บทที่ 255: เสียงคำรามของทวยเทพ

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 255: เสียงคำรามของทวยเทพ

โรเอลจ้องเข้าไปในดวงตาของบรรพบุรุษของตน คาถาเวทลวงตาอันร้ายแรงได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ทำให้ภาพลวงตาของโร แอสคาร์ด ไม่ได้ผลกับเขาอีก และตอนนี้มันก็ถึงเวลาชำระหนี้แล้ว

“สัมผัสแห่งธารน้ำแข็ง”

พลังเวทของโรเอลเริ่มพุ่งพล่านสร้างเสาน้ำแข็งขนาดมหึมาสูงขึ้นไปในอากาศ พลังชีวิตของเด็กหนุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นพลังเวทเพื่อจัดการกับภัยคุกคามตรงหน้า เพิ่มความสามารถเหนือธรรมชาติของเขาเป็นระดับแก่นแท้ 3

เมื่อโรเอลตระหนักว่าตนเองยังคงอยู่ในเนินเขาหลังจากหลุดออกมาจากคาถาเวทลวงตา เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าตนไม่ได้อยู่ใน ‘ค่ำคืนแห่งปีศาจ’ ที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นดินแดนอันเสี่ยงอันตรายที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามถึงชีวิตอย่างแท้จริง ทำให้เขาไม่คิดที่จะยั้งมืออีกต่อไป

ร่างขนาดใหญ่สองร่างก็ปรากฏตัวขึ้นภายใต้ผลจากพลังเวทของโรเอล โครงกระดูกยักษ์คำรามพุ่งเข้าชกศัตรูทันทีที่ปรากฏตัว พร้อม ๆ กับเทพธิดาแห่งผืนปฐพี

หมัดพุ่งลงมาจากฟากฟ้า พร้อมกับคาถาเวทเนตรศิลาต้องสาป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพลังเวทน้ำแข็งตามมาพร้อมจะแช่แข็งโรทั้งตัวหากเขาไม่ถอยห่างออกไป เห็นได้ชัดว่าโรอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ทว่าโรเอลก็ยังไม่ได้ลดความระมัดระวังของตนลง

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าผู้สืบทอดพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดไม่เคยต่อสู้เพียงลำพัง

วูบ!

แสงกว่าพันดวงพุ่งออกมาจากร่างของโร พร้อมเสียงกระหึ่มดังกึกก้อง ขจัดผลจากเนตรศิลาต้องสาปของเปตรา พลังเวทบริสุทธิ์อัดแน่นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เผยให้เห็นร่างสูงตระหง่านปรากฏออกมาพร้อมกับปีกแห่งแสง

การปรากฏตัวของศัตรูใหม่นี้ทำให้ใบหน้าของโรเอลเคร่งเครียด

ทูตสวรรค์

ต่างจากตระกูลเซไซต์ที่ได้รับมรดกจากสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ ตัวตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าโรเอลในตอนนี้คือทูตสวรรค์ตัวจริงที่รับใช้เทพธิดาเซียในยุคโบราณ

ทูตสวรรค์พุ่งตรงไปที่หมัดของกรันด้า เพื่อปัดป้องมัน

แต่ภัยอันตรายนั้นยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด ไม่นานนักหลังจากการปรากฎตัวของทูตสวรรค์ เสียงคำรามร้องโหยหวนของหมาป่าก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ

อวู้ววว!

ทันใดนั้น ร่างของหมาป่าตัวใหญ่ก็ปรากฏออกมา มันลอยอยู่ในอากาศเบาบางราวกับวิญญาณ แต่เมื่อเท้าของมันสัมผัสกับพื้น ร่างของมันก็ควบรวมเป็นสสาร พุ่งตรงไปหาเทพธิดาแห่งผืนปฐพีโดยไม่ลังเล

ด้านหลังหมาป่าปีศาจ เด็กหนุ่มผมยาวก็เริ่มร่ายคาถาเวทเพลิงเพื่อจัดการกับพลังเวทน้ำแข็งที่ล้อมรอบตัว

