“ไม่ว่าจะพูดเช่นไร เหล่าไท่ไทก็เกิดเรื่องในบ้านพวกเจ้า ความรับผิดชอบนี้…พวกเจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” นางอวี๋สะอึกสะอื้น อยากแสร้งเป็นเสือแต่กลับไม่เหมือน ดันลักษณะเสมือนเสือกระดาษที่มีชีวิตขึ้นมาไปเสียได้
หลินหลันหาเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วหย่อนตัวลงนั่งอย่างช้าๆ นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มมุมปากที่แฝงการเหยียดหยามเอาไว้ ก่อนกล่าวขึ้นอย่างเนิบช้าไม่สะทกสะท้าน “ว่าแต่ว่า ท่านป้าต้องการให้พวกเรารับผิดชอบ ควรรับผิดชอบเรื่องนี้เช่นไรหรือเจ้าคะ”
เห็นสีหน้าหยิ่งผยองของหลินหลัน หลี่จิ้งอี้รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของเขาในฐานะผู้อาวุโสได้รับการท้าทาย ทุกคนต่างกล่าวว่าสะใภ้รองเป็นแค่เด็กสาวชนบท เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงเสียมากกว่า เห็นผู้อาวุโสแท้ๆ แต่กลับไร้มรรยาท ผู้อาวุโสยังยืนอยู่ทนโท่ แต่นางกลับนั่งลงเสียแล้ว เขาจึงส่งเสียงสบถ ฮึ และกล่าว “ค่าใช้จ่ายในพิธีศพของเหล่าไท่ไท ตลอดจนการเคลื่อนย้ายดวงวิญญาณกลับสู่บ้านเกิด พวกเจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด หมิงเจ๋อและหมิงอวินจำเป็นต้องกลับไปส่งดวงวิญญาณพร้อมพวกเราที่บ้านเกิด และก้มศีรษะขอขมาหน้าหลุมศพบรรพบุรุษ”
หลินหลันนึกหยามหยันอยู่ในใจ พูดไปพูดมา ที่แท้ก็เพื่อคำว่า ‘เงิน’ หลี่จิ้งเสียนผู้เป็นเสมือนต้นไม้ใหญ่ดันโค่นล้มลงไปเสียแล้ว ความรุ่งโรจน์ของชาวสกุลหลี่จึงไม่หลงเหลืออีกต่อไป ลุงใหญ่รู้ว่าต้องเริ่มประหยัดเงินทองขึ้นมาแล้ว จึงไม่อยากจัดการเรื่องงานศพของมารดา ฮ่าๆ นี่มันช่างน่าตลกจริงๆ! หญิงชราลำบากตรากตรำเลี้ยงดูบุตรทั้งหลาย และคิดไปว่าตนเองคงไม่ต่างจากมารดาของเมิ่งจื่อในสมัยโบราณเท่าใดนัก คาดไม่ถึงเลยว่าบุตรที่อบรมสั่งสอนมาล้วนไร้คุณธรรมจริยาธรรมเช่นนี้ บุตรชายคนโตตระหนี่ถี่เหนียว บุตรชายคนรองไร้คุณธรรม แต่ละคนล้วนเห็นแก่ตัวละโมบโลภมาก หากหญิงชราได้ยินคำพูดดังกล่าวนี้ ไม่รู้ว่าจะกระอักเลือดออกมาเลยหรือไม่
“ใช่ ปัญหาวุ่นวายนี่ล้วนเกิดจากบิดาของพวกเจ้า ตอนนี้เขาถูกเนรเทศไปถิ่นแดนไกล ก็ถือว่าได้รับผลของกระทำที่ควรได้รับ ในเมื่อเขาไม่อยู่ ความผิดที่เขาก่อไว้ แน่นอนว่าบุตรชายเขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบ อีกอย่าง เหล่าไท่ไทกลายเป็นสภาพเช่นทุกวันนี้ พวกเจ้าทั้งหลายที่คอยปรนนิบัติข้างกาย ไม่อาจปฏิเสธความผิดนี้ไปได้ จะพูดอันใดไปก็เปล่าประโยชน์ทั้งนั้น” นางอวี๋เห็นสามีเอ่ยปาก จึงใจกล้าขึ้นมาเช่นกัน
