บทที่ 254: ฉันไม่สามารถจากไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการอีกต่อไป

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 254: ฉันไม่สามารถจากไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการอีกต่อไป

โรเอลจ้องไปยังชื่อสีแดงเลือดที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวเขา แม้เด็กหนุ่มจะมองไม่เห็นร่างของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เนื่องจากการปกปิดของหมอกที่หนาแน่น แต่แค่ชื่อก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

โร แอสคาร์ด

นี่เป็นชื่อที่ยากจะลืมเลือนสำหรับตระกูลแอสคาร์ด เพราะเขาเป็นดั่งตัวแทนแห่งความเจริญรุ่งเรือง

แน่นอนว่าตระกูลแอสคาร์ดเองก็เจริญรุ่งเรืองในยุคของวินสเตอร์ด้วยเช่นกัน แต่ยุคสมัยของเขานั้นเก่าแก่เกินไปจนแทบจะไม่มีบันทึกไว้ ดังนั้นสมาชิกของตระกูลแอสคาร์ดจึงมักจะเชื่อมโยงยุคทองของตระกูลกับโร แอสคาร์ดแทน

โรเอลนั้นเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเรื่องราวการผจญภัยของโร นั่นจึงทำให้เขารู้ดีว่าบรรพบุรุษของเขาเคยศึกษาอยู่ที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเช่นกัน เพียงแต่ว่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวที่เขาเผชิญในสถาบันการศึกษานั้นไม่ได้มีอยู่ในบันทึก ดังนั้นโรเอลจึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโรในวัยเรียนมากเท่าไหร่

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตนมีโอกาสที่จะพบกับโร แอสคาร์ดใน ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ แต่เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง ๆ เพราะความเป็นไปได้ที่มันจะเกิดขึ้นนั้นต่ำเกินไป

เป็นเวลากว่าเก้าร้อยปีแล้วนับตั้งแต่การก่อตั้งสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ทำให้จำนวนผู้ถือแหวนทั้งหมดตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์ น่าจะมีมากกว่าหนึ่งพันคน โอกาสที่จะพบกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่สนใจนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งโรเอลก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโร แอสคาร์ด เป็นผู้ถือแหวนรึเปล่า

ความคิดของโรเอลนั้นไม่ผิดในแง่ที่ว่าเขาคงจะไม่ได้พบกับโร ในสถานการณ์ปกติ เพราะก่อนหน้านี้ผู้ถือแหวนในอดีตที่เขาพบก็คือร็อดริค เห็นได้ชัดเลยว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ไม่ธรรมดาแน่

ตามหลัก ทันทีที่ชนะผู้พิทักษ์แหวน โรเอลก็น่าจะได้กลับสู่โลกความเป็นจริงภายนอก ทว่าตอนนี้เขากลับถูกพามาที่เนินหญ้าอันกว้างใหญ่แทน

ระวังไว้ด้วยล่ะ โรเอล ไม่นานมานี้มีการสั่นพ้องแปลก ๆ เกิดขึ้นภายในโบราณสถาน

จู่ ๆ คำพูดของคริสก็ดังก้องขึ้นมาในใจของโรเอล เตือนให้เขาระมัดระวังตัว ความปลอดภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ คือความสามารถในการชดเชยอาการบาดเจ็บและป้องกันการเสียชีวิต แต่ตอนนี้ความสามารถนั้นยังสามารถพึ่งพาได้อีกงั้นเหรอ? ในเมื่อโบราณสถานกำลังถูกรบกวนด้วยพลังเวทที่กำลังสั่นพ้องเต้นระรัวในตอนนี้?

โรเอลไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น แต่เขาก็ไม่มีเจตนาที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ เด็กหนุ่มจ้องไปที่ชื่อสีแดงเลือด ซึ่งแผ่จิตสังหารมุ่งตรงมาที่เขา ก่อนจะเริ่มใช้พลังเวทเตรียมปัดป้องการโจมตีที่อาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกัน กรันด้าและเปตราเองก็เริ่มเคลื่อนไหว เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงความอันตรายในสภาพแวดล้อมนี้

“ความรู้สึกนี้… เขาเองก็มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎด้วยเหมือนกัน!”

“โรเอล เร็วเข้า รีบตามข้ามา!”

