หากว่ารูปสลักหินมารนี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา รูปสลักหินอื่นๆ ก็จะฟื้นคืนชีพด้วยเช่นกัน! รูปสลักหินนี้โชคร้ายที่ส่งกายเนื้อของเขามาที่นี่ แต่ทว่ารูปสลักหินอื่นๆ ในสันตินิรันดร์ยังคงอยู่ดี!
ฉินมู่ตกตะลึง นอกจากรูปสลักหินผู้โชคร้ายนี่แล้ว ยังมีผู้โชคร้ายอื่นๆ อีกหนึ่ง คือรูปสลักหินที่โผล่ขึ้นมาใต้เขาพระสุเมรุ
รูปสลักหินนั้นผุดขึ้นมาจากใต้ดินและไปชนเข้ากับภูเขาพระสุเมรุ เขาพระสุเมรุแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามและเขาพระสุเมรุแห่งพุทธเกษตรนั้นมีธรรมชาติพื้นฐานดุจเดียวกัน การเข้าไปชนใส่เขาพระสุเมรุแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามนั้นเท่ากับเอาหัวเข้าไปโขกใส่พุทธเกษตร
แต่ถึงอย่างไร รูปสลักหินอื่นๆ ก็มิได้เผชิญกับสถานการณ์อย่างพวกนี้ ในทางกลับกัน พวกมันผุดโผล่ขึ้นมาทุกหัวมุมโลกโดยไม่ผจญเรื่องราวใด รูปสลักหินเหล่านี้หนักอึ้งอย่างไร้ปานเปรียบ และไม่อาจเคลื่อนย้ายไปได้เลยสักนิด ดังนั้นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงสั่งให้คนไประวังป้องกันพวกมันเอาไว้อย่างแน่นหนา
หลังจากที่ฉินมู่ได้ประสบการฟื้นคืนชีพของรูปสลักหินเหล่านี้ด้วยตนเอง เขาก็เข้าใจกระจ่างว่ารูปสลักหินเหล่านี้น่าสะพรึงกลัวเพียงไหน หากว่าพวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมา ก็จะเป็นมหาหายนะภัยแก่สันตินิรันดร์ ต่อให้ไม่มีเทพศาสตราที่ใช้ส่งภัยพิบัติก็ตาม!
“หากว่าเถียนฉู่ยังไม่มา ข้าก็คงมีแต่ต้องลุยด้วยตนเอง…”
ขณะที่เขาคิดมาถึงตรงนี้นั่นเอง แสงเทวะหนึ่งก็สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า และจากแสงสว่างนั้น เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามก็ยื่นมือของเขามาคว้าจับดาบเทวะประตูจักรพรรดิที่อยู่ใต้ดิน!
ราชาสวรรค์แดนบาดาลมาที่นี่แล้ว!
ฉินมู่ตื่นเต้นยินดี และเงยศีรษะขึ้นมองดู เขาเห็นเถียนฉู่ถือดาบเทวะประตูจักรพรรดิเอาไว้ และร่ายคาถาให้มันเล็กลงๆ ไม่นานนัก มันก็แปรเปลี่ยนเป็นมีดยักษ์ที่มีความยาวหลายสิบวา
เถียนฉู่เก็บมีดของเขาไว้อย่างระมัดระวังโดยหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้องกับใบมีด “อยู่ที่นี่แหละ ให้ข้าไปพบปะกับศิษย์แดนบาดาลสักหน่อย!” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็เหาะขึ้นไปบนอากาศ และเมื่อแสงสว่างวาบมาเต็มฟ้า ทั้งตัวเขาและดาบก็หายสาบสูญ
ฉินมู่กำลังจะออกปากยั้งเขาเอาไว้ แต่เขาก็จากไปไกลแล้ว
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเหาะขึ้นไปบนอากาศเพื่อออกจากเวิ้งใต้ดิน เมื่อมองไปที่ไกลๆ เขาก็เห็นลำแสงสุริยันพวยพุ่งไปยังทิศตะวันออก
ทันใดนั้น ถุงเต๋าตี้ของเขาก็สั่นสะเทือน และเสียงฟ้าผ่าเป็นตับๆ ก็ดังออกมา ฉินมู่ตื่นตระหนกและรีบเทข้าวของในถุงเต๋าตี้ของเขาออกมาดู เพื่อพบว่ารอบๆ หม้อห้าอัสนีมีสายฟ้าพวยพุ่งเต็มไปหมด อาวุธจู่โจมภูมิอากาศนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะสูญเสียการควบคุม!
