ตอนที่ 269

เสน่ห์คมดาบ

ชีอ้าวชวางหันหน้าไปมองเฟิงอี้เซวียนแต่เฟิงอี้เซวียนไม่หันมามองนางเลย 

 

 

“กลับกันเถอะ” เสียงทุ้มต่ำของคามิลล์พูดขึ้น 

 

 

จากนั้นทุกคนก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดลงจนไม่เห็นอะไรเลย 

 

 

แสงสีขาวสว่างวาบตรงหน้าแล้วทุกคนก็หายไปหมดสถานที่นั้นว่างเปล่าราวกับว่าพวกของชีอ้าวชวางไม่เคยมีอยู่ 

 

 

ตอนที่ชีอ้าวชวางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็กลับมาอยู่ที่น้ำพุกลางเขาวงกตในสวนที่เป็นจุดเริ่มต้นแล้วบริเวณโดยรอบยังคงมีต้นไม้สูงล้อมอยู่ น้ำพุตรงกลางยังคงใสและพุ่งขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่องจนน้ำสาดกระเซ็นไปจนทั่วเช่นเดิม 

 

 

ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดแล้วยกเว้นคามิลล์… 

 

 

คามิลล์หายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวอีกครั้งแล้ว 

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจก็คือก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งกลับมาที่นี่ ดูเหมือนว่าคามิลล์จะพึมพำอะไรบางอย่าง แบบนี้แสดงว่าคามิลล์เป็นคนส่งพวกเขากลับมาหรือ คามิลล์เป็นใครกันแน่จึงสามารถเปิดประตูมิติส่งพวกเขาจากโลกเทพเจ้ากลับมาโลกอสูรได้ 

 

 

“ยินดีด้วย ภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว” จู่ๆ เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูของทุกคน 

 

 

“มีรางวัลหรือ? ”ชีอ้าวชวางถามหยอกล้อ 

 

 

“เหอะๆ” แต่เสียงนั้นกลับหัวเราะ“จะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงตามความสามารถที่เราจะทำได้” 

 

 

“โอ้ ไม่เลว” ชีอ้าวชวางเหลือบมองและพยักหน้า 

 

 

“ไป๋ตี้ เฮยหยู่ ไปเถอะ ไปที่ที่พวกเจ้าควรไป ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้ากับนางควรจะจบลงตรงนี้ได้แล้ว” เสียงนั้นพูดประโยคที่แปลกประหลาดนี้ออกมา 

 

 

ในเวลาต่อมาไป๋ตี้เฮยหยู่และชีอ้าวชวางก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ในตอนนี้พันธะระหว่างพวกเขาทั้งสามคนหายไปแล้ว! 

 

 

“ข้าควรเรียกเจ้าว่าเหลิ่งหลิงยวิ๋นหรือราชาอสูร?” ในน้ำเสียงนั้นมีความหยอกล้ออยู่ 

 

 

“ตอนนี้ข้าคือเหลิ่งหลิงยวิ๋น ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านี้”เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเสียงต่ำ 

 

 

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตัวตนที่แท้จริงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นคือราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกอสูรงั้นหรือ 

 

 

สีหน้าของไป๋ตี้และเฮยหยู่ก็ยิ่งตกใจ ทั้งคู่มองไปที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นชายผมสีเงินดวงตาสีม่วงคนนี้คือราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเคยทำงานด้วยงั้นหรือ 

 

 

นี่? คนคนนี้เหมือนกับคนที่พวกเขารู้จักที่ไหนกัน! 

 

 

“เจ้า เจ้า เจ้าเป็น…” เฮยหยู่รู้สึกว่าในหัวของเขามันว้าวุ่นไปหมด 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มเล็กน้อยและพูดเบาๆ “ข้าบอกว่าตอนนี้ข้าคือเหลิ่งหลิงยวิ๋น” 

 

 

“ตกลง เหลิ่งหลิงยวิ๋น รางวัลของเจ้าจะเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าต้องการได้ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องในโลกอสูร” เสียงนั้นพูด 

 

 

“ขอบคุณมากๆ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นคือความโล่งใจ 

 

 

ไป๋ตี้เงียบและมองใบหน้าที่สงบของเหลิ่งหลิงยวิ๋น 

 

 