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม “ท่านลุง เรื่องนำดวงวิญญาณกลับบ้านเกิด หลานไม่บ่ายเบี่ยงแน่นอนขอรับ เพราะเดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แต่น้องรองเขารับพระราชโองการฝ่าบาท ไปประจำอยู่เขตชายแดนที่ห่างไกล เกรงว่าคงกลับมาไม่…”
“กลับมาไม่ทันก็ต้องกลับมาให้ทัน ความกตัญญูต้องมาเป็นอันดับแรก เรื่องใหญ่โตเพียงใดก็ต้องละเอาไว้ก่อน” หลี่จิ้งอี้เผยท่าทางหยาบคาย โบกมือปัดๆ กล่าวแทรกคำพูดของหลี่หมิงเจ๋อ
หลินหลันไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป ลุงใหญ่ท่านนี้จะใส่อารมณ์เกินไปแล้ว! โง่เง่าหรือไร เจ้าบอกว่าให้กลับมาก็ต้องกลับมาเช่นนั้นหรือ เจ้าเป็นบิดาฮ่องเต้หรือเป็นพระเจ้าหรือ จะว่าเจ้าโง่เขลาก็ยังรู้สึกเกรงใจคนที่โง่เขลาด้วยซ้ำ ยามที่หลี่จิ้งเสียนรุ่งโรจน์ พวกเจ้าพร่ำเอ่ยประจบสอพลอทุกๆ เรื่อง ยามนี้หลี่จิ้งเสียนตกต่ำ ก็กล่าวว่ามันเป็นผลของการกระทำที่ควรได้รับ ถูกต้อง มันเป็นผลของการกระทำที่พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายควรได้รับ ทว่าคำพูดนี้ นางกับหมิงอวินพูดได้ ตระกูลเยี่ยพูดได้ ราชสำนักพูดได้ บรรดาปวงประชาพูดได้ ยกเว้นก็แต่จากปากพวกเจ้า มันใจจืดใจดำเกินไป ต่อให้พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเลวร้ายเพียงใด ไร้ยางอายเพียงใด ก็ไม่เลวร้ายถึงขั้นว่ากล่าวพี่น้องด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟัง ตระกูลหลี่มีทุกวันนี้ได้ ล้วนอาศัยความไร้ยางอาย ความใจไม้ไส้ระกำของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายมาทั้งนั้น พวกเจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าพวกเจ้าไม่รู้ว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายแต่งงานซ้อน พวกเจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่า พวกเจ้าไม่รู้ว่าบ้านหลังใหญ่โตและเงินที่ใช้ซื้อแปลงที่นาดีๆ ของพวกเจ้าเป็นเงินของตระกูลเยี่ย พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาแสร้งเป็นคุณดีมีคุณธรรมตั้งแต่ที่พวกเจ้าเสพสุขอย่างสบายใจเฉิบแล้วต่างหากล่ะ
“ในเมื่อท่านลุงยืนกรานเพียงนี้ เช่นนั้นก็เชิญท่านลุงไปบอกกล่าวกับฮ่องเต้เองแล้วกัน พวกเราขี้ขลาดตาขาว มิกล้าขัดคำสั่งของฮ่องเต้หรอกเจ้าค่ะ ดีไม่ดีจะหัวหลุดจากบ่าเอาได้ แล้วยังมิใช่หัวของคนสองคนอีกด้วย เพราะเรื่องของท่านพ่อ ฮ่องเต้จึงรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง! หากมิใช่หมิงอวินเป็นผู้แบกรับไว้ทั้งหมด โดยการยอมไปทำหน้าที่สำคัญในการเจรจาสงบศึกที่ชายแดน เกรงว่าตระกูลหลี่คงเป็นอันได้สูญสิ้นทั้งชั่วโคตรไปแล้ว ท่านลุงยังต้องการให้หมิงอวินกลับมาอีกหรือไม่ล่ะเจ้าคะ ”หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทีเรียบเฉย ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน
