ตอนที่ 268

เสน่ห์คมดาบ

หรือว่าทุกอย่างจะพังพินาศลงในวันนี้หรือจะต้องยอมให้มาริลินชิงอำนาจไปจริงๆ 

 

 

หญิงสาวผู้มีสีดำทั้งสอง! 

 

 

เดวิสมองชีอ้าวชวางด้วยความเศร้าโศกและขุ่นเคืองแล้วเตรียมที่จะพูดบางสิ่งเพื่อแสดงความขุ่นเคืองและไม่เต็มใจก่อนที่เขาจะตาย 

 

 

แต่ชีอ้าวชวางกลับยักไหล่และพูดเบาๆ “เอาล่ะ เสร็จเรื่องแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” หลังจากที่ชีอ้าวชวางพูดจบ เปลวเพลิงแห่งราชันก็หายไป นางหมุนตัวแล้วบินนำไปก่อนจากนั้นเหล่าคนที่ติดตามนางทั้งหมดก็ตามนางไป 

 

 

เดวิสราวกับฟาดกำปั้นใส่ก้อนสำลีแล้วก็จมลงไปทั้งตัวเลย 

 

 

ไร้เรี่ยวแรง ไร้เรี่ยวแรงสุดๆ เลย… 

 

 

เดวิสเกือบล้มลงกลางอากาศทูตสวรรค์สิบหกปีกองค์อื่นๆ ต่างก็มองแผ่นหลังของชีอ้าวชวางอย่างงุนงงเช่นกัน 

 

 

ไม่มีแล้ว? จบแบบนี้งั้นหรือ? 

 

 

พวกเขาไม่มาทำอะไรแล้ว? 

 

 

จบแบบนี้หรือ? 

 

 

เดินไปไกลแล้ว? 

 

 

หมายความว่าอะไร… 

 

 

มาริลินตะลึง ชีอ้าวชวางทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่ว่าต้องการช่วยให้ตัวนางกลายเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงหรอกหรือ ทำไมถึงปล่อยไปแบบนี้ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ล่ะ สมาชิกของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนในสภาพที่ขวัญกำลังใจตกต่ำ แถมยังบาดเจ็บหนักเลยด้วย โอกาสที่ดีเช่นนี้ นางจะปล่อยมันไปแบบนี้จริงหรือ?! 

 

 

มาริลินแทบคลั่ง! นี่มันคือความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่อาหารอันโอชะกำลังจะเข้าปากแต่ถูกคนอื่นแย่งไปจากปากเลยนะ! 

 

 

ชีอ้าวชวางนี่มันหมายความว่าอะไร มาริลินรีบบินไปอย่างดุเดือด นางบินไปหากลุ่มของชีอ้าวชวางที่กำลังบินกลับมา 

 

 

แน่นอนว่าคนของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้แน่ ในเมื่อตอนนี้หญิงสาวผู้มีสีดำทั้งสองปล่อยพวกเขาแล้ว หากพวกเขายังดึงดันจะสู้ต่อไปในสถานการณ์เช่นนี้ก็คงเป็นวิธีที่โง่เขลามากเดวิสเห็นชาร์ลอตและพวกกำลังจะชักดาบขึ้นก็รีบช่วยพยุงกาบรินทันทีแล้วตะโกน “ถอย!” 

 

 

สมาชิกของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนถอยกลับอย่างรวดเร็วโดยมีทูตสวรรค์จำนวนมากเข้ามาล้อมรอบพวกเขาเพื่อช่วยคุ้มกันชาร์ลอตต์และคนอื่นๆ มองสมาชิกของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนที่ห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายพวกเขาก็หนีไปอย่างปลอดภัย 

 

 

ชีอ้าวชวางบินกลับไปอย่างไม่แยแสและพบกับมาริลินที่กราดเกรี้ยวอยู่กลางอากาศ 

 

 

สีหน้าของมาริลินในตอนนี้มืดครึ้มมาก พอนางเห็นใบหน้าที่ไม่แยแสของชีอ้าวชวางนางก็โกรธแล้วยกนิ้วขึ้นชี้ชีอ้าวชวางและตะโกน “ชีอ้าวชวาง! เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?! เจ้าเป็นพวกเชื่อถือคำพูดไม่ได้หรือ เจ้ากระทำการแบบนี้งั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำอะไร นี่มันหมายความว่าอะไรกัน!” 