เฮยหยู่อึ้งอยู่ เขาไม่อยากจะเชื่อข้อเท็จจริงนี้เลย 

 

 

“ไป๋ตี้ เฮยหยู่ รางวัลของพวกเจ้าก็คือการได้เป็นราชาอสูรผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกอสูร ไปได้แล้ว” ในเวลานี้เสียงทรงพลังก็พูดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาพูดประโยคนั้นออกไปเสียงดัง จากนั้นลมกระโชกก็พัดร่างของไป๋ตี้และเฮยหยู่หายไปจากตรงนั้น 

 

 

เสียงโวยวายอย่างโกรธเกรี้ยวของเฮยหยู่ดังแว่วมาในสายลม “ผู้ทรงพลัง ข้า)&*^*%&$^%ท่าน! นี่มันเป็นรางวัลห่วยๆ แบบไหนกัน อ๊ากกกก…” 

 

 

จากนั้นเสียงก็เงียบไป บริเวณโดยรอบจึงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ 

 

 

“เจ้าก็ไปเถอะ จะต้องมีใครสักคนที่คอยสร้างสมดุลระหว่างไป๋ตี้และเฮยหยู่ หากมีเจ้าอยู่ พวกเขาจะเป็นราชาอสูรที่ดียิ่งขึ้นไปอีก” เหลิ่งหลิงยวิ๋นหันกลับมาพูดอย่างอ่อนน้อมกับชายชุดเทาที่ติดตามเขามา 

 

 

“ถ้านี่เป็นความปรารถนาของนายท่าน ข้าก็จะทำตามที่ท่านบอก” ชายชุดสีเทาพูดเบาๆ จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นควันสีฟ้าและหายตัวไป 

 

 

“เช่นนั้น แขกสองท่านจากเผ่าปีศาจ มีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่?” เสียงทรงพลังพูดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ไม่จำเป็นหรอก” นายน้อยตะคอกอย่างเหยียดหยาม 

 

 

แต่ในเวลานี้เฟิงอี้เซวียนกลับมีการเคลื่อนไหว เขาหันไปช้าๆ และค่อยๆ เดินไปหาชีอ้าวชวาง 

 

 

ชีอ้าวชวางตกตะลึง นางมองเฟิงอี้เซวียนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความงุนงง นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงอี้เซวียนมองนางตรงๆ หลังจากแยกกันไปครั้งนั้น! 

 

 

เฟิงอี้เซวียนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของชีอ้าวชวางโดยไม่พูดอะไรอยู่เป็นเวลานาน เขาทำเพียงแค่จ้องมองนางอย่างลึกซึ้งแต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้าความรักความผูกพันและความไม่เต็มใจอยู่ลึกๆ 

 

 

“อี้เซวียน…” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ 

 

 

“อ้าวชวาง!” เฟิงอี้เซวียนเรียกเสียงต่ำจากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปแล้วกอดชีอ้าวชวางไว้ในอ้อมแขนของเขา 

 

 

ชีอ้าวชวางตะลึง 

 

 

เฟิงอี้เซวียนกำลังทำอะไร? เขา…เขากอดนางจนแน่นเลย 

 

 

มันเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นและเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยจริงๆ 

 

 

ครั้งแล้วครั้งเล่า ในทุกครั้งที่นางอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดและทำอะไรไม่ถูกเขาก็มักจะปรากฏตัวมาได้ทันเวลาพอดีเสมอ 

 

 

เขามักจะกอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่นเช่นนี้เสมอ 

 

 

“อ้าวชวางข้า ข้ารักเจ้า…” เสียงต่ำของเฟิงอี้เซวียนพูดชัดเจนข้างหูของชีอ้าวชวาง 

 

 

สายตาของนายน้อยเบิกกว้าง อ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นแล้วมองคนสองคนที่ยังไม่ขยับไปไหน 

 

 

ท่าทางของเหลิ่งหลิงยวิ๋นนั้นซับซ้อนมาก ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาปวดใจ 

 

 

เขาอยากจะเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน 

 

 

“อี้เซวียน อี้เซวียน?” ชีอ้าวชวางคิดจะผละออกจากอ้อมกอดของเฟิงอี้เซวียนเพื่อจะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เฟิงอี้เซวียนกลับยิ่งกอดนางแน่นขึ้นอีก 

 

 

