคนเป็นแล้วในตอนนี้ และเขาก็จะต้องลงมืออย่างแน่นอน หากว่าเราส่งดวงวิญญาณพวกนี้ไปยังภูติบดี เขาก็จะแย่งชิงพวกมันกลับมาด้วยกำลังอยู่ดี งั้นทำไมพวกเราไม่รออยู่สักไม่กี่วันเพื่อรอดูสถานการณ์ล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรรอสักกี่วัน”
“ให้เวลาเขาเจ็ดวัน หากว่าเขาฝ่าภัยพิบัตินี้ไปได้และขับเคลื่อนนำทางวิญญาณเพื่อเหนี่ยวนำดวงวิญญาณเหล่านี้กลับไปยังโลกแห่งคนเป็น ก็ปล่อยเขาทำไป แต่หากว่าเขาทำไม่ได้ ร่างกายของดวงวิญญาณพวกนี้ก็คงจะเน่าเปื่อยไปแล้ว และต่อให้เขาแย่งชิงกลับไปได้ก็ไม่มีความหมายอะไร”
“หากว่าเขาให้เวลาเขาเจ็ดวัน พวกเราจะถูกคนอื่นสบประมาทว่าเกรงกลัวโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพหรือเปล่า พวกเราต้องคิดหาข้ออ้าง”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เรียกว่า ฟื้นคืนชีวิตภายในเจ็ดวัน กันเถอะ ดวงวิญญาณสามารถเดินทางกลับไปยังโลกแห่งคนเป็นได้ภายในเจ็ดวันแรก ถ้าแบบนั้นก็คงไม่มีใครกล้าปากพล่อย”
“ยอดเยี่ยม!”
…
ข้างใต้เทือกเขาเทพทำลาย ฉินมู่พลันลืมตาขึ้นมาและมองดูรอบๆ เขาเห็นฉีเจี่ยวอี๋และกิเลนมังกรฟื้นตื่นมาตามหลัง และทุกคนก็รีบเคลื่อนตัวออกห่างจากดาบเทวะประตูจักรพรรดิทันที เพื่อมิให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาถูกดูดเข้าไปอีกครั้ง
“พี่ใหญ่เถียนไม่อยู่ที่นี่” กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และมองไม่เห็นเถียนฉู่
“เขาน่าจะอยู่ในหุบเขาภูตผี”
ฉินมู่เหาะลงไปยังราชวังข้างใต้ดาบ “กายเนื้อของเขาน่าจะอยู่ในโพรงใต้ดินของหุบเขาภูตผี ในเมื่อดูเหมือนว่าตัวของเขาถูกฝังอยู่ครึ่งหนึ่งหลังจากที่ถูกภูติบดีคว้ากำเอาไว้ได้ นี่น่าจะเป็นราชวังที่จักรพรรดิก่อตั้งสร้างไว้ให้แก่เขา และเขาก็จะตามมาหาพวกเราเอง พวกเรารออยู่ที่นี่สักครู่เถอะ”
ฉีเจี่ยวอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และลงไปเหยียบที่ข้างนอกราชวัง “พี่ฉิน ข้านั้นยากจะเลือกฝักฝ่ายเมื่อทั้งเจ้าและศิษย์แดนบาดาลทำสงครามกัน ข้าเกรงว่าข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ข้าต้องการกลับไปยังสวรรค์ทักษิณในตอนนี้ และไม่เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย”
กิเลนมังกรรีบกล่าว “พวกเราได้ทำสัตยาบันต่อภูติบดีว่าจะขอตายในวันเดียวกัน อย่างนั้นน้องสามจะจากไปได้อย่างไร หากว่าข้าตาย ภูติบดีก็จะมาคร่าชีวิตพี่เถียนและชีวิตของเจ้าน่ะสิ”
เหงื่อเย็นเยียบผุดที่หน้าผากของฉีเจี่ยวอี๋ เขาย้อนเสียใจที่ดื่มสุรามากมากเกินไป ตอนนี้ต่อให้เขาอยากไปก็ไปไม่ได้แล้ว
“พี่ฉีไปเถอะ”
ฉินมู่กล่าว “นอกจากช่วงงานเทศกาลที่ต้องเชือดหมูจัดเลี้ยงฉลอง อันจะค่อนข้างเป็นอันตรายต่อมังกรอ้วนอยู่สักหน่อยแล้ว ปกติเขาก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไร”
“งานเทศกาล? เชือดหมูจัดเลี้ยงฉลอง?” สีหน้าของกิเลนมังกรและฉีเจี่ยวอี๋ซีดเผือด
ฉีเจี่ยวอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจที่จะไม่จากไป จะเกิดอะไรขึ้นหากว่ากิเลนมังกรกินอย่างตะกละตะกรามและกลายเป็นไอ้อ้วนไปอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วยหรอกหรือ
ฉินมู่เข้าไปในราชวังและตรวจตราดูบริเวณรอบๆ เขาเห็นก็แต่ไหสุราจำนวนหนึ่งสะสมเอาไว้ในโถงวัง และยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่เขียนเอาไว้คือภาพของเถียนฉู่เงื้อดาบตัดเขาของภูติบดี
เถียนฉู่ในภาพวาดนั้นห้าวหาญองอาจ เขาถือไหสุราในมือข้างหนึ่ง และดาบของเขาในอีกมือหนึ่ง ดูกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง ในอีกด้านนั้น ภูติบดีถูกวาดจนดูบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ และภูติบดีในภาพวาดก็มีสีหน้าพิโรธเดือดดาลอันสมจริงอย่างน่าตระหนก เขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลงานการวาดของใคร
“จ้าวลัทธิ รูปสลักหินกำลังฟื้นคืนชีพ!”