“ห้ามหาเมฆอสุนีบาตกำลังจะถูกกระตุ้นทำงาน”
ฉีเจี่ยวอี๋ถอนหายใจและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พี่ฉิน สันตินิรันดร์ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราจะหยั่งเท้าอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อใดที่ห้ามหาเมฆอสุนีบาตลอยขึ้นไปบนอากาศ ทั้งสันตินิรันดร์ก็จะกลายเป็นทะเลสายฟ้า และเทพศาสตราระฆังไฟก็จะพุ่งฉวัดเฉวียนไปในทะเลสายฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากหม้อห้าอัสนีแล้ว ยังมีอาวุธภูมิอากาศอื่นๆ อย่างเช่นหม้อแผ่นดินไหว น้ำเต้าลมเพชรหึง หากว่าพลานุภาพทั้งหมดพวยพุ่งออกมาพร้อมๆ กัน สันตินิรันดร์ก็จะน่าสยดสยองยิ่งกว่าขุมนรก! ข้านั้นพร้อมที่จะไปซ่อนตัวอยู่ในเหนือฟ้าแล้ว พี่สอง เจ้าจะตามข้าไปไหม ข้าสามารถพาเจ้าออกไปจากโลกแห่งนี้และเข้าไปข้างในเหนือฟ้าได้ ภัยพิบัติจะไม่กล้ำกรายไปถึงที่นั่น”
กิเลนมังกรลังเลอยู่อึดใจหนึ่งและมองไปที่ฉินมู่ เขาส่ายหัวและกล่าว “จ้าวลัทธิไปที่ไหนข้าก็จะไปที่นั่น ข้าติดตามจ้าวลัทธิมาหลายปีและกินอาหารไปมากมาย ข้าไม่อาจจะผละตัวไปได้ยามจำเป็น”
ฉีเจี่ยวอี๋มีสีหน้าผสมปนเปและถอนหายใจ เพลิงไฟพวยพุ่งรอบกายเขาเมื่อเขาแปลงร่างเป็นนกหงส์เพลิงเก้าหัวเพื่อเหินร่อนไปทางทิศตะวันตก เสียงของเขาดังออกมา “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องดูแลตัวเอง! พี่สอง ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ห้ามตาย! นี่คือป้ายแทนตัวที่ใช้แสดงถึงสายเลือดของจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณ มันอาจจะช่วยชีวิตเจ้าได้!”
ป้ายหนึ่งลอยเข้ามาในมือของฉินมู่
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และส่งป้ายหยกอันแกะสลักไว้ด้วยรูปหงส์เพลิงเก้าหัวให้แก่กิเลนมังกร
ป้ายแทนตัวของฉีเจี่ยวอี๋ไม่ได้ให้เขา แต่ให้เพื่อกิเลนมังกร
“มังกรอ้วน ฉีเจี่ยวอี๋ก็ยังคงดีกับเจ้าไม่น้อย”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเดินทางกันเถอะ กลับไปที่สันตินิรันดร์!”
กิเลนมังกรเหยียบไปบนเมฆอัคคีและนำพาฉินมู่เหาะขึ้นไปบนอากาศ ฉินมู่เห็นไจกระบี่อยู่บนร่างของกิเลนมังกรและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้ให้กิเลนมังกรโยนไจกระบี่ทิ้งไป
เขาไม่รู้สถานการณ์ในสันตินิรันดร์ และเขาก็ไม่มีอาวุธที่เหมาะมือ หากว่าเขาโยนไจกระบี่ที่ยังขัดเกลาไม่เสร็จนี้ทิ้งเสีย ก็คงจะไม่ได้เพิ่มความเร็วของเขาเข้าไปมากมายเท่าไร
ที่สามารถเพิ่มพูนความเร็วข้าได้จริงๆ คือจิตวิญญาณดั้งเดิม!