 

 

มาริลินชี้ชีอ้าวชวางพลางตะโกนด้วยความโกรธด้วยอารมณ์ตอนนี้นางลืมไปเลยว่าใครกันที่เป็นแรงผลักดันจนนางมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ ตอนนี้ในหัวของนางมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมนุษย์ต่ำต้อยผู้นี้ปล่อยพวกศาสนจักรไปและกระทำการที่ไร้ความคิดสิ้นดี 

 

 

“เจ้าพูดมาว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร เจ้าลืมข้อตกลงระหว่างเราแล้วหรือ หรือว่าเจ้าไม่ต้องการยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์เจ้าถึงทำแบบนั้น!” มาริลินตะคอกด้วยความโกรธ ตอนนี้ใบหน้าขาวเป็นสีแดงไปแล้ว 

 

 

ชีอ้าวชวางไม่ได้แสดงท่าทีใด นางทำเพียงแค่มองมาริลินที่กำลังตื่นตระหนกนิ่งๆ 

 

 

มาริลีนมองชีอ้าวชวางที่ไม่ตอบโต้กลับแล้วก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกว่านี้ออกมาแต่ชีอ้าวชวางกลับพูดช้าๆ ออกมาเพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้นางสั่นสะท้าน 

 

 

“ระหว่างข้ากับเจ้าไม่เคยมีข้อตกลงร่วมกัน อย่าลืมว่าเจ้าได้มาเป็นเทพีแห่งแสงได้อย่างไร ในเมื่อข้าทำให้เจ้าเป็นเทพีแห่งแสงได้ ข้าก็ช่วยแองเจลิก้าและทำให้นางได้เป็นเทพีแห่งแสงอีกครั้งได้เช่นกัน” เสียงของชีอ้าวชวางให้ความรู้สึกหนาวเย็นราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนในฤดูหนาวทั้งเยือกเย็นและน่ากลัว 

 

 

สีหน้าของเฟิงอี้เซวียนก็เย็นชาเช่นกันดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อยคราบเลือดที่น่าตกใจปรากฏบนใบหน้าขาวของมาริลินเหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่ได้พูดอะไรสักคำและมองมาริลินอย่างนิ่งเงียบแต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอันตรายตอนนี้แผ่นหลังของมาริลินเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น 

 

 

คราบเลือดบนใบหน้าหยดลงช้าๆ และลอยอยู่ในอากาศอย่างแผ่วเบา รูม่านตาของมาริลินขยายออกอย่างรวดเร็วและทันใดนั้นนางก็ได้สติ เวลานี้นางตระหนักได้แล้วว่าท่าทีของนางมันเกินไป มาริลินรีบปรับสีหน้าและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเสียงของนางยังคงร้อนรนอยู่มาก “คุณหนูอ้าวชวาง ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะทำลายล้างศาสนจักรเพรสไบทีเรียน ถ้าปล่อยพวกเขาไปผลที่ตามมามันคงจะเป็นหายนะไม่ผิดแน่” มาริลินพูดอย่างกังวลแล้วมองไปที่ชาร์ลอตต์และคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไป ชาร์ลอตต์นำกลุ่มทูตสวรรค์ไล่ตามพวกนั้นไปแต่คนจากศาสนจักรเพรสไบทีเรียนกลับบินห่างออกไปเรื่อยๆ พวกของชาร์ลอตต์จึงทำได้แค่ฆ่านักรบทูตสวรรค์ที่เหลืออยู่ข้างหลังไว้ถ่วงเวลาพวกเขาเท่านั้น 

 

 

เลือดสดๆ บนท้องฟ้าเป็นราวกับสายฝนอันน่าตกใจ ขนปีกสีขาวกลายเป็นสีแดงและปลิวไปจนทั่ว มันเต็มไปด้วยเลือดและความโศกเศร้า 

 

 

สงครามครั้งนี้มีทูตสวรรค์มากมายที่ต้องจบชีวิตลง มีทูตสวรรค์ตั้งมากมายที่ไม่เหลือแม้แต่หัวใจทูตสวรรค์ พวกเขาไม่มีโอกาสได้ไปเกิดใหม่และต้องหายไปตลอดกาล 

 

 