“อย่าขยับ อ้าวชวางได้โปรดอย่าขยับ ให้ข้าได้กอดเจ้าสักพัก แค่อีกสักพัก…” เสียงของเฟิงอี้เซวียนทุ้มต่ำแต่เจือด้วยความเว้าวอนและความเสียใจอย่างสุดซึ้ง 

 

 

ชีอ้าวชวางไม่ขยับอีก นางปล่อยให้เฟิงอี้เซวียนกอดนางไว้แน่นอยู่อย่างนั้น 

 

 

“ข้าเคยบอกว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจ ข้าจะยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อเจ้า ส่วนข้า ข้าเป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมอบความสุขให้กับเจ้า” เสียงต่ำของเฟิงอี้เซวียนดังก้องในหูของชีอ้าวชวางราวกับห้วงฝัน 

 

 

ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้นางมีความสุข? หมายถึงอะไร? พูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? 

 

 

จากนั้นความวิตกกังวลก็เกิดขึ้นในใจของชีอ้าวชวาง 

 

 

ทำไมถึงรู้สึกว่าเฟิงอี้เซวียนที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะหายไปเลย ราวกับว่าจะไม่สามารถรู้สึกถึงเขาได้อีกต่อไปแล้ว 

 

 

“เจ้าต้องมีความสุข”เฟิงอี้เซวียนค่อยๆ คลายอ้อมกอดจากชีอ้าวชวางเขามองชีอ้าวชวางอย่างลึกซึ้งและยกมือขึ้นลูบใบหน้าของชีอ้าวชวางเบาๆ 

 

 

ผ่านไปสักพักเฟิงอี้เซวียนก็ยิ้ม“อ้าวชวางการที่ข้าได้พบเจ้าในชีวิตนี้ มันช่างดีเหลือเกิน…” 

 

 

หลังจากพูดจบเฟิงอี้เซวียนก็หายตัวไป… 

 

 

เขาหายไปต่อหน้าต่อตาของชีอ้าวชวางทั้งแบบนั้น! 

 

 

ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่อยู่แล้ว! 

 

 

เฟิงอี้เซวียนหายตัวไปแล้วนายน้อยก็หายไปเช่นกัน! 

 

 

จิตใจของชีอ้าวชวางว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง นางมองไปด้านหน้าอย่างเคว้งคว้าง 

 

 

‘อ้าวชวาง การที่ข้าได้พบเจ้าในชีวิตนี้ มันช่างดีเหลือเกิน…’ 

 

 

‘การได้พบเจ้า มันช่างดีเหลือเกิน…’ 

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นตะลึงและมองเรื่องกะทันหันที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก 

 

 

“อี้เซวียน…” ชีอ้าวชวางพึมพำ 

 

 

หัวใจของนางช่างว่างเปล่า มันว่างเปล่าเหลือเกิน… 

 

 

รอบข้างก็เงียบไปหมดจนได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเอง 

 

 

“อี้เซวียน! อี้เซวียน? อี้เซวียน!” ทันใดนั้นหัวใจของชีอ้าวชวางก็ร้อนรน ในที่สุดนางก็เรียกสติคืนมาได้ เฟิงอี้เซวียนไปแล้ว! เฟิงอี้เซวียนจากไปแล้ว! ไม่! เขาหายไปแบบนี้ได้อย่างไร หายตัวไปหลังจากที่พูดแบบนั้นกับนางได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาจะใช้ตัวตนในโลกปีศาจมายุติสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อนางงั้นหรือเขาจะทำอะไรโง่ๆ งั้นหรือ 

 

 

“ไม่นะ! อี้เซวียน กลับมานะ กลับมาคุยกับข้าให้ชัดเจนก่อน! อี้เซวียน!” ชีอ้าวชวางกำมือแน่นและตะโกนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความวิตกกังวลในใจก็ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

“อ้าวชวางใจเย็นก่อน” เหลิ่งหลิงยวิ๋นรีบก้าวเข้าไปพยุงชีอ้าวชวางที่กำลังร้อนรน 

 

 

“ชีอ้าวชวาง เจ้าไม่ต้องตะโกนแล้ว เขากลับไปที่โลกปีศาจแล้ว เขากลับไปเตรียมเข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของราชาปีศาจ” เสียงทรงพลังพูดออกมาอย่างนั้น 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร” ชีอ้าวชวางตะโกนไปในอากาศ 

 

 

“หมายความว่าอย่างไร ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้ดีนะ ไม่ใช่หรือ” เสียงทรงพลังนั้นเจือไว้ด้วยความขมขื่นเล็กน้อย “เขาเป็นปีศาจแต่กลับมาที่นี่เพื่อยุติสงครามศักดิ์สิทธิ์ เขาทำเพื่อใครเจ้าไม่รู้หรือ?” 