บนหลังของกิเลนมังกร ฉินมู่ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกไป และขับเคลื่อนเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม ไม่นานนัก เขาก็ได้รวบรวมผู้เปี่ยมความสามารถจากทั้งสันตินิรันดร์มาร่วมประชุม จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียน หวางมู่หรัน ซวีเซิงฮวา หลิงอวี้จิว และคนอื่นๆ ล้วนแต่มารวมตัวกันในโถงบรมศึกษา
“เร็วๆ นี้มีเหตุการณ์เสียชีวิตหมู่เป็นวงกว้างในสันตินิรันดร์หรือไม่” ฉินมู่ถาม
“ภายในค่ำคืนเดียว ในชนบทอวี้จื้อทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนทุกคนเสียชีวิต”
หลิงอวี้จิวกล่าว “ตั้งแต่ในเมืองจนถึงเขตชนบท ทุกๆ คนตายในเวลาเดียวกัน รวมถึงผู้ว่าการชนบทอวี้จื้อเยาว์ที่อยู่ในขั้นสะพานเทวะอันไม่ห่างไกลจากเขตขั้นเทวะ ท่านพ่อของข้าได้ส่งคนออกไปเพื่อสอดแนมสถานที่แห่งนั้นแล้ว และจากรายงาน ทุกๆ คนในชนบทอวี้จื้อยังดูเหมือนกับว่ามีชีวิตอยู่ ผู้คนหลายคนกำลังอยู่บนท้องถนนในท่าเดิน และยังมีชาวนาเฒ่ามากมายที่กำลังทำนาอยู่ แต่ทว่า พวกเขาทั้งหมดได้ตายลงไป ไม่มีลมหายใจแม้แต่น้อย ท่านพ่อของข้าได้สยบข่าวนี้เอาไว้ไม่ให้แพร่ออกไป เพื่อป้องกันความแตกตื่นของผู้คน”
ฉินมู่ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “แล้วพวกปศุสัตว์ล่ะ?”
“ปศุสัตว์ สัตว์เลี้ยง สัตว์เถื่อน ไม่มีตัวไหนรอด” หลิงอวี้จิวตอบไป
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียน หวางมู่หรัน และคนอื่นๆ ยังคงไม่รู้ว่ามีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้น และในพริบตานั้น ทั้งโถงบรมศึกษาก็เต็มไปด้วยเสียงอึกทึก
หลิงอวี้จิวกล่าวต่อ “ราชครู บรรพชนแรก ครูบาศักดิ์สิทธิ์ และคนอื่นๆ ได้รวมตัวยอดฝีมือแห่งแสงฉานและเผ่ามาร เพื่อไปเสาะหาตำแหน่งแห่งหนของศัตรู ศัตรูพวกนี้จะต้องเป็นโหลอวิ๋นชวีและพรรคพวกเป็นแน่”
ฉินมู่มองไปที่ซีอวิ๋นเซี่ยงและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ธิดาเทพเซี่ยง รีบถ่ายทอดคำสั่งออกไปยังศิษย์ทั้งหมดแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ให้ศิษย์ทุกคนคอยกำกับดูแลการเคลื่อนไหวของรูปสลักหินทั้งหมด รายงานสิ่งผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้นให้แก่ข้าในทันที!”