เมื่อครู่นี้หลี่จิ้งอี้เพียงแค่อยากวางมาดข่มขู่ในฐานะผู้อาวุโสโดยไม่ได้คิดอะไรมากมายเช่นกัน ตอนนี้ได้ยินหลินหลันกล่าวเช่นนี้ จึงล้มเลิกความตั้งใจนี้ไปทันที แล้วหันมากล่าวด้วยท่าทีที่อ่อนข้อลง “ในเมื่อหมิงอวินกำลังปฏิบัติตามพระราชโองการฝ่าบาท เช่นนั้นก็ช่างเถอะ แต่หมิงเจ๋อจำเป็นต้องไปด้วย เรื่องงานศพของเหล่าไท่ไทต้องจัดให้ใหญ่โต ตามธรรมเนียมปฏิบัติของบ้านเกิดเราต้องจัดงานพร้อมเชิญคนทั้งหมดในหมู่บ้านมาร่วม และให้มีมหรสพสามวัน จากนั้นค่อยปฏิบัติตามพิธีงานศพแบบดั้งเดิม เรื่องเหล่านี้พูดกับพวกเจ้าเด็กรุ่นหลังไป พวกเจ้าก็ทำไม่ได้อยู่ดี เอาแบบนี้แล้วกัน! พวกเจ้าออกเงิน พวกเราจัดการเอง ฮูหยิน ก่อนหน้านี้เจ้าคำนวณไว้ จำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าใดหรือ”
นางอวี๋รีบกล่าวทันควัน “เหล่าเหยีย ท่านลืมพูดเรื่องของพื้นที่สุสานไปด้วยนะเจ้าคะ ยามนี้พื้นที่สุสานราคาแพงเสียยิ่งอะไรดี ครั้งก่อนท่านขุนนางผู้ปกครองเขตจัดพิธีศพให้มารดาของเขา ก็ใช้จ่ายไปมากถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน เหล่าไท่ไทของเรา จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน ตระกูลหลี่เราก็มีหน้ามีตาไม่เป็นสองรองใครในหมู่บ้าน ดังนั้นค่าใช้จ่ายนี่…อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามหมื่นตะลึงเห็นจะได้!”
หลี่หมิงเจ๋อถึงกับตะลึง อย่าว่าแต่สามหมื่นตำลึงเงินเลย ตอนนี้ต่อให้ออกเงินสามพันตำลึงเงินก็เป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย!
หลินหลันรู้สึกว่าวันนี้ตนเองได้เปิดโลกทัศน์อีกครั้ง เดิมคิดว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเป็นผลผลิตเดียวที่ภายนอกดูดีแต่ภายในเน่าเฟะของตระกูลหลี่ คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลหลี่จะเป็นแหล่งกำเนิดผลผลิตที่ภายนอกดูดีแต่ภายในเน่าเฟะ อีกทั้งแต่ละผลผลิตยังเลวร้ายยิ่งๆ ขึ้น เดิมนางคิดว่าผู้เป็นลุงเพียงแค่ตระหนี่ถี่เหนียวเท่านั้น ตอนนี้เพิ่งเข้าใจได้ว่า ผู้เป็นลุงอยากคว้าลาภลอยโดยอาศัยคนตายต่างหากล่ะ! ท้ายที่สุดก็ยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์อีกคนหนึ่งดีๆ นี่เอง! มารดายังไม่ทันสิ้นลม กลับคิดวิธีการหาเงินไว้เสร็จสรรพแล้ว! สามหมื่นตำลึงเงิน เจ้าคิดว่ามารดาเข้าเป็นสตรีผู้รับพระราชทานยศขั้นหนึ่งจากฮ่องเต้อะไรทำนองนั้นหรือ คิดจะหาประโยชน์อย่างละโมบโลภมาก ก็ไม่เกรงว่าคนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเสียบ้าง