“ครั้งนี้ศาสนจักรเพรสไบทีเรียนก็สูญเสียความแข็งแกร่งไปอย่างมากเลยไม่ใช่หรือ” ชีอ้าวชวางหันกลับไปมองสงครามอันโหดร้ายที่ยังคงดำเนินอยู่ด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ชาร์ลอตต์ยังคงนำเหล่านักรบทูตสวรรค์ออกตามล่าคนของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนอยู่แต่ชาร์ลอตต์กลับปล่อยทูตสวรรค์ที่ทรงพลังบางส่วนออกไปโดยที่ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสนทนาลับระหว่างชีอ้าวชวางและเขาในคืนนั้นนั่นเอง 

 

 

“อ่อนแอลงไม่น้อยแต่ก็กำจัดพวกเขาทั้งหมดไม่ได้” มาริลินพูดอย่างกังวลถ้าในเวลานี้พวกเขาอยู่บนพื้นนางคงจะรีบไปจัดการซ้ำแล้ว 

 

 

“เทพี เจ้าโลภเกินไปหรือไม่”ชีอ้าวชวางยิ้มจางๆ และพูดออกมาอย่างเย็นชา 

 

 

สีหน้าของมาริลินเย็นเยียบและมองชีอ้าวชวางด้วยความงุนงงก่อนที่จะพูดออกมา“คุณหนูอ้าวชวางเจ้าหมายถึงอะไรข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก” 

 

 

“ข้าก็หมายความตามที่พูดไป” ชีอ้าวชวางยังคงยิ้มจางๆ อยู่ “เอาอย่างนี้ ส่วนที่เหลือ คงต้องให้เจ้าจัดการเองแล้ว เจ้าเป็นคนฉลาด” 

 

 

“คุณหนูอ้าวชวาง ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายถึงอะไร! ”สีหน้าของมาริลินเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังคงสงบสติอารมณ์และพูดกับชีอ้าวชวางอย่างใจเย็นได้อยู่ “หรือว่าเจ้าไม่อยากยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ ข้ายังไม่ได้เป็นเทพีที่แท้จริงตามกฎของโลกเทพเจ้าเลย ข้าไม่สามารถ…” 

 

 

“เจ้างี่เง่าหรือ?” น้ำเสียงเย็นชาของนายน้อยเจือทั้งความเหยียดหยามและแดกดัน 

 

 

สีหน้าของมาริลินซีดลงและหันไปมองนายนายพร้อมทั้งขยับริมฝีปากแต่กลับไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เพราะใบหน้าของนายน้อยเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาก็คมกริบเสียจนนางไม่สามารถจ้องได้ดวงตาของนายน้อยที่มองมาทำให้นางรู้สึกราวกับว่าถูกงูพิษจ้องมองจนไม่สามารถหายใจได้เลย 

 

 

“เจ้าก็รู้ดีว่ากำจัดศาสนจักรไม่ได้ เช่นนั้นก็จะต้องต่อสู้กันต่อไป ตราบใดที่เจ้ารักษาสถานะนี้ไว้ได้ โลกเทพเจ้าจะยังมีพลังไปเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ” นายน้อยตะคอกอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดอย่างเย็นชา “แก้ไขเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” 

 

 

มาริลินหน้าถอดสีในทันที นางหันหน้าไปมองชีอ้าวชวางแต่กลับได้เห็นใบหน้าที่นิ่งสงบของชีอ้าวชวางซึ่งไม่ได้คิดคัดค้านสิ่งที่นายน้อยพูดเมื่อครู่เลย 

 

 

มาริลินอ้าปากค้างมองชีอ้าวชวางด้วยดวงตาเบิกกว้างแต่พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำเมื่อมองผู้หญิงผมสีดำและตาสีดำตรงหน้า มาริลินก็รู้สึกสั่นสะท้านและหวาดกลัวอยู่ในใจหรือว่าผู้หญิงคนนี้จะมีความคิดเช่นนี้มาตั้งแต่แรก? นางไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ตนเองได้เป็นผู้ปกครองของโลกเทพเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพื่อทำให้ตนเองและศาสนจักรเพรสไบทีเรียนต้องกลายเป็นพลังสองฝ่ายที่ต่อต้านกัน 

 

 

ไม่สิ! มีเทพเจ้าแห่งความมืดอีก! 

 

 

นี่มันคือการเผชิญหน้าของพลังทั้งสาม! 