ซีอวิ๋นเซี่ยงผงกศีรษะของนางและกล่าว “มีรายงานมาจากหลายพื้นที่ว่ารูปสลักหินเหล่านั้นกำลังเริ่มฟื้นคืนชีพ บางรูปสลักหินก็เริ่มเผยสีสันของเลือดเนื้อ ข้ากระทั่งได้ยินว่าข่าวว่าราชครูสันตินิรันดร์ต้องไปตรึงสะกดเทพศาสตราภูมิอากาศในท้องพระคลัง ไม่นานมานี้ ศาสตราวุธพวกดังกล่าวเริ่มเปล่งพลานุภาพและทำให้ท้องพระคลังพังทลาย เมื่อวันนี้เอง เมืองหลวงได้เกิดแผ่นดินไหวถึงสิบห้าครั้ง และสายแร่มังกรก็ปริแตก”
หัวใจของทุกคนเต้นกระดอน และพวกเขาก็พลันเงียบงัน
“เรื่องอื่นที่เจ้าจะต้องคอยสังเกตก็คือการเสียชีวิตเป็นวงกว้าง หากว่าเกิดขึ้นมา ต้องรายงานข้าโดยทันที!”
ฉินมู่กล่าวอย่างรวดเร็ว “น้องสาวจิว ช่วยไปบอกจักรพรรดิให้ออกคำสั่งเรียกตัวบัณฑิตทั้งหมดที่เชี่ยวชาญในนำทางวิญญาณเพื่อขึ้นเรือเหาะเร็วไปยังชนบทอวี้จื้อ เจ้าสำนักเต๋า พี่หวาง หากว่าในสำนักเต๋าและนครหยกน้อยมีผู้คนที่เชี่ยวชาญในวิชานำทางวิญญาณ ก็ให้พวกเขารีบรุดไปที่นั่นด้วยเช่นกัน! พวกเราอาจจะยังสามารถช่วยชีวิตผู้คนเหล่านั้นได้!”
ทุกคนผงกศีรษะและส่งเสียงรับคำ
สมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมเลิกประชุม และจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ก็กลับเข้าร่าง เขารีบสั่งให้กิเลนมังกรมุ่งหน้าไปยังชนบทอวี้จื้อ แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หยุดกิเลนมังกรเอาไว้
กิเลนมังกรไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ยังคงชะลอฝีเท้าและวิ่งไปด้วยความเร็วปานกลาง
สีหน้าของฉินมู่พลิกผันแปรเปลี่ยนไปมาด้วยความไม่แน่นอนใจ ชนบทอวี้จื้ออยู่ใกล้กับชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ การเดินทางนั้นยาวไกล และกว่าจะไปถึงที่นั่นก็จะใช้เวลาหนึ่งวัน เขตชายฝั่งนั้นอยู่ห่างไกลเป็นเอกเทศ และหากว่าเขาพุ่งตรงไปที่นั่นโดยไม่คิดให้ดี เขาก็อาจจะตกลงไปในแผนร้ายล่อเสือออกจากถ้ำ
หากว่าผู้ฝึกวิชาเทวะที่เชี่ยวชาญนำทางวิญญาณไปรวมตัวที่ชนบทอวี้จื้อกันหมด ก็จะไม่มีใครตอบสนองได้ทันหากว่าเกิดเหตุการณ์ตายหมู่เป็นวงกว้างที่ปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลันในมณฑลและชนบทอื่นๆ
เพียงผู้คนในชนบทเดียวน่าจะไม่เพียงพอที่จะชุบชีวิตรูปสลักหินเหล่านั้น จะต้องมีผู้คนตายมากกว่านี้เพื่อที่จะปลุกรูปสลักหินให้ฟื้นตื่น
ฉินมู่ประกายตาไหววูบ และเขาก็นำเอาแผนที่สันตินิรันดร์ออกมาจากถุงเต๋าตี้ สันตินิรันดร์นั้นมิได้เป็นเช่นเดิมอีกต่อไป อาณาเขตของมันแผ่ขยายไปอย่างมากมาย จำนวนประชากรก็มากกว่าเก่าก่อนหลายเท่าตัว แต่กระนั้นความหนาแน่นของประชากรก็ยังคงกระจุกตัวอยู่ในสถานที่ที่การค้าขายเจริญรุ่งเรือง