เสียงอันแหบแห้งดังขึ้นมาก่อน ตามด้วยเสียงของหญิงสาวผู้กำลังกระวนกระวายใจ ร่างอันใหญ่โตของกรันด้า ปรากฏขึ้นต่อหน้าโรเอลในทันที ตามด้วยร่างของงูขนาดมหึมาที่ทำจากหิน ม้วนร่างขึ้นมาปกป้องโรเอล อย่างรวดเร็ว เทพเจ้าโบราณทั้งสองมองดูภัยคุกคามที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นหมอกที่ปกปิดร่างของโร แอสคาร์ด ก็เริ่มสลายไปในที่สุด

เด็กหนุ่มร่างผอมเพรียวปรากฏตัวขึ้น เขาสวมชุดขุนนางที่ดูเป็นทางการและรองเท้าบูทที่มีการออกแบบประมาณไม่กี่ศตวรรษก่อน มีตราสัญลักษณ์มากมายหลายอันที่แสดงถึงเกียรติยศติดอยู่ที่หน้าอก เสื้อคลุมยาวสีดำปลิวไสวไปพร้อมกับผมสีดำสนิท นัยน์ตาสีทองเปล่งประกายราวกับดวงดาว ทำให้เขาดูสง่างามซึ่งขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอ

สวยอะไรอย่างนี้

นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นในใจของโรเอล เมื่อเขาได้เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นครั้งแรก

กลิ่นอันตรายที่แผ่มาจากโร แอสคาร์ด นั้นตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ที่ละเอียดอ่อนของเขา มันทำให้เกิดอารมณ์ที่มีพลังและเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้กับนอร่าและคนอื่น ๆ ที่โรเอลเคยเจอมา

นี่คือร่างจำแลงของโร แอสคาร์ด ในสมัยที่เขาเข้าท้าทาย ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ เห็นได้ชัดจากสัญลักษณ์ ‘หนังสือแห่งความจริง’ ที่ติดอยู่บนหน้าอกและการที่เขาไม่มีอาวุธอยู่ในมือ นี่ถือเป็นเรื่องดีที่ได้รู้ว่าโร แอสคาร์ดไม่มีอาวุธ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่น่าจะส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้ของเขามากเท่าไหร่ ด้วยที่เขามีพลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด

โรเอลจ้องไปที่ภาพเงาตรงหน้าพร้อมกับความคิดมากมายที่แล่นเข้ามาในหัว ซึ่งก็ดูเหมือนว่าโรจะสังเกตเห็นการจ้องมองของเด็กหนุ่ม เขาจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาอีกฝ่าย

ทันทีที่ดวงตาสีทองทั้งสองสบตากัน รูม่านตาของโรเอลก็หดตัวเล็กน้อย ก่อนที่บรรยากาศอันลึกลับจะเริ่มโอบล้อมร่างของเขา ทำให้เปตราตะโกนออกมาด้วยความกังวล

“ไม่ อย่ามองเข้าไปในดวงตาของเขา!”

เทพธิดาแห่งปฐพีตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังสายเกินไป วินาทีที่โรเอลสบตาของโร จิตสำนึกของเขาก็เริ่มล่องลอยออกจากร่าง ทำให้เขาอยู่ในสภาพมึนงง การเคลื่อนไหวและการแสดงออกหยุดนิ่งไปในทันที พลังเวทที่กำลังไหลเวียนอยู่เริ่มช้าลงจนหยุดนิ่ง ทำให้แสงที่ปกคลุมร่างของเด็กหนุ่มจางหายไป

โรเอลไม่ได้ยินเสียงตะโกนของกรันด้าหรือเปตราอีกต่อไป เมื่อการไหลเวียนของพลังเวทถูกหยุดลง เทพโบราณทั้งสองก็ไม่สามารถรักษาร่างของตนได้อีก และเริ่มสลายหายไป ทันทีที่สายลมพัดผ่านก็ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเด็กหนุ่มอีกแล้ว

โร แอสคาร์ด เริ่มเดินเข้าไปหาโรเอล ด้วยฝีเท้าอันเงียบสงบ

คาถาเวทลวงตาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในยุคโบราณ แต่ในตอนที่ตัวตนจากโบราณกาลสูญสิ้น คาถาอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้เองก็ค่อย ๆ จางหายไปสู่การลืมเลือน

ความน่าสะพรึงกลัวของคาถาเวทลวงตาอยู่ที่พลังที่มันซ่อนเร้นเอาไว้ และความยากลำบากในการปัดเป่า มันไม่ต่างอะไรไปจากคำสาปแห่งความตาย เมื่อใช้กับศัตรูในการต่อสู้ 1-1 เพราะมันจะทำให้ศัตรูไร้ความสามารถ เปิดช่องให้ถูกสังหารโดยไม่มีโอกาสขัดขืน

ระดับกำเนิดและสายเลือดไม่ได้มีความหมายอะไรก่อนคำสาปโบราณนี้ เพราะคาถามายาเป็นการวิปัสสนาในใจ ไม่ลำเอียงต่อเทพเจ้าที่สูงส่งและมนุษย์ที่ไร้อำนาจ