หลินหลันลุกขึ้นยืน จากนั้นก้าวเดินไปหยุดข้างกายนางอวี๋ แล้วกล่าวด้วยสายตาเป็นมิตร “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ว่ากันตามหลัก เรื่องพิธีศพของท่านย่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด พวกเราคนรุ่นหลังต่อให้ต้องขูดเลือดขูดเนื้อตนเองก็ต้องหามาให้ได้…”
นางอวี๋ได้ยินคำพูดนี้ จึงบ่นโอดครวญด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “หลานสะใภ้รอง นี่มิใช่เพียงเพื่อหน้าตาของเหล่าไท่ไท ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อหน้าตาของตระกูลหลี่ ในหมู่บ้านล้วนรับรู้ว่าน้องรองเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้นแล้ว คนเราน่ะ ต่างก็อยากคบค้าสมาคมกับผู้มีอำนาจ และยโสโอหังกับคนที่มีฐานะต่ำกว่าทั้งนั้น คิดว่าน้องรองตกต่ำ ตระกูลหลี่เราก็เป็นอันสูญสิ้น หากไม่จัดพิธีศพให้เหล่าไท่ไทยิ่งใหญ่เข้าไว้ พวกเขาคงได้คิดจริงๆ ว่าตระกูลหลี่สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว หลังจากนี้ผู้ใดยังจะไว้หน้าตระกูลหลี่เราอีก หากไม่มีเรื่องที่ซวยซ้ำซวยซ้อนขึ้นมาก็คงแล้วไป”
“ท่านป้าพูดถูกเจ้าค่ะ คนเราล้วนยโสโอหังกับคนที่มีฐานะต่ำกว่า นึกถึงยามที่พ่อสามีข้าประสบความสำเร็จ ในทุกๆ ปีท่านลุงก็มักส่งสินค้าเฉพาะท้องถิ่นมาให้หนึ่งคันรถใหญ่เป็นการพิเศษเช่นกันมิใช่หรือ ทุกครั้งที่ตอบจดหมายมา มิใช่เพราะรู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งที่มอบให้หรอกหรือ ยามนี้ พ่อสามีข้าได้รับความผิด ต้องถูกเนรเทศไปถิ่นแดนไกล วงศ์ตระกูลนางหลี่มีผู้ใดนึกคิดบ้างว่าชื่อเสียงอันดีงามเป็นผู้ใดที่สร้างขึ้นมาให้? หมิงอวินและพี่ใหญ่ถูกขังในห้องขังหลายเดือน จะเป็นจะตายยากเกินคาดเดาได้ วงศ์ตระกูลนางหลี่มีผู้ใดเคยคิดจะส่งจดหมายมาถามไถ่สักฉบับบ้างหรือไม่ และเมื่อรู้ว่าเหล่าไท่ไทล้มป่วย มีผู้ใดมาปรนนิบัติผู้ป่วยติดเตียงเพื่อแสดงความกตัญญูอย่างเต็มที่บ้างหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าอาการป่วยเหล่าไท่ไทอยู่ในขีดอันตราย แม้แต่ผู้ส่งจดหมายก็กลับมาก่อนหน้าตั้งเดือนหนึ่งแล้ว ท่านลุงและท่านป้าไปมัวทำอันใดกันอยู่หรือเจ้าคะ พอมาถึงที่นี่ ท่านลุงท่านป้าก็ไม่รีบร้อนไปเยี่ยมเหล่าไท่ไท แต่กำลังถกเถียงเพื่อผลประโยชน์จากการจัดพิธีศพ ท่านลุงท่านป้าช่างเป็นผู้ที่ใจร้ายใจดำและไร้จิตสำนึกจริงๆ วันนี้หลานสะใภ้ถือว่าได้เห็นความเป็นจริงเสียที แม้กระทั่งญาติมิตรของตนเองแท้ๆ ยังทำกันเยี่ยงนี้ คนรอบข้างคงยิ่งมิต้องพูดถึง” หลินหลันกล่าวเหยียดหยาม