การขนส่งทางน้ำแห่งแม่น้ำหย่งเป็นที่ที่เจริญที่สุด หลายเมืองตามเส้นทางแม่น้ำมีประชากรเป็นล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณสุสานแม่น้ำ แต่ทว่า สุสานแม่น้ำนั้นอยู่ใกล้กับเมืองหลวง ดังนั้นราชครู บรรพชนแรก และคนอื่นๆ ก็จะไหวตัวได้รวดเร็ว
ฉินมู่ตรวจดูแผนที่ และสถานที่ที่เหมาะเหม็งที่สุดก็ยังคงเป็นมณฑลลี่โจวของอวี๋เยียนชูอวี่
มันอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงเพียงพอ และห่างจากชนบทอวี้จื้อเพียงพอ มันยังอยู่ที่ใจกลางสันตินิรันดร์อีกด้วย
หากว่าข้าเป็นโหลอวิ๋นชวี ข้าก็จะเลือกสถานที่แห่งนั้น และบูชายัญทุกคนในมณฑลลี่โจวเพื่อปลุกรูปสลักหิน
สีหน้าของฉินมู่หวั่นไหวไม่แน่นอน มณฑลลี่โจวอยู่ทางทิศใต้ของสถาบันนักบุญสวรรค์ และยังมีสถาบันแม่น้ำหย่งตั้งอยู่ที่นั่น ขุนนางชั้นสูงซูอวิ๋นจือเป็นอธิการบดี ขณะที่อวี๋เยียนชูอวี่และอวี๋เยียนชูอวิ๋นเป็นคณบดี
หากว่าพวกเขาใช้บันทึกเป็นตายเพื่อเซ่นสังเวยทุกคนในมณฑลลี่โจว ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้สถาบันแม่น้ำหย่งในรวดเดียวแล้ว แม้แต่สถาบันนักบุญสวรรค์ของข้าก็จะต้องถูกกวาดล้างไป โหลอวิ๋นชวีกับพรรคพวกจะกวาดล้างสถาบันนักบุญสวรรค์ในระหว่างทางก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน
ลี่โจว ป้าโจว มีผู้คนมากมายเกินพอที่จะใช้ชุบชีวิตรูปสลักหินหลายตน เมื่อรูปสลักหินเหล่านั้นฟื้นคืนชีพมา พวกมันจะกวาดล้างไปอีกหลายมณฑลก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถทำลายล้างสันตินิรันดร์ลงไปได้อย่างสิ้นเชิงด้วยการกระตุ้นเร้าการทำงานของเทพศาสตราส่งภัยพิบัติ
เมื่อฉินมู่คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็สั่งให้กิเลนมังกรมุ่งหน้าตรงไปยังสถาบันแม่น้ำหย่งในลี่โจวทันที
ความเร็วของกิเลนมังกรเร็วอย่างยิ่งยวด เขาวิ่งตะบึงไปในแม่น้ำหย่งและทำให้คลื่นซัดโถม มังกรมหึมาสองตัวแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ ติดตามกิเลนมังกรไปอย่างใกล้ชิด
เมื่อพวกเขามาถึงชนบทเขื่อนแม่น้ำ ฉินมู่ก็สั่งให้กิเลนมังกรลงจอด บนภูเขาร้อยปีที่อยู่ตรงข้ามชนบทเขื่อนแม่น้ำ เทพเจ้าอันขาวผ่องราวหิมะพร้อมกับเขาบนหน้าผากม้าของเขาก็มองเข้ามาจากที่ไกลๆ