ส่งผลให้การต่อสู้สามคู่ที่แตกต่างกันได้เริ่มขึ้น เปลวไฟกับน้ำแข็ง งูกับหมาป่า และยักษ์กับทูตสวรรค์ พวกเขาต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดในดินแดนลึกลับแห่งนี้

ในขณะที่การต่อสู้อันดุเดือดที่ชี้วัดความเป็นความตายกำลังเกิดขึ้นในโบราณสถาน พื้นที่ด้านนอกโบราณสถานนั้นยังคงเงียบสงบตามปกติ

นักเรียนที่พ่ายแพ้บททดสอบถูกพาตัวออกมาจากป่าหมอกโดยวิญญานนำทางของพวกเขา บางคนมองไปที่วิญญานนำทางที่มีขนาดเล็กของตนด้วยความผิดหวัง ในขณะที่บางคนก็ยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นกับวิญญาณนำทางที่เปล่งประกายเจิดจ้า

ไม่ว่าผลลัพธ์ของพวกเขาจะสมบูรณ์แบบหรือไม่ การทดสอบของพวกเขาก็ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว และพวกเขามีอิสระที่จะออกจากพื้นที่หลังจากบันทึกผลลัพธ์โดยอาจารย์หรือนักเรียนรุ่นพี่ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะเดินเตร่อยู่ในพื้นที่ เพราะพวกเขาอยากรู้ว่ามีอัจฉริยะกี่คนที่สามารถเอาชนะบททดสอบและก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ถือแหวนคนใหม่ของสถาบันการศึกษา

อย่างไรก็ตาม ที่ส่วนเชื่อมต่อห้วงมิติ เหล่าเจ้าหน้าที่คณาจารย์ต่างตื่นตระหนกกับวิกฤตที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

“พลังเวทรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ! มันกำลังจะเลยขีดจำกัดที่สองไปแล้ว!”

“บ้าที่สุด! ข้างในโบราณสถานมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เสียงตะโกนด้วยความผิดหวังของเหล่าเจ้าหน้าที่ดังขึ้น ตอนนี้ทุกคนกำลังตกอยู่ในอาการกระสับกระส่าย ต่างจากก่อนหน้าไม่กี่นาทีนี้ที่ยังคงนั่งจิบชาอย่างสงบ

เจ้าหน้าที่ของส่วนเชื่อมต่อห้วงมิติ มีหน้าที่สำรวจโบราณสถานภายในเขตของสถาบัน เพื่อตรวจสอบความผิดปกติและประเมินระดับภัยคุกคาม เป็นเวลาหลายปีแล้วที่พวกเขาทำภารกิจสำเร็จโดยไม่มีปัญหาใด ๆ ทว่าวันนี้กลับมีเหตุฉุกเฉินที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเกิดขึ้น

มันเป็นเรื่องปกติที่การต่อสู้ภายในโบราณสถานจะก่อให้เกิดการไหลเวียนของพลังเวทที่มีความรุนแรง แต่โดยปกติแล้วมันจะยังอยู่ในระดับที่ไม่มาก ด้วยความระดับแข็งแกร่งของนักเรียนใหม่และศัตรูที่พวกเขาเผชิญหน้า อย่างไรก็ตามโบราณสถานในวันนี้มีคลื่นการไหลเวียนพลังเวทที่รุนแรงเกินลิมิตไปมาก

ทีแรกเหล่าเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจมากนัก เนื่องจากพวกเขาคิดว่ามันคงจะเป็นเพราะนักเรียนกลุ่มปัจจุบันแข็งแกร่งกว่าปกติ แต่เมื่อความรุนแรงของพลังเวทเกินขีดจำกัด จนส่งสัญญาณเตือนครั้งแรกและยังคงไม่มีวี่แววว่าจะลดลง พวกเขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เพียงปัญหาทั่ว ๆ ไปอีกต่อไปแล้ว

