บทที่ 349 หรือว่าเป็นซือเยี่ยหาน? / บทที่ 350 วางหวันหวั่นไว้ตรงไหน? Ink Stone_Romance
บทที่ 349 หรือว่าเป็นซือเยี่ยหาน?
ภายในห้องจัดเลี้ยงเงียบสงัดไร้สุ่มเสียง เพียงพริบตาสายตาของผู้คนต่างเลื่อนจากเยี่ยอีอีและกู้เยว่เจ๋อ มามองที่เยี่ยหวันหวั่น
เดิมทีเข้าใจว่า เยี่ยอีอีเป็นคนเชิญเหมยจิ่งโจวมาร่วมงานวันเกิดเยี่ยหงเหวย แต่เมื่อครู่ท่านอาจารย์เหมยจิ่งโจวพูดเองว่า การมาของเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเยี่ยอีอี ทั้งหมดเป็นเพราะเยี่ยหวันหวั่น…
สิ่งที่ตามมาหลังจากคำพูดของเหมยจิ่งโจวจบลง รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยอีอีและกู้เยว่เจ๋อทั้งสองคนพลันแข็งทื่อ
“ความหมายของอาจารย์เหมยคือ คุณมาเพราะเยี่ยหวันหวั่น?” กู้เยว่เจ๋อเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ
“แน่นอน” เหมยจิ่งโจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน
กู้เยว่เจ๋อพลันคำพูดจุกคอพูดอะไรไม่ออก
และทางด้านเยี่ยหวันหวั่นแม้จะดูเหมือนสีหน้าเรียบเฉย ลักษณะท่าทางยากจะหยั่งรู้ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วเธอกำลังงงใจอยู่
เรื่องอะไรกัน?
ทำไมเหมยจิ่งโจวถึงบอกว่าตัวเองรู้จักกับเธอ อีกทั้งยังบอกว่าได้รับการไหว้วานของเธอมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่?
เกรงแต่ว่าคนทั้งเมืองหลวงก็ไม่มีใครเชิญเหมยจิ่งโจวมาได้ เธอเป็นคนมีหน้ามีตามากเลยสินะ ถึงเชิญปรมาจารณ์ขั้นเทพท่านนี้มาได้?
เยี่ยหวันหวั่นคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก กระทั่งในหัวของเธอพลันฉุกคิดชื่อของคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
ซือเยี่ยหาน?!
หากว่าเป็นเขาละก็ จะต้องทำได้อย่างง่ายดายแน่นอน
แต่ว่า…จะเป็นไปได้อย่างไรกัน…
การที่เขาไม่ห้ามให้ตนเองมาที่นี่ก็นับว่าเป็นบุญคุณล้นฟ้าแล้ว แล้วจะจัดการส่งคนมามอบของขวัญวันเกิดให้คุณปู่แทนเธอได้อย่างไร?
ทำไมถึงไม่ใช่คุณพ่อของเขาที่เชิญเหมยจิ่งโจวมา แต่เป็นเยี่ยหวันหวั่นที่เป็นคนเชิญมาได้?
กู้เยว่เจ๋อไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ เดิมคิดอยากจะซักถามต่อไป แต่ได้เห็นท่าทีของเหมยจิ่งโจวที่ชัดเจนมากขนาดนี้แล้ว การที่จะถามต่อไปก็เท่ากับสร้างความอัปยศให้ตัวเองเท่านั้น
ดังนั้น จึงทำได้เพียงทำท่าทางสงบนิ่งเอ่ยไปว่า “ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องขอบคุณมากๆ ที่คุณมาร่วมงานในวันนี้ครับ”
เยี่ยอีอีก็กล่าวเสริมต่อด้วยสีหน้าแสดงความจริงใจ “ใช่ค่ะ ขอแค่คุณปู่มีความสุขก็พอแล้ว! คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยหวันหวั่นจะรู้จักคนใหญ่คนโตอย่างท่านอาจารย์เหมยด้วย…”
เวลานี้ ทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยงมีแต่เสียงอุทานตกใจต่อกันเป็นทอดๆ
“ดูท่าพวกเราทุกคนคงจะมองผิดไป หลานสาวของตระกูลเยี่ยผู้ที่ลือกันว่าไร้การศึกษาไร้ความสามารถคนนี้เป็นพวกคมในฝักจริงๆ!”
“คุณพูดถูก! เป็นเพื่อนต่างวัยกับคนใหญ่คนโตอย่างเหมยจิ่งโจวได้ขนาดนี้! คนรุ่นหลังในเมืองหลวงคนไหนมีความสามารถแบบนี้บ้าง?”
“ต่อให้เยี่ยเส่าถิงในตอนนี้จะตกต่ำ แต่สุดท้ายพ่อเป็นเสือลูกก็ไม่เป็นสุนัข[1]!”
