บทที่ 253: การพบกันอีกครั้ง
อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1?
อาจจะเป็นอุปกรณ์ หรือไม่ก็กลยุทธ์ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากให้โรเอลเลือกคำตอบเดียวจากหลาย ๆ คำตอบ สำหรับเขาก็คงจะเป็น ‘คุณลักษณะ’
ในทวีปเซีย แนวคิดเรื่องคุณลักษณะไม่ใช่อะไรพื้นฐาน เหมือนน้ำชนะไฟ และสายฟ้าชนะน้ำ มันซับซ้อนกว่านั้นมาก ไม่ได้เหมือนกับเกมที่มีระบบการต่อสู้ที่เข้าใจได้ง่าย ๆ คาถาเวทของผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นมีหลากหลายรูปแบบ และสภาพร่างกายของพวกเขายังได้รับการปรับปรุงตามระดับการซึมซับพลังเวท การต่อสู้ในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงการยิงลูกไฟ หรือโจมตีด้วยคลื่น มันมีพลังมากกว่านั้นมาก
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นสามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอาวุธในการต่อสู้ได้ แม้แต่สายที่ดูขี้เกียจอย่างผู้เชิดหุ่น ก็ยังมีความแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเสือด้วยมือเปล่าได้ แนวความคิดทั่วไปเกี่ยวกับความได้เปรียบทางคุณลักษณะธาตุในอดีตชาติของโรเอลจึงมีผลเพียงเล็กน้อยในการต่อสู้จริงเท่านั้น
แต่สิ่งที่โรเอลกล่าวถึงในที่นี้คือคุณลักษณะทางตำแหน่งชัยภูมิในการต่อสู้ ดังที่กำลังเกิดขึ้นในการต่อสู้ปัจจุบัน
ตูม!
เสียงก้องกังวานดังก้องไปทั่วป่า โครงกระดูกขนาดใหญ่ชนเข้ากับหอก เกิดลมหมุนวนอันทรงพลังรอบตัวพวกเขา ใบไม้และกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นปลิวไปในอากาศ และก่อนที่พวกมันจะตกลงสู่พื้น คลื่นกระแทกอีกระลอกก็ดันพวกมันให้สูงขึ้นไปอีก
โรเอลกำลังยืนอยู่บนพื้น กำลังต่อสู้กับศัตรูในชุดสวมเกราะครอบคลุมทั้งตัว จากการแต่งตัวและเสื้อผ้าของเขา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอัศวินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
【ร็อดริค ออสเบน】
โรเอลสามารถเห็นชื่อของอดีตผู้ถือแหวนแห่งสถาบันเซนต์เฟรย่าได้ผ่านคาถาของเขา ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างเด็กหนุ่ม ที่ศัตรูของเขาเป็นร่างจำแลงผู้พิทักษ์แห่งแหวนที่เน้นความแข็งแกร่งเป็นหลัก ซึ่งโรเอลก็ได้เจอศัตรูประเภทนี้มามากมายจนเชี่ยวชาญในการจัดการกับศัตรูที่เน้นการโจมตีทางกายภาพแล้ว
การปะทะกันอย่างรุนแรงของทั้งสองทำให้ป่าสั่นสะเทือน หินบนพื้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โครงกระดูกยักษ์และอัศวินได้แลกเปลี่ยนหมัดกันหลายสิบครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดที่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
แน่นอนว่าหลังจากสังเกตอีกฝ่ายอย่างรอบคอบแล้ว โรเอลก็สามารถประเมินความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่ายได้คร่าว ๆ
หากมองในแง่ของความแข็งแกร่งแล้ว ผู้พิทักษ์แห่งแหวนคนนี้อยู่ที่ระดับแก่นแท้ 3 อย่างไรก็ตาม ความสามารถโดยรวมของเขานั้นต่ำกว่าระดับแก่นแท้ 3 จริง ๆ ไปมาก เนื่องจากขาดซึ่งสติปัญญา
การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงวัด ‘พลังการต่อสู้’ เพียงเท่านั้น หากให้เทียบ คาถาเวทก็คือปืน ในขณะที่พลังเวทคือกระสุน ข้อมูลจำเพาะของปืนและกระสุนมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือความสามารถและไหวพริบในการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่มีความสามารถในการวางแผนและไหวพริบ ต่อให้มีเครื่องมือที่ทรงพลังเพียงใดก็เปล่าประโยชน์
ทันใดนั้นอัศวินก็ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าตนเองไม่สามารถบุกทะลวงไปตรง ๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงชี้หอกไปที่โรเอล และเริ่มร่ายคาถาเวททำลายล้าง
ดวงตาสีทองของโรเอลหรี่ลง พร้อมกับสีหน้าที่ดูซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
“ผู้ที่ไปถึงตำแหน่งผู้ถือแหวนได้ ช่างมีความพิเศษเป็นของตัวเองจริง ๆ ”
โรเอลพึมพำกับตัวเอง
“นี่เริ่มจะน่าสนใจขึ้นมานิดนึงแล้วสิ”
กรันด้าเองก็เห็นด้วยกับความคิดของเด็กหนุ่มและยอมรับในความแข็งแกร่งของศัตรูเช่นกัน
อัศวินเกราะหนาตรงหน้าโรเอลทำให้เขารู้สึกย้อนแย้งในใจพิกล
ทั้ง ๆ ที่เขาแต่งตัวเหมือนกระป๋อง แต่แท้จริงแล้วกลายเป็นจอมเวททำลายล้างกระหายเลือดเนี่ยนะ?