ครั้งสุดท้ายที่เสียงเตือนดังขึ้นคือเมื่อสองปีที่แล้ว ในตอนที่ลิเลียน ผู้ถือแหวนกุหลาบสีม่วง ออกแรงอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะผู้พิทักษ์แห่งแหวน แต่ถึงกระนั้นความรุนแรงของพลังเวทก็เกินขีดจำกัดไม่กี่วินาทีก่อนจะลดกำลังลงไป อย่างไรก็ตามคราวนี้ความรุนแรงนั้นยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สัญญาณเตือนกรีดร้องกับพวกเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“มันผ่านระดับสัญญาณเตือนครั้งที่สองแล้ว แต่ความรุนแรงก็ยังคงเพิ่มขึ้น! แย่แล้ว!”

“นี่ไม่ใช่พลังเวทที่มาจากนักเรียนแน่ ๆ!”

“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปโบราณสถานได้ระเบิดแน่!”

เสียงตะโกนด้วยความตื่นตระหนกดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ทุกคนเริ่มจะหมดหนทางด้วยแรงกดดันมหาศาลของสถานการณ์นี้ เสถียรภาพของโบราณสถานเป็นปัจจัยหลักที่จำเป็นต่อการรักษาสภาพที่เป็นเหมือนความฝันของโบราณสถาน เมื่อระดับเสถียรภาพลดลงต่ำไปจนเกินความขัดข้อง ผู้ที่ยังอยู่ในโบราณสถานจะสูญเสียภูมิคุ้มกันต่ออาการบาดเจ็บและความตาย

ปัจจุบันนักเรียนที่ยังคงท้าทายบททดสอบอยู่ในโบราณสถานก็คือองค์หญิงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท และลูกสาวของผู้บริหารของสมาคมพ่อค้าโรซ่า

“รีบแจ้งหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินเร็ว! เลขที่…”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของส่วนเชื่อมต่อห้วงมิติ หน้าซีดตัวสั่นไปด้วยความกลัวเมื่อคิดถึงผลที่จะตามมาหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นที่นี่ เขากระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะแล้วตะโกน

“ส่งสัญญาณเตือนวิกฤตระดับ 1! แจ้งอาจารย์ใหญ่เร็ว!”

บนเนินเขาในโบราณสถาน การต่อสู้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป โรเอลได้เผาผลาญพลังชีวิตของตนเพื่อความแข็งแกร่งเป็นระดับแก่นแท้ 3 ทำให้ความแข็งแกร่งของกรันด้า และเปตราเองก็เพิ่มขึ้นตามในระดับที่สูงขึ้นเช่นกัน

เสียงคำรามของโครงกระดูกยักษ์ตัวมหึมาเขย่าหมู่เมฆ ปล่อยหมัดลงบนชั้นของเกราะเวทที่สร้างขึ้นโดยทูตสวรรค์

ขณะเดียวกัน เทพธิดาแห่งปฐพีที่เกือบจะสูญเสียลูกของตน ก็อาละวาดอย่างรุนแรง อสรพิษยักษ์ส่งเสียงเย้ยหยันอย่างเย็นชา กระแทกหางลงกับพื้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทำลายพื้นดินให้กลายเป็นหินก้อนใหญ่นับไม่ถ้วน พุ่งตรงไปยังหมาป่าปีศาจ แน่นอนว่าร่างกายที่ใหญ่เทอะทะนั้นไม่ได้หยุดเธอจากการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง

พลังอันมหาศาลของก้อนหินมากเกินพอที่จะฉีกหมาป่าปีศาจเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ทันที แต่ในทุกครั้ง ๆ ร่างของหมาป่าปีศาจก็จะสลายไปหลังจากการตายของมัน แล้วควบรวมขึ้นกลางอากาศในทันที ราวกับตัวละครในวิดีโอเกมที่มีพลังชีวิตไร้ขีดจำกัด!

“เป็นแค่สัตว์อสูรปีศาจแท้ ๆ แต่กลับกล้าที่จะโจมตีพวกเรางั้นเหรอ?”