เวลานี้เอง สายตาของเยี่ยหงเหวยที่มองเยี่ยหวันหวั่นอีกครั้งพลันเปลี่ยนไปไม่น้อย
หรือว่าหลานสาวที่เขาได้สิ้นหวังไปนานแล้วคนนี้จะคิดได้แล้วจริงๆ…
หลังจากเยี่ยหวันหวั่นพูดคุยอย่างนอบน้อมกับคุณปู่และผู้คนในงานไปสองสามประโยคแล้ว ก็หาโอกาสพูดคุยตามลำพังกับเหมยจิ่งโจว
“คุณเหมยคะ คุณรู้จักฉันจริงๆ เหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยถามพลางส่งสายตาซักถาม
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่เรื่องราวมันมีอะไรแปลกๆ เธอจำเป็นต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเจน
เหมยจิ่งโจวเอ่ยจริงจัง “แน่นอนสิ คุณหนูหวันหวั่นทำไมถามแบบนี้?”
เห็นท่าทีมั่นใจของเหมยจิ่งโจว เยี่ยหวันหวั่นก็ยิ่งสงสัย พึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้อย่างไร ทำไมฉันถึงจำไม่ได้เลยสักนิด…”
“คิดว่าคุณคงจะลืมไปแล้ว!” เหมยจิ่งโจวหน้าไม่เปลี่ยนสี อีกทั้งท่าทางยังดูเหมือนจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย
เยี่ยหวันหวั่นกระตุกมุมปาก “ฉันยังเด็กเกินไปมาก…”
“หมายความว่าไง?” เหมยจิ่งโจวถามอย่างไม่เข้าใจ
เยี่ยหวันหวั่นมุมปากกระตุกเล็กน้อย “ความหมายก็คือเป็นไปไม่ค่อยได้ว่าฉันจะเป็นโรคอัลไซเมอร์เร็วขนาดนี้ ฉันแค่อยาก แค่อยากจะมั่นใจว่าฉันไม่ได้รู้จักคุณจริงๆ คุณเหมย!”
เหมยจิ่งโจวกระแอมไอเสียงเบา
เยี่ยหวันหวั่นคร้านจะพูดอ้อมแล้ว จึงถามออกไปตรงๆ “คุณเหมยคะ ซือเยี่ยหานส่งคุณมาใช่ไหม?”
…………………………………
บทที่ 350 วางหวันหวั่นไว้ตรงไหน?
เหมยจิ่งโจวขมวดคิ้วย่น ใบหน้าเผยความสับสนงุนงน “ผมไม่รู้ว่าคนที่คุณหนูเยี่ยพูดถึงคือใคร”
มองไม่เห็นพิรุธบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เยี่ยหวันหวั่นมึนไปหมด เธอมั่นใจมากว่าตัวเองเป็นไปไม่ได้ และไม่มีโอกาสที่จะรู้จักบุคคลสำคัญอย่างเหมยจิ่งโจวได้แน่นอน
นึกไม่ถึงเลยว่าปรมาจารย์ท่านนี้จะแสดงละครดีเยี่ยม วิชาการแสดงนี้เก่งเกินไปแล้วมั้ง?
ช่างเถอะ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับ เธอถามต่อไปก็ไร้ประโยชน์
เยี่ยหวันหวั่นทำได้เพียงละทิ้งความพยายามที่จะซักถามต่อ เดินกลับไปอยู่กับพ่อแม่ทางโน้น
จากเหตุการณ์เมื่อครู่กู้เยว่เจ๋อก็ได้แต่มองตามทิศทางของเยี่ยหวันหวั่นมาโดยตลอด เห็นคนทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข สีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ลงไป
ผลงานปะติมากรรมชิ้นนั้นยังพอถูไถไปได้ แต่ว่าต่อให้เยี่ยหวันหวั่นจะมีความสามารถแค่ไหน ก็ไม่สามารถไปเชิญบุคคลสำคัญอย่างเหมยจิ่งโจวด้วยตัวเอง เพื่อให้มาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดส่วนตัวแบบนี้ได้อย่างแน่นอน
เกรงว่าคนที่จะเชิญเหมยจิ่งโจวมาได้ ทั่วทั้งเมืองหลวงคงจะมีแต่…
พอคิดถึงคนคนนั้น สีหน้าของกู้เยว่เจ๋อพลันหมองหม่นลงไปอีก
ครั้งก่อนหลังจากออกมาจากสวนจิ่นหยวนแล้ว เขาก็ไม่เคยได้ถามถึงเรื่องของเยี่ยหวันหวั่นอีกเลย
การที่เขายื่นมือเพื่อเยี่ยหวันหวั่นครั้งหนึ่งก็เป็นการทำดีที่สุดแล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าเยี่ยหวันหวั่นคงจะเป็นของเล่นได้ไม่กี่วันก็เบื่อ คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เธอยังคงพัวพันเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้นอยู่
“เยว่เจ๋อ…เยว่เจ๋อ…”
“อีอี มีอะไรเหรอ?”