เสียงของกิเลนมังกรดังมาจากข้างนอก และฉินมู่รีบออกไปจากราชวังเพื่อที่จะเห็นว่ารูปสลักหินอันมีศีรษะถูกผ่าคาดาบเทวะประตูสวรรค์ กำลังค่อยๆ สลัดเนื้อหินของเขาออกไป มันกำลังฟื้นฟูสีสันของเลือดเนื้อ!
“โหลอวิ๋นชวี ขุยชิงเผย และฟู่เอี๋ยนชีแห่งแดนบาดาลกำลังเข่นฆ่าสรรพชีวิตแห่งสันตินิรันดร์และพยายามฟื้นคืนชีพรูปสลักหิน!”
ฉินมู่ตื่นตระหนก เขาเห็นรูปสลักหินดูมีเลือดเนื้อมากขึ้นทุกที และรัศมีของมันก็แข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ
ในอดีตนั้น ฉินมู่คาดคะเนว่ารูปสลักหินอื่นๆ ที่จุติลงมาจากต่างโลกล้วนแต่อยู่เพียงแค่ระดับเทพเที่ยงแท้และมารเที่ยงแท้ แต่ตอนนี้ แม้ว่ารูปสลักหินดังกล่าวจะฟื้นคืนชีพมาไม่เต็มที่ รัศมีและสง่าราศีของมันก็เหนือล้ำเกินกว่าเทพเที่ยงแท้และมารเที่ยงแท้ไปแล้ว!
เขาได้ประเมินรูปสลักหินเหล่านั้นต่ำเกินไป!
เขาไม่รู้ว่าขั้นวรยุทธของรูปสลักหินพวกนี้คือขั้นไหน แต่หากว่าพวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมา ก็คงเพียงพอจะทำลายล้างสันตินิรันดร์!
ฉินมู่นำเอามีดปริศนาประหารเทพออกมาและเปิดกล่องออก แสงโลหิตสองเส้นพุ่งเข้าไปเป็นวงกลมรอบคอของรูปสลักหินมารเทวะ ประกายไฟพวยพุ่งไปรอบทิศทาง แต่กระนั้นที่รอบคอของรูปสลักก็มีเพียงแค่รอยขีดข่วนสีขาว มีดไม่อาจสะบั้นหัวเขาได้เลย!
เมื่อมีดปริศนาประหารเทพพลาดไป สองสายแสงโลหิตก็พุ่งกลับมาฟันยังฉินมู่
ฉินมู่แตกตื่น มีดชั่วร้ายนี้อยากจะดื่มโลหิตข้าแทน!
สายเส้นแสงโลหิตคมกล้าไร้ปานเปรียบ และเพราะว่ามันไม่ได้ดื่มโลหิตมาหลายครา สันดานดุร้ายของมันก็กำเริบขึ้นมา มันหมายที่จะสังหารฉินมู่เพื่อดื่มเลือดของเขา!