หลี่หมิงเจ๋ออยากตบโต๊ะและร้องออกไปว่ายอดเยี่ยมจริงๆ เชียว คำพูดของน้องสะใภ้ชุดนี้ถือว่าเป็นการตบแก้วหูของผู้เป็นลุงและป้าได้อย่างเต็มแรง ทั้งคำพูดและการกระทำของท่านลุงและท่านป้ามันเกินไปจริงๆ ตัวเขาเพราะคิดว่าเป็นเด็กรุ่นหลัง และตระหนักดีว่าอาการป่วยของท่านย่าเป็นเพราะบิดาและมารดา จึงรู้สึกละอายแก่ใจ พูดอะไรได้ไม่มาก เลยต้องอดกลั้นเอาไว้ อดกลั้นจนแทบจะอกแตกตายแล้วก็ว่าได้ ตอนนี้ท่านป้าและท่านลุงถึงกับหน้าซีดเป็นผักต้ม มันช่างสะใจดีจริงๆ
หลี่จิ้งอี้หน้าดำคร่ำเครียด อับอายจนกลายเป็นความรู้สึกเดือดดาล “หลานสะใภ้รอง นี่เจ้ากำลังตำหนิพวกเราหรือ ผู้อาวุโสอบรมสั่งสอน เด็กรุ่นหลังกลับโต้เถียงฉอดๆ แล้วยังดูหมิ่นเหยียดหยามกันอีก นี่มันระเบียบปฏิบัติบ้านไหนหรือ ตระกูลหลี่เราไม่อาจยอมรับคนไร้ยางอายที่ปีนเกลียวต่อผู้อาวุโสประเภทนี้เป็นอันขาด”
หลินหลันไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย และยังกล่าวต่ออย่างไม่แยแส “ขอถามท่านลุงหน่อยนะเจ้าคะ ว่าไอ้ความอกตัญญูแบบนี้มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลหลี่หรือเจ้าคะ แบบที่ว่ามารดายังไม่ทันสิ้นลมหายใจ ก็มาคิดคำนวณว่าจะกอบโกยเงินทองได้อย่างไร นี่มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลหลี่หรือเจ้าคะ หลานสะใภ้ก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลหลี่สั่งสอนคนประเภทใดออกมา ซึ่งก็คือคนประเภทไร้ความกตัญญูและไร้คุณธรรมนี่เอง หากท่านลุงท่านป้าแน่จริงก็นำคำพูดเมื่อครู่นี้ไปกล่าวต่อหน้าเหล่าไท่ไทอีกสักรอบสิเจ้าคะ เวลานี้เหล่าไท่ไทยังฟังรู้เรื่อง จะได้ให้เหล่าไท่ไทเป็นผู้ตัดสินด้วยว่าถูกหรือผิด ธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ต้องการเอาไว้อีกหรือไม่ ข้าขอพูดอันใดที่ไม่น่าฟังไว้ก่อนแล้วกันว่า หากเหล่าไท่ไทเกิดอันใดไม่คาดคิดด้วยเหตุนี้ นั่นจะถือว่ามิใช่ความผิดของพวกเรา” เมื่อกล่าวจบ หลินหลันหันไปกล่าวต่อหลี่หมิงเจ๋อ “พี่ใหญ่ เราไปบอกกล่าวเหล่าไท่ไทกันตอนนี้เลยเถอะเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงเจ๋อกล่าวอย่างให้ความร่วมมือทันที “เรื่องใหญ่เช่นนี้ จำเป็นต้องให้ท่านย่ารับรู้ไว้ด้วย”
ทั้งสองกล่าวขณะเตรียมเดินจากไป
นางอวี๋รีบเอื้อมมือไปดึงรั้งหลินหลัน “ไอหย่า! หลานสะใภ้รอง นี่พวกเราก็แค่ปรึกษาหารือกันอยู่มิใช่หรือ พวกเจ้ามีความคิดเห็นอันใดก็พูดออกมา ทุกคนปรึกษาหารือด้วยกัน เหตุใดถึงต้องใส่อารมณ์ด้วยล่ะ ตอนนี้เหล่าไท่ไทอาการไม่สู้ดี เรื่องประเภทนี้อย่าเอาไปรบกวนนางจะดีกว่า…”