เปตราส่งเสียงดังด้วยความโกรธ

อนุภาคแสงลอยขึ้นจากพื้นดินและซึมเข้าไปในร่างของเปตรา เธออ้าปากกว้างและปล่อยลำแสงทำลายล้างไปยังหมาป่าปีศาจ ซึ่งหมาป่าปีศาจก็ได้กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของเธอ แต่ลำแสงก็ยังคงไล่ตามมันและแยกท้องฟ้ายามค่ำคืนออกเป็นสองส่วน

“เจ้าโครงกระดูก แกมัวทำอะไรอยู่? รีบจัดการนกตัวนั้นให้เสร็จ ๆ เร็วเข้า! สัตว์อสูรที่ข้ารับมืออยู่ตอนนี้มันฆ่าไม่ตาย!”

เปตราตะโกน

“ข้ารู้แล้วน่า”

เปลวเพลิงในเบ้าตาของกรันด้า ทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมกับพลังเวทสีแดงเข้มรอบตัวที่สว่างขึ้น จนเกิดเสียงดังก้องกังวานอยู่ภายในโครงกระดูก

วินาทีถัดมา กรันด้าก็เปิดกำปั้นขึ้นและดันนิ้วที่ขดด้วยสายฟ้าสีแดงเข้มเข้าไปทางทูตสวรรค์ เจาะทะลุผ่านชั้นของเกราะเวท ก่อนที่จะกระแทกกับเกราะเวทสีทอง แม้เกราะเวทสีทองจะยังไม่ได้แตกสลายในทันที แต่รอยร้าวก็เริ่มปรากฏให้เห็นจากตรงกลาง

การจู่โจมอย่างฉับพลันจากโครงกระดูกยักษ์ทำให้ทูตสวรรค์ตกใจ เขายกไม้เท้าขึ้นและรวบรวมแสงสว่างไว้ด้านหลังปีกเพื่อฉายสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ทุกประเภท หอคอยงาช้าง ภาพเงาของเทพเจ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย แสงที่รวบรวมได้เปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ อย่างรวดเร็วก่อนที่จะมาบรรจบกันเป็นไม้เท้า จากนั้นทูตสวรรค์ก็ชี้มันไปที่โครงกระดูกยักษ์

ตูม!

แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งทะลุกำแพงสีทองพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกยักษ์ตรงหน้า กระแทกจนกรันด้าต้องถอยหลังอย่างแรง และพลังเวทสีแดงเข้มที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเองก็สลายไปด้วย อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้บดขยี้จิตวิญญาณการต่อสู้ของโครงกระดูกยักษ์ แต่กลับกระตุ้นความก้าวร้าวของเขาให้มากขึ้นไปอีกระดับ

“!”

จังหวะที่ทูตสวรรค์กำลังตกตะลึง ร่างกายของกรันด้าก็ได้พุ่งใส่แสงศักดิ์สิทธิ์ ฟื้นพลังเวทสีแดงเพลิงด้วยโทสะ เปลวเพลิงอันเจิดจ้าในเบ้าตาของเขาแคบลงพร้อมกับเสียงคำราม

“ตายซะ!”

กรันด้าชกอีกครั้งไปยังเกราะเวทสีทอง เกราะเวทบิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นหมัดก็พุ่งต่อไปด้วยแรงที่เหลืออยู่จมลงไปในท้องของทูตสวรรค์ ทำให้ร่างของอีกฝ่ายทรุดตัวลงก่อนจะกระเด็นไปถูกระเบิดที่ภูเขาอันห่างไกลราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่

แม้จะมีความสามารถในการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วของทูตสวรรค์ แต่การโจมตีในระดับนี้ก็มากเกินพอที่จะทำให้เขาหมดสภาพไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ทว่าก่อนที่กรันด้า จะได้หันกลับไปช่วยโรเอล ทันใดนั้นแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากจุดที่โรเอลกำลังต่อสู้กับโร บินข้ามท้องฟ้าก่อนที่มันจะแยกออกเป็นสองส่วน มุ่งหน้าไปในทิศทางที่ต่างกัน