“คุณเป็นอะไรไป? กำลังคิดอะไรงั้นเหรอ?”
กู้เยว่เจ๋อมองไปทางหญิงสาวที่งดงามอ่อนโยนข้างกาย สีหน้าพลันอ่อนโยนดุจสายน้ำ พลางกล่าว “กำลังคิดถึงเรื่องของพวกเราอยู่น่ะสิ”
เยี่ยหวันหวั่นอยากจะย่ำยีตัวเองก็ปล่อยให้ย่ำยีไป อย่างไรแล้วเรื่องของเธอก็ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเขาแล้ว วันนี้เขาตัดสัมพันธ์กับเธอโดยสิ้นเชิงแล้ว มอบที่หนึ่งให้กับอีอี
เยี่ยอีอีรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร ใบหน้าดวงน้อยพลันแดงกร่ำ กล่าวออกไปในทันที “ฉันขอตัวไปทักทายคุณลุงคุณป้าก่อนนะ!”
กู้เยว่เจ๋อขมวดคิ้วย่น พลางเอ่ยขึ้นว่า “มีอะไรให้น่าไปทักทาย!”
เยี่ยอีอีชำเลืองมองเขาด้วยสายตาจนใจ พลางเอ่ยเตือน “เยว่เจ๋อ อย่าเป็นแบบนี้สิ อย่างไรก็เป็นญาติกันทั้งนั้น!”
กู้เยว่เจ๋อไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอของเธอได้ “ฉันจะไปเป็นเพื่อน”
และแล้วคนทั้งสองก็ถือแก้วเหล้าเดินไปยังโต๊ะของเยี่ยเส่าถิง
เยี่ยอีอีเอ่ยทักทายด้วยถ้อยคำสุภาพมีมารยาท “คุณลุงคุณป้าคะ ยากนักที่พวกคุณจะกลับมาสักครั้ง หากต้องการอะไรขอให้บอกเยี่ยอีอีได้เลยนะคะ วันนี้เนื่องจากหิมะตกหนักที่ประเทศ M สนามบินปิด คุณพ่อคุณแม่กับคุณย่าเลยกลับมาไม่ได้ มีอีอีคนเดียวคอยจัดการงานเลี้ยงวันเกิด หากมีตรงไหนที่ตกหล่นดูแลไม่ทั่วถึง ขอคุณลุงคุณป้าอย่าถือสานะคะ”
คำพูดนี้เรียกได้ว่ารอบคอบไม่มีช่องโหว่ ทว่าก็เป็นท่าทีของเจ้าภาพอย่างสมบูรณ์
กู้เยว่เจ๋อไม่ได้มีท่าทีจะเอ่ยปากพูดคุยกับพวกเยี่ยเส่าถิงเลย และไม่ชายตามองเยี่ยหวันหวั่นเลยสักนิด ราวกับกลัวว่าเยี่ยอีอีจะเสียหาย ยืนปกป้องอยู่ข้างกายเยี่ยอีอีตั้งแต่ต้น
เมื่อครู่เยี่ยเส่าถิงเห็นคนทั้งสองเข้างานเลี้ยงมาด้วยกันเป็นคู่ก็นึกไม่พอใจแล้ว เวลานี้มาเห็นคนทั้งสองมาทำแบบนี้ต่อหน้าตัวเอง สีหน้าก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
เยี่ยเส่าถิงสีหน้าเคร่งขรึม มองไปยังชายหนุ่มที่ตนเองเคยชื่นชมมาโดยตลอด พลางกล่าว “เยว่เจ๋อ ที่ผ่านมาฉันเห็นนายเป็นเหมือนลูกชายแท้ๆ มาโดยตลอด บัดนี้สัญญาหมั้นหมายของนายกับหวันหวั่นยังอยู่ แต่กลับเปิดตัวอีอีแบบนี้ นายเอาหวันหวั่นไปวางไว้ตรงไหน?”
เผชิญกับคำถามของเยี่ยเส่าถิง ใบหน้าของกู้เยว่เจ๋อฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด จึงเอ่ยปากตอบไป “คุณลุงเยี่ย ที่ผ่านมาผมก็เห็นคุณเป็นคนที่น่าเคารพที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคุณจะทรยศต่อผลประโยชน์ของครอบครัว เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองได้ คนที่มีอุดมการณ์ต่างกันคงไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ผมไม่อาจเพิกเฉยต่อศีลธรรมเพียงเพราะมิตรไมตรีของวันวาน!”
…………………………………
[1] พ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นสุนัข หมายถึง พ่อยอดเยี่ยมมีความสามารถ ลูกก็ต้องยอดเยี่ยมมีความสามารถ