แม้โรเอลจะไม่ได้มีข้อมูลเพียงพอที่จะประเมินภูมิหลังและตัวตนของร็อดริค แต่เขาสามารถเข้าใจบุคลิกของอีกฝ่ายได้คร่าว ๆ จากการต่อสู้
อัศวินคนนี้เป็นคนที่เจ้าเล่ห์พอสมควรเลยทีเดียว
ร่างกายขนาดใหญ่ในชุดเกราะหนักและสัตว์คู่กาย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอุบายของเขา
วิธีที่ดีที่สุดในการสังเกตว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ มีทักษะเน้นไปที่การร่ายคาถาหรือการใช้ความสามารถทางกายภาพ คือความเร็วของการรีดเร้นพลังเวทในการร่ายคาถาเวทอันทรงพลัง ความเชี่ยวชาญในการใช้พลังเวทของร็อดริค บ่งบอกให้เห็นถึงการฝึกฝนมาเป็นเวลายาวนานหลายปีเบื้องหลังมัน ซึ่งอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมากกว่าของโรเอลหลายขุม
ตัวตนที่แท้จริงของอัศวินคนนี้ น่าจะเป็นจอมเวทจากภาคีแห่งพลังงาน
ภาคีแห่งพลังงาน เป็นหนึ่งในภาคีแห่งปัญญาที่เก่าแก่ที่สุด พวกเขาเชี่ยวชาญในการวิจัยพลังการทำลายของคาถาเวท เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพพลังทำลายของคาถาเวท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาชอบผลิตคาถาเวทที่เป็นเหมือนปืนใหญ่ใช้แล้วทิ้ง
สูตรของพวกเขาสามารถถูกทำให้ง่ายขึ้น โดยมีหลักการดังนี้: รวบรวมพลังเวทแล้วระเบิดมันออกไป ยิ่งคาถาซับซ้อนน้อยลงเท่าไหร่ การสูญเสียพลังงานในการร่ายก็น้อยลงเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่คาถาของพวกเขาจะมีผลรุนแรงพอที่จะระเบิดศัตรูให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ แต่ถ้าไม่สำเร็จก็หมายความว่าผู้ร่ายใช้พลังเวทยังไม่เพียงพอ
แน่นอน ภาคีแห่งพลังงานมักจะมีคาถาเวทลับบางอย่างที่ทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามได้ เช่นคาถาเวทอันเลื่องชื่อ ‘การกักเก็บพลังเวท’ ซึ่งเป็นไพ่ตายอันทรงพลังที่ช่วยให้ใครคนหนึ่งปล่อยพลังเวทที่กักเก็บไว้อย่างรุนแรงออกมาท่ามกลางการต่อสู้
“ความสามารถทางกายภาพของเขา เป็นผลจากพลังทางสายเลือดสินะ?”