 

 

มาริลินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ นางมองชีอ้าวชวางที่มีสีหน้าเฉยเมยด้วยความงุนงงและพูดอะไรไม่ออก 

 

 

ผู้หญิงคนนี้! หญิงสาวผู้มีสีดำทั้งสอง นี่ตนเองประเมินนางต่ำไปหรือไม่ หรือประเมินตัวเองสูงเกินไป? นางมองเห็นความทะเยอทะยานของตนเองมาตั้งนานแล้วหรือ 

 

 

ลืมไปได้อย่างไรว่านางคือคนที่ขับไล่แองเจลิก้าผู้เป็นเทพีแห่งแสงคนก่อน! 

 

 

หญิงสาวผู้มีสีดำทั้งสองในตำนาน! 

 

 

แววตาของมาริลินมีประกายความสิ้นหวัง หดหู่และหวาดกลัว นางมองกลุ่มของชีอ้าวชวางที่บินผ่านนางและหายลับตาไปอย่างตกตะลึงเบื้องหน้าของนางตอนนี้มีเพียงขนปีกสีเลือดที่ปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้าเท่านั้น 

 

 

“อ้าวชวาง…” คามิลล์ยิ้มและเข้าไปต้อนรับชีอ้าวชวางและคนอื่นๆ ที่กลับมา 

 

 

“คามิลล์” ชีอ้าวชวางร่อนลงมายืนอยู่ตรงหน้าคามิลล์ทุกคนก็ร่อนลงมาทีละคนด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน 

 

 

“เรื่องราวดูเหมือนจะคลี่คลายแล้วนะ คนของศาสนจักรเพรสไบทีเรียนบาดเจ็บสาหัส คงจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานพอที่พลังของมาริลินจะพัฒนาและเติบโตขึ้น” คามิลล์พูดด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“อืม ใช่เลย” ชีอ้าวชวางไม่ได้หันกลับไปมองสนามรบที่เต็มไปด้วยเลือดและความโหดร้ายที่อยู่ด้านหลังอีกนางทำเพียงแค่ตอบด้วยเสียงต่ำเท่านั้น 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว” คามิลล์เหลือบมองและพูดประโยคนี้เบาๆ 

 

 

นายน้อยกลอกตาและพึมพำออกมา “ข้าก็ไม่อยากอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพวกนกบินแบบนี้มาตั้งนานแล้ว!” เฟิงอี้เซวียนเหลือบมองนายน้อยอย่างเย็นชา นายน้อยก็ยกมือขวาขึ้นไปตรงปากตัวเองตามด้วยมือซ้ายปิดปากแน่นเป็นสัญญาณว่าจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีก 

 

 

“กลับกันได้แล้ว” เฮยหยู่หลุบตาลงและมองไปยังไป๋ตี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าสงบ แต่ในใจกลับมีไฟลุกโชนขึ้น ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทุกครั้งที่เขาเห็นท่าทางสงบของไป๋ตี้เขาจะไม่ชอบใจเลย “ไป๋ตี้ เจ้านี่มัน กลับไปเจอกันแน่! ข้าจะทำให้เจ้าตกต่ำลง ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า!” 

 

 

ไป๋ตี้ไม่สนใจ เขายังคงอยู่ในท่าทีสงบเหมือนเดิม 

 

 

เฮยหยู่แทบคลั่ง เขาอยากจะเอาอาวุธออกมาฟาดลงบนหัวของไป๋ตี้จริงๆ 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นหันไปมองชีอ้าวชวางอย่างลึกซึ้งโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา 

 

 

แต่เฟิงอี้เซวียนกลับหันหน้าหนีอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เขาไม่ได้มองชีอ้าวชวางเลย จากนั้นนายน้อยที่อยู่ด้านหลังเฟิงอี้เซวียนก็มองชีอ้าวชวางด้วยสายตาขุ่นเคือง 

 

 

คามิลล์ยิ้มแต่สายตาของเขากำลังครุ่นคิดอยู่ 

 

 

แม้ว่าเรื่องราวในโลกเทพเจ้าจะได้รับการแก้ไขแล้วซิสทัลเองก็จะจัดการกับเรื่องที่เหลือได้เป็นอย่างดีเขาคงจะไม่ยอมเสียโอกาสที่ดีเช่นนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกแต่ความรู้สึกของชีอ้าวชวางไม่ได้ผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อยเพราะยังมีโลกปีศาจที่ยากที่สุดอยู่ อีกทั้งตัวตนของเฟิงอี้เซวียนในโลกปีศาจคืออะไรนางก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