ในจังหวะนั้นเอง รูปสลักหินก็พลันสั่นเทิ้ม และโลหิตมารก็ไหลหลั่งออกมาจากหน้าผากของเขา นั่นคือการฟื้นคืนชีพของรูปสลักหิน แต่เพราะว่าศีรษะของมันเข้าไปติดคาอยู่ที่ดาบเทวะประตูจักรพรรดิ ส่วนหนึ่งของมันได้แปรเปลี่ยนจากหินเป็นเลือดเนื้อ ทำให้มันได้รับบาดเจ็บจากดาบเทวะประตูจักรพรรดิ
สองสายแสงโลหิตดูเหมือนจะได้กลิ่นคาวเลือดในอากาศ และหนึ่งในนั้นก็พลันวกกลับไปฟันที่คอของรูปสลักหิน อีกสายเส้นหนึ่งยังคงฟาดฟันมาที่คอของฉินมู่
ไม่ทันที่แสงโลหิตจะมาถึงฉินมู่ ทะเลสีแดงเลือดก็ปรากฏที่เบื้องหน้าเขา สายตาของเขาถูกปิดกั้นไปโดยสิ้นเชิง และทุกสิ่งทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
ฉินมู่ตัดสินใจโดยพลัน และปลดใบหลิวออกจากหว่างคิ้วของเขา ทะเลโลหิตนั้นพลันถูกดูดเข้าไปในใจกลางหว่างคิ้วของเขาราวกับปลาวาฬกลืนสายรุ้ง
ในตอนนั้นเองสายเส้นแสงโลหิตอีกสายหนึ่งก็หมุนรอบคอของรูปสลักมารเทวะเพื่อกรีดเลือดออกมา ในกล่องเล็กในมือของฉินมู่ ศีรษะอันเหมือนหยกกระพือพังผืดหนังข้างหลังของมันอย่างตื่นเต้น
ถัดไปนั้น มีดปริศนาประหารเทพก็มีสีหน้าแข็งค้าง เพราะมันตระหนักว่ามันไม่อาจรั้งแสงโลหิตที่ฟาดฟันไปยังฉินมู่กลับมาได้!
นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
มันเป็นสมบัติพิสดารที่หลอมสร้างขึ้นมาในยุคสมัยแสงฉาน และสร้างขึ้นมาจากศีรษะและจิตวิญญาณดั้งเดิมของตัวตนระดับบัลลังก์จักรพรรดิ มันรู้จักแต่จะเข่นฆ่า และตราบใดที่เจอกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ยากที่จะหลบหนีการฆ่าฟันของมันได้ หากว่ามันฆ่าฟันเป้าหมายไม่สำเร็จ มันก็จะแว้งกลับมาฟันเจ้าของ ทั้งสองอย่างเอร็ดอร่อยพอๆ กัน
มีดของมันเคยแต่ฟาดฟันผ่าทุกอุปสรรค ทว่าไม่เพียงแต่ว่ามันไม่สามารถกินปราณและโลหิตของฉินมู่ได้แล้ว แต่มันยังถูกฉินมู่กินเข้าไปแทน!
ดวงตาที่สามของฉินมู่กวาดมองทุกสิ่งทกอย่างตรงหน้า และกลืนกินแสงโลหิตเข้าไปในกร้วมเดียว เสียงเรอดังมาจากข้างในดวงตาที่สามของเขา และมีเสียงโห่ร้องดีใจของทารกดังออกมา
ตูม
เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากรูปสลักหินมารเทวะ ถัดไปนั้น ศีรษะมหึมาก็ร่วงลงจากคอของมัน ศีรษะอันใหญ่โตปานขุนเขานั้นกลิ้งลงไปสู่ส่วนลึกของเวิ้งใต้ดิน เสียงระเบิดทึบตันดังออกมาและกึกก้องอยู่เป็นเวลานาน
แสงโลหิตได้ดูดกลืนปราณและโลหิตทั้งหมดของมารเทวะ และโบยบินกลับเข้าไปในกล่องเล็กอย่างเร็วรี่
ฉินมู่กำลังจะปิดกล่องเล็ก แต่กล่องก็ชิงปิดตัวเองดังฉับทันที
“มีดปริศนาประหารเทพมันเป็นอะไรไปแล้ว”
ฉินมู่ฉงนฉงายและแปะใบหลิวกลับไปที่หน้าผากเพื่อปิดกั้นเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นของพี่ชายเขา
กล่องเล็กสั่นสะเทือนเล็กน้อยราวกับว่าศีรษะของตัวตนบัลลังก์จักรพรรดิกำลังสั่นเทา ฉินมู่ไม่รู้ว่ามันจะสั่นไปทำไมและได้แต่ส่ายหน้า เขาเก็บกล่องกลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้และคิดในใจ บางทีข้าอาจจะสามารถใช้มีดปริศนาประหารเทพเพื่อจัดการกับรูปสลักหินมาร แต่ทว่า หากว่าข้าโจมตีไม่โดนในครั้งแรก มันก็จะวกกลับมาโจมตีข้า นั่นค่อนข้างยุ่งยากเลยทีเดียว…
ถึงกับกินข้าไปด้วย
ในกล่องเล็ก ศีรษะตัวตนบัลลังก์จักรพรรดิหวาดกลัวจนขวัญหายเมื่อพบกับนักล่าตามธรรมชาติในครั้งแรก เขายังดุร้ายกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่อาจตอแยเขา!