 

 

หัวใจของชีอ้าวชวางสั่นไหวอย่างรุนแรง จริงๆ ด้วย เป็นตามที่คาดไว้เลย! 

 

 

เฟิงอี้เซวียนมายุติสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อนาง และสิ่งที่ต้องแลกไปก็คือตัวเขาเอง? 

 

 

“สิ่งต่างๆ อาจซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด แต่สงครามศักดิ์สิทธิ์จบลงแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” เสียงทรงพลังกลับมาเป็นปกติและพูดต่อ “พูดมาสิ เจ้าต้องการรางวัลอะไร หากอยู่ในขอบเขตความสามารถของเรา ข้าก็จะทำให้” 

 

 

ชีอ้าวชวางราวกับไม่ได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาของนางว่างเปล่าและมีเพียงความคิดเดียวอยู่ในใจ 

 

 

นั่นก็คือเฟิงอี้เซวียนจากนางไปแบบนี้ เขาทำเรื่องที่เขาไม่อยากทำเพื่อนาง เขาเอาตัวเข้าแลกเพื่อนางแล้วยุติการเกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์ในโลกปีศาจ 

 

 

พิธีราชาภิเษกราชาปีศาจ? 

 

 

เขายุติสงครามศักดิ์สิทธิ์โดยแลกกับการต้องแยกจากนางแล้วรับตำแหน่งราชาปีศาจงั้นหรือ? 

 

 

“อ้าวชวาง…” เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองชีอ้าวชวางที่ดูเหมือนจะสูญเสียจิตวิญญาณไป สายตาของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจและพูดออกมา “ในเมื่อปล่อยเขาไปไม่ได้ ทำไมไม่ไปหาเขาล่ะ” 

 

 

“อะไรนะ” พอชีอ้าวชวางได้ยินคำพูดของเหลิ่งหลิงยวิ๋นในที่สุดสายตาของนางก็ค่อยๆ กลับมาจดจ่ออีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างกังวล 

 

 

“แม้ว่าข้าจะอยากให้เขาหายไปจากสายตาของเจ้า แต่ข้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” เหลิ่งหลิงยวิ๋นถอนหายใจเบาๆ “ข้าเคยคิดว่าข้าเป็นคนที่ทำเพื่อเจ้ามากที่สุด แต่ข้าคิดผิดแล้ว” 

 

 

ชีอ้าวชวางรู้สึกสับสนและมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างว่างเปล่า 

 

 

“คือ…ที่จริงแล้ว เมื่อครู่ข้ามองออกว่าในสายตาของเจ้า เขาต่างแตกจากคนอื่น…” เหลิ่งหลิงยวิ๋นถอนหายใจเบาๆ 

 

 

ริมฝีปากของชีอ้าวชวางสั่นเล็กน้อย และมือของนางก็ค่อยๆ ทาบลงบนหน้าอก จากนั้นนางก็พูดอย่างสั่นสะท้าน “ข้า ข้าไม่รู้ แต่ข้าเข้าใจว่าข้าไม่อยากให้เขาจากข้าไปแบบนี้ ในใจของข้า ไม่มีใครมาแทนที่เขาได้…” 

 

 

“หยุด!” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขัดคำพูดของชีอ้าวชวางและพูดด้วยความปวดใจ “อ้าวชวาง เจ้าเป็นเช่นนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับข้าเลย!” 

 

 

“อะไร” ชีอ้าวชวางถาม 

 

 

“เขาทำอะไรให้เจ้าได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน เขาทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็จากไป แต่เจ้าไม่ให้โอกาสข้าเลย เจ้าคิดว่ามันยุติธรรมกับข้าหรือ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยิ้มผ่อนคลายเท่าที่จะทำได้เพียงแต่สายตากลับไม่มีรอยยิ้มอยู่ในนั้นเลย มันขมขื่นไปหมด