และตอนนี้ โรเอลก็หลับสนิทภายใต้ผลของเวทมนตร์ลวงตา

โรเอล พบว่าตัวเองกำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์ จ้องมองที่หน้าจอที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยความงุนงง

เก้าอี้นุ่มนี้ให้ความรู้สึกสบายอย่างไม่น่าเชื่อในการพักผ่อน และมีความหวานจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศซึ่งทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย จิตใจของเขาว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ชวนให้นึกถึงแท่ง USB ที่รอรับข้อมูลใหม่ ซึ่งในกรณีนี้ ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า

มันเล่าถึงเรื่องราวอันยาวนานแต่ชั่วคราวของเด็กหนุ่ม ตั้งแต่วินาทีที่เขาตระหนักถึงชะตากรรมของตัวเอง ไปจนถึงการไล่ตามผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย ศพที่กองเต็มถนนของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ เลือดสดที่ย้อมดาดฟ้าเรือให้เป็นสีแดง ภัยพิบัติร้ายแรงและศัตรูที่ไม่รู้จักมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด รวมถึงบททดสอบอันไม่มีที่สิ้นสุด ที่รอคอยอยู่ตรงหน้าเขา

โรเอลมองดูเด็กหนุ่มเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความคิดที่เริ่มผุดขึ้นมาโดยสัญชาตญาณในจิตใจ

นี่ยังไม่พออีกเหรอ? เราต้องฝึกหนักพยายามอีกนานแค่ไหนกัน? เราควรที่จะพักผ่อนได้แล้ว

ความคิดเหล่านั้นทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนล้าอย่างลึกซึ้งในหัวใจของเด็กหนุ่ม ทำให้ร่างกายของเขาหนักมากจนรู้สึกราวกับว่ามีคนทิ้งภูเขาไว้บนบ่า

นับตั้งแต่ที่โรเอลรู้ถึงชะตากรรมของตน ชีวิตของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลและงานยุ่งวุ่นวาย แม้ภายนอกเขาจะดูสงบเสงี่ยม แต่แท้จริงแล้วเด็กหนุ่มนั้นได้พยายามดิ้นรนด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ในขณะที่เพื่อน ๆ ของเขากำลังสนุกสนานกับวัยเด็ก เขาต้องพยายามอย่างบ้าคลั่งเพื่อพัฒนาพลังเหนือธรรมชาติของตนและเขตการปกครองแอสคาร์ด สร้างผู้ติดตามของตัวเอง

ซึ่งความพยายามของโรเอลก็ประสบผลสำเร็จ เขาสามารถเอาชนะวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้ตลอดการเดินทาง และหลีกเลี่ยงเดธแฟล็กจำนวนมากที่เขามีในฐานะตัวร้ายของเกม อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเด็กหนุ่มก็ตระหนักว่าการสิ้นสุดของวิกฤตการณ์ครั้งหนึ่งนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์อีกอย่างเสมอ

ก่อนที่จะรู้ตัว ความเหนื่อยล้าก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของโรเอล แม้เขาจะพยายามเพิกเฉยต่อมัน แต่อุปสรรคก็เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าเขาจะปีนขึ้นไปสูงและแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด มันไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ผิดพลาด และต้องทนทรมานกับความเหน็ดเหนื่อยตลอดกาล

นอกจากนี้ความพยายามของโรเอลมีความหมายจริง ๆ รึเปล่าก็ไม่รู้? เขาสามารถหลีกเลี่ยงการตายก่อนวัยอันควรได้จริง ๆ หรือ หากเขายังเดินต่อไปบนเส้นทางนี้?

การที่โรเอลไม่มีคำตอบสำหรับคำถามสองข้อนี้ ทำให้เขารู้ถึงข้อเท็จจริงอันโหดร้าย

กว่าพันปีที่ผ่านมา ไม่มีสมาชิกแม้แต่คนเดียวของตระกูลแอสคาร์ดที่สามารถปลุกพลังทางสายเลือดขึ้นมาได้แล้วมีชีวิตรอดจนอายุเกินสามสิบ

ไม่ว่าจะเป็นวิสเตอร์ ที่ระมัดระวังและพิถีพิถัน หรือโร ที่มีความสามารถและพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม พวกเขาล้วนไม่สามารถมีชีวิตอันสุขสมจนชราภาพได้ ราวกับว่ามีใครบางคนสาปแช่งลูกหลานของตระกูลแอสคาร์ดให้ตายก่อนวัยอันควร จับคอของพวกเขาไว้แน่นเพื่อดับลมหายใจ

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าการดิ้นรนทั้งหมดของเรา กลับนำเราไปสู่จุดหมายแห่งความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