ฉินมู่โบกมือและเทพป๋ายซี่ก็ซ่อนตัวเอง ข้างๆ แม่น้ำคือสถาบันแม่น้ำหย่ง และสาเหตุที่ซูอวิ๋นจือเลือกก่อตั้งสถาบันการศึกษาที่นี่ก็เพื่อสำหรับผู้เปี่ยมความสามารถจากทั้งสองฝั่งของแม่น้ำหย่ง และยังมีราชามังกรแม่น้ำหย่งเทพครองแดนเลี้ยงมังกร ราชามังกรเทวะไร้เขา และเทพป๋ายซี่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพวกเขาต้องการให้เทพเจ้ามาสอนบรรยาย พวกเขาก็เพียงแต่ถวายเครื่องเซ่น และท่ามกลางพวกเขาทั้งสาม เทพป๋ายซี่ราคาถูกที่สุด พวกเขาไม่ต้องเซ่นไหว้อะไรมากมาย
ฉินมู่รีบรุดเข้าไปในสถาบันและเห็นอาวุธวิญญาณขนาดใหญ่มากมาย อาวุธวิญญาณขนาดใหญ่เหล่านั้นจอดอยู่สองข้างถนน และบัณฑิตจำนวนหนึ่งก็กำลังสอนผู้ฝึกวิชาเทวะหลายคนถึงวิธีการควบคุมอาวุธเหล่านั้น
เห็นได้ชัดว่าบัณฑิตทั้งหลายแห่งสถาบันแม่น้ำหย่งยังคงไม่รู้ตัวว่าหายนะกำลังจ่อเข้ามาใกล้แล้ว สถานที่นี้ยังสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรหยุดชมดู เขาเห็นว่าอาวุธวิญญาณจำนวนหนึ่งเป็นรถวายุที่มีใบมีดเจ็ดใบและเตาหลอมยาเล็กๆด้วยการใส่หินยาเข้าไปในเตาหลอม ใบมีดก็จะหมุนปั่นได้
เมื่อใบมีดหมุนปั่นไป มีดลมก็จะเฉือนตัดไปตามพื้น และมันก็จะกรุยไถท้องทุ่งได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากกรุยไถพื้นเสร็จ พวกเขาก็ยังสามารถเข็นรถวายุนี้ไปกรุยไถไร่นาแห่งอื่นได้อีก
เครื่องมือไถไร่นา!
ฉินมู่ตกตะลึง ระหว่างการปฏิรูปสันตินิรันดร์ ผู้ฝึกวิชาเทวะที่ได้ฝึกฝนทักษะเทวะลม ส่วนใหญ่จะถูกจ้างไปใช้เวทมนตร์กรุยไถไร่นา พวกเขาใช้มีดลม
แต่มีใครบางคนที่ได้คิดค้นอาวุธวิญญาณรถวายุเช่นนี้ขึ้นมา โดยใช้สอยพลังงานจากหินยาเพื่อขับเคลื่อนทักษะเทวะ นี่มันเป็นความคิดที่ยกระดับพิสดารจริงๆ
เขาถามบัณฑิตข้างๆ รถวายุ และบัณฑิตผู้นั้นก็ตอบมา “นอกจากรถวายุแล้ว ยังมีรถเมฆา รถวรุณ รถขุดแร่ และเตาสำหรับหลอมละลายโลหะอีกด้วย พวกมันล้วนแต่ถูกออกแบบโดยโถงวิศวกรรมและกระทรวงวิศวกรรม ราชครูได้สั่งให้เผยแพร่พวกมันออกไปทั่วจักรวรรดิ”
หรือว่าท่านปู่ใบ้จะออกแบบอาวุธวิญญาณเพื่อการใช้สอยประจำวัน แต่ทว่า หากว่าพวกมันถูกเผยแพร่ทั่วทั้งจักรวรรดิ หินยาก็คงไม่พอจะใช้งาน ใช่ไหม แม้แต่การปลูกสมุนไพรวิญญาณก็ยังต้องการเวลากว่าสมุนไพรจะโตดี
ฉินมู่ถาม “อธิการบดีซูอวิ๋นจืออยู่ในสถาบันหรือไม่”
“อธิการบดีอยู่ข้างหน้านี่เอง นางกำลังตรวจสอบไร่สมุนไพรกับราชาพิษหน้าหยกจากกระทรวงหมอหลวง”
ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย ท่านปู่นักปรุงยาก็อยู่ที่นี้ด้วย? ไม่ใช่ว่าเขาอยู่กับพระพันปีหลวงและสาวงามคนอื่นๆ หรอกหรือ หรือว่าเขามีสัมพันธ์สวาทกับซูอวิ๋นจือด้วยเช่นกัน บ๊ะ บ๊ะ ทำไมข้ามานินทาท่านปู่นักปรุงยาลับหลังได้ล่ะเนี่ย…