เทพเจ้าโบราณทั้งสองรีบเงยหน้าขึ้นทันทีที่สัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังเวทอันคุ้นเคยซึ่งมาจากแสงสีทอง มันคือพลังจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ คาถาเวท เศษเสี้ยวสีทองแห่งมงกุฎ

ลำแสงหนึ่งพุ่งเข้าใส่หมาป่าปีศาจ ซึ่งยังคงอยู่ในระหว่างการประกอบร่างอีกครั้ง ส่วนอีกแสงพุ่งโค้งและซึมเข้าไปในร่างของทูตสวรรค์ที่พังทลายลงข้างภูเขา ใบหน้าของเปตราบิดเบี้ยวด้วยความสยดสยองเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็สายเกินไปแล้วที่เธอจะขัดขวาง

ทูตสวรรค์ที่ทรุดตัวลงยืนกลับขึ้นมาภายใต้ผลกระทบของแสงสีทอง ปีกอันเจิดจ้าของเขาสว่างไสวกว่าที่เคย ในเวลาเดียวกัน หมาป่าปีศาจก็ส่งเสียงหอนพร้อมเปลวเพลิงที่พวยพุ่งออกจากปากของมัน

“ชิ เริ่มจะไม่ได้การแล้วสิ”

เหตุการณ์นี้ทำให้ใบหน้าของเปตรามืดมนลง และบรรยากาศรอบ ๆ กรันด้าเองก็หนักหน่วงขึ้นเช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าคู่ต่อสู้ของตนได้รับการเสริมพลังด้วยคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ ทำให้รับมือได้ยากขึ้นมาก แน่นอนว่ามันยังไม่ถึงระดับที่จะเอาชนะพวกเขาได้ แต่อย่างน้อย ๆ คู่ต่อสู้ของพวกเขาก็สามารถยื้อตัวพวกเขาเอาไว้ได้

“… แบบนี้พวกเราไม่น่าจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือโรเอลได้แล้ว”

“ไอ้บ้า! แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับโรเอลกัน? ฝั่งนั้นน่าจะมีกันสามคนเลยนะ!”

เปตราอุทานด้วยความกังวล พลางนึกถึงเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นบนร่างของโร

น่าแปลกที่กรันด้าซึ่งอยู่กับโรเอลมานานที่สุดและเฝ้าดูเขาเติบโตตามกาลเวลาที่ผ่านไป ดูสงบกว่ามาก

“ปล่อยให้เขาจัดการเถอะ”

“เจ้าว่ายังไงนะ?”

“ต่อให้มีอีกตัวโผล่ออกมา ก็น่าจะเป็นแค่ของปลอม โรเอลไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดว่าเขาเป็นหรอกนะ”

“…”

คำพูดของกรันด้า ทำให้เปตรายอมเงียบไป

ขณะเดียวกัน บนเนินเขาซึ่งห่างไกลจากสนามรบของเทพเจ้าโบราณ เด็กหนุ่มผมดำที่ล้อมรอบไปด้วยพลังเวทเยือกแข็งได้เข้าต่อสู้กับบรรพบุรุษที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวไฟของเขา

นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างพลังทำลายล้างของทั้งสองฝั่ง ฝ่ายหนึ่งแสวงหาความสงบอันเป็นนิรันดร์ของน้ำแข็ง ส่วนอีกฝ่ายปลดปล่อยความหายนะอันเลวร้ายของเปลวเพลิง การปะทะกันของพวกเขาทำให้เกิดเสียงอันน่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กันกับเหล่าทวยเทพ

โรเอลสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของตัวเองที่กำลังหมดลง แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลกับมันเลย ดวงตาสีทองอันเฉียบคมของเขากำลังจับตามองสนามรบอย่างใกล้ชิด ทำให้เขามองเห็นจุดที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ครั้งนี้

กุญแจแห่งชัยชนะไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้ระหว่างเทพเจ้าโบราณ แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์