โรเอลมีความรู้สึกนี้ผุดขึ้นมาในใจนับครั้งไม่ถ้วน

ทันทีที่ภาพยนตร์ตรงหน้าจบลง ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้รับการปลดปล่อยจากภาระทั้งหมด

มันเป็นความคิดที่อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด น่าแปลกที่แม้ว่าลึก ๆ โรเอลจะไม่เห็นด้วยกับมัน แต่ก็ยังนั่งดูต่อไปอย่างเงียบ ๆ ขณะที่ภาพยนตร์ตัดไปยังใบหน้าอันเหนื่อยล้าเผยให้เห็นดวงตาที่ว่างเปล่าของเขา

เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังจะจบลง ทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงแว่วเข้ามาในหูของเขา

“… พวกเขาลืมเกี่ยวกับครอบครัว อาณาจักรของพวกเขา และมนุษยชาติ ทันทีที่พวกเขาละสายตาจากความรับผิดชอบและยอมจำนนต่อความต้องการของตนเอง จุดจบเดียวที่พวกเขาจะเผชิญก็คือการสูญสิ้น”

มันเป็นเสียงของชายชราที่เหมือนจะมีพลังอันลึกลับบางอย่าง ทำลายความเฉยเมยบนใบหน้าของโรเอลให้หายไปจนปลิดทิ้ง

ครอบครัว ความรับผิดชอบ…

คำพูดเหล่านั้นสะท้อนอยู่ในความมืดมิด พร้อมกับระลอกคลื่นก็เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจอันสงบนิ่งของโรเอล ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปในภาพยนตร์ มันทำให้เขาจ้องไปที่หน้าจออย่างหนักเพื่อคิดให้ออกถึงสิ่งนั้น

มันคืออะไรกันแน่ที่ขาดหายไป…

โรเอลครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดเขาก็นึกออก

พ่อผู้เคร่งครัดในระเบียบวินัยแต่ยอมผ่อนปรนให้กับลูกชายจนเกินไป น้องสาวตัวน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดู ทูตสวรรค์ผู้สง่างามเมตตาแต่เจ้าปัญหา คู่หมั้นที่ทั้งใจดีและอ่อนโยนกล้าหาญ…

ผู้คนจำนวนมากค่อย ๆ เข้ามาเติมความคิดของโรเอลอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สั่นไหวด้วยความไม่แน่นอน

ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไปแล้ว โรเอลไม่ใช่ผู้ที่โดดเดี่ยวอยู่เพียงคนเดียวในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดอีกต่อไป ระหว่างที่เขาได้สั่นคลอนสายใยแห่งโชคชะตา เด็กหนุ่มก็ได้เข้าไปพัวพันกับผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคลี่คลายสายสัมพันธ์เหล่านั้นออก

“หึ เราคงต้องขอคำอนุญาตจากคนพวกนั้นก่อนสินะ ถ้าอยากจะหยุดพัก…”

ในที่สุดวิญญาณก็เริ่มกลับมาสู่ดวงตาของเด็กหนุ่มผมดำ

ขณะเดียวกัน ภายในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ชายชราผมหงอกที่ยืนอยู่ข้างขอบหน้าต่างพร้อมกับไม้เท้าในมือก็เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา แอนโตนิโอจ้องมองไปยังป่าที่ปกคลุมไปด้วยหมอกในขณะที่เขากล่าวอย่างลึกซึ้งกับเพื่อน ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“คืนนี้จะเป็นคืนที่ดอกกุหลาบบานสะพรั่งออกมา”

บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยหญ้า ในที่สุดโร แอสคาร์ด ก็เดินมาถึงตรงหน้าของโรเอล เขายกมืออันบอบบางของตนขึ้นเตรียมกรีดคอของโรเอลราวกับกริช ทว่าทันใดนั้นพลังเวทอันเย็นยะเยือกก็เริ่มปกคลุมร่างของโรเอล

ทันทีที่นิ้วของโร แอสคาร์ด สัมผัสกับผิวหนังของโรเอล พลังของน้ำแข็งอนันตกาลก็พุ่งออกมาราวกับคลื่นทะเลอันเชี่ยวกราด ซึมเข้าไปในมือของเขาอย่างรวดเร็วคืบคลานขึ้นไปข้างบน

“หืม?”

โร แอสคาร์ดเปล่งเสียงพึมพำอย่างสับสน ก่อนจะตระหนักได้ว่าดวงตาสีทองทื่อ ๆ เมื่อสักครู่นี้ ได้กลับมาเป็นประกายอีกครั้งและกำลังจ้องมองกลับมาที่เขา

และแล้วจิตสังหารอันเย็นยะเยือกของเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็ปะทะกันอย่างรุนแรง