“ใช่ เขาเป็นผู้ครอบครองพลังสายเลือดที่สามารถเสริมสมรรถภาพร่างกายได้ และค่อนข้างจะทรงพลังมากเลยทีเดียว”
กรันด้าประเมิน
ลำแสงทำลายล้างก็ระเบิดออกมา พุ่งออกไปด้านนอกหลายร้อยเมตรในชั่วพริบตา สร้างคลื่นเสียงที่ดังจนหูอื้อ ทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่รอบ ๆ โรเอล และป่าที่อยู่ข้างหลังเขา
หลังจากแสงอันเจิดจ้าที่เกิดจากการระเบิดลับตาหายไป อัศวินที่ยืนนิ่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด แสงสีทองส่องประกายขึ้นมาอย่างเด่นชัดในทิวทัศน์กลางคืนอันไร้ดวงดาว พุ่งทะยานไปทางร็อดริค ในแนวทแยงมุม
เมื่อมองเข้าไปใกล้ ๆ มันคือร่างของเด็กหนุ่มผมสีดำที่มีปีกสว่างคู่หนึ่ง นี่คือผลของของขวัญจากทูตสวรรค์ หนึ่งในความสามารถที่โรเอลได้รับจากเอสเซนด์วิง นอกเหนือจากการที่มันสามารถช่วยลบล้างผลการฟื้นคืนชีพของอันเดธที่เป็นผลข้างเคียงจากการเรียกกรันด้าออกมาได้แล้วนั้น มันยังทำให้โรเอลสามารถบินได้อีกด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยได้ใช้มันมากเท่าไหร่นักก็ตามที
ระหว่างที่โรเอลพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า อุณหภูมิโดยรอบก็ลดลงไปเรื่อย ๆ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวเล็กน้อย เขาจึงลดความเร็วลงแล้วมองลงไปที่พื้น จากตรงนี้ร่างของร็อดริค นั้นไม่ต่างอะไรไปจากจุดเล็ก ๆ
รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของโรเอล ทันใดนั้นปีกแสงสีทองก็สลายหายไป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มไปสู่ดาวตกสีแดงแห่งความตาย
“เป็นจังหวะที่ดีจริง ๆ ฉันอยากจะทำแบบนี้มานานแล้ว”
โรเอลพึมพำพลางหัวเราะเบา ๆ
ทันทีที่ร่างกายของเด็กหนุ่มเริ่มตกลงไปตามแรงโน้มถ่วง พลังเวทสีแดงเข้มก็เริ่มปรากฏเป็นร่างของเทพปีศาจขนาดมหึมาแห่งความหายนะ เขาได้ยินเสียงอันน่าสยดสยองที่เกิดจากแรงลมปะทะกับร่างของโครงกระดูกยักษ์ที่ร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็วราวกับอุกกาบาต
ภายใต้เงามืดมหึมาของความตาย ร็อดริคเริ่มใช้มาตรการตอบโต้ศัตรู เขายกหอกขึ้นเหนือฟ้า ยิงลำแสงทำลายล้างออกไปอีกครั้ง ทว่าคาถาเวทระดับนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับโรเอลในตอนนี้เลย
กำปั้นของโครงกระดูกที่พุ่งลงมาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วในสายตาของร็อดริค ทันทีที่มันพุ่งลงมากระทบกับพื้น พลังทำลายล้างก็ฟาดลงมาใส่เขาด้วยแรงอันน่าสะพรึงกลัว
โบราณสถานทั้งหมดสั่นสะเทือนภายใต้แรงหมัดอุกกาบาตของกรันด้า เศษดิน เศษหิน เศษไม้ และสิ่งของต่าง ๆ ในป่าถูกระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า การระเบิดอันน่าสยดสยองและแสงจ้าทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตในบริเวณโดยรอบกระจัดกระจายออกไป
ด้วยการโจมตีอันทรงพลังนี้ ร่างจำแลงของร็อดริค ก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ในที่สุด
ต้องใช้เวลาสักครู่ใหญ่ ๆ กว่าฝุ่นจะเริ่มจางลง โรเอลเดินไปที่ใจกลางหลุมขนาดใหญ่บนพื้น ซึ่งเป็นจุดที่ร่างของอัศวินน่าจะนอนอยู่ ตรงนั้นมีแหวนสีน้ำเงินซีดวางอยู่ท่ามกลางฝุ่นผงที่ลุกไหม้ด้วยเพลิงสีแดง
“นี่คือแหวนกุหลาบงั้นเหรอ?”
โรเอลหยิบแหวนที่เป็นดั่งตัวแทนของเกียรติยศและพลังอำนาจขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หัวใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
ทว่าขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเฉลิมฉลองให้กับอนาคตในสถาบันการศึกษาอันยอดเยี่ยมของตน จู่ ๆ เขาก็ต้องสับสน ด้วยที่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎของเขา กำลังสั่นพ้องกับอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นเองทิวทัศน์โดยรอบก็ดับวูบไปราวกับแสงเทียนที่ถูกลมพัด ทุกอย่างเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาของโรเอลโดยที่เขาไม่ทันจะได้ตั้งตัว
บ้าจริง คิดไว้แล้วว่าโชคร้ายต้องตามเรามาทัน
โรเอลถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขวดไม้ที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้แตะต้องมัน ร่างเขาก็ตัวแข็งทื่อในทันที
“เดี๋ยวก่อนนะ นี่มัน…”
ร่างอันพร่ามัวปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอก แม้จะยังไม่สามารถเห็นภาพเงาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แต่เพียงแค่ชื่อสีแดงที่ส่องแสงเหนือศีรษะก็ทำให้โรเอลสามารถระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้
【 โร แอสคาร์ด 】