นางอวี๋ไม่ใช่คนโง่เขลา หากเหล่าไท่ไทได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่เป็นอันโกรธเกรี้ยวจนขาดใจตายเลยหรือ ถึงตอนนั้นหลินหลันโยนความรับผิดชอบทั้งหมดผลักมาที่พวกเขา ไม่เพียงแต่ไม่ได้เงินทอง แต่ยังต้องกลายเป็นผู้อกตัญญูที่ทำให้มารดาโกรธเกรี้ยวจนเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ นางอวี๋จึงพยายามฉุดรั้งหลินหลัน ไม่ให้นางออกไป ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้สามีนาง ให้เขาช่วยพูดอะไรขึ้นมาบ้าง
หลี่จิ้งอี้จึงต้องอดกลั้นต่ออุปนิสัยที่บ้าบิ่นไม่แยแสใดๆ เช่นนี้ของหลินหลัน ก่อนหน้านี้นางอวี๋เคยบอกกล่าวว่าหลานสะใภ้ของน้องรองล้วนมีนิสัยใจคอที่ง่ายๆ อะไรก็ได้ สำหรับนางก็มีแต่หมิงอวินที่กำราบได้ยาก ยามนี้หมิงอวินไม่อยู่ เขาจึงคิดว่าเพียงแค่เขาวางมาดข่มขู่ในฐานะผู้อาวุโส เด็กรุ่นหลังเหล่านี้ก็คงเชื่อฟังอย่างว่าง่าย คาดไม่ถึงเลยว่าภรรยาของหมิงอวินจะเป็นคนปากคอเราะราย และยากที่จะต่อกรด้วยเพียงนี้
หลินหลันแสยะยิ้มกล่าว “ท่านลุงถึงขั้นกล่าวหาว่าพวกเราเป็นพวกอกตัญญูแล้ว ยังมีอันใดให้ปรึกษาหารือกันได้อีกหรือเจ้าคะ”
“ต้องปรึกษากันได้สิ ปรึกษากันได้อยู่แล้ว ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะปรึกษาหารือกันมิได้ได้อย่างไรล่ะ มาๆ นั่งลงก่อนๆ” นางอวี๋จับหลินหลันแล้วกดลงนั่งบนเก้าอี้ จากนั้นจึงนั่งลงด้วยเช่นกัน และกล่าวอย่างดิบดี “นี่ท่านลุงเจ้าก็แค่ร้อนใจเท่านั้นเองมิใช่หรือ ท่านลุงเจ้าเป็นคนที่กตัญญูที่สุด ตอนแรกได้ยินว่าพ่อสามีเจ้าเกิดเรื่อง และเหล่าไท่ไทก็ล้มป่วย เขาร้อนใจจนกินไม่ได้นอนไม่กลับไปหลายวัน อยากจะรีบมาเมืองหลวงให้ได้เสียตอนนั้นเลย แต่เป็นข้าเองที่รั้งไว้ ข้ากล่าวว่า เจ้าไปแล้วจะทำอันใดได้ เป็นชาวชนบทธรรมดาๆ คนหนึ่ง ถามถึงเส้นสายก็ไม่มี ถามถึงเงินทองก็ไม่มี นอกจากไปเพิ่มความวุ่นวายแล้วจะยังทำอันใดได้หรือ อีกอย่างตอนนี้สถานการณ์ทางด้านเมืองหลวงเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้ เกิดราชสำนักต้องการเอาความผิดทั้งตระกูลหลี่ แล้วคนในครอบครัวจะทำเช่นไร จะอย่างไรก็ต้องมีสักคนที่อยู่เป็นที่พึ่งพิงของครอบครัว คอยอยู่ตัดสินใจ เรื่องของคนที่บ้านเกิดก็ต้องได้รับการดูแลเป็นที่เรียบร้อย ก็เป็นการช่วยเหลืออย่างหนึ่งเช่นกัน เกิดภายภาคหน้าพวกเจ้าไร้ที่ไป ก็ยังกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดได้มิใช่หรือ พวกเรามองจากสถานการณ์โดยรวม ถึงได้ไม่มาเมืองหลวงเมื่อช่วงก่อนหน้า ครั้งนี้ได้รับจดหมายของพวกเจ้าที่เอ่ยว่า เกรงว่าเหล่าไท่ไทจะยื้อไว้ได้อีกไม่นานแล้ว ท่านลุงเจ้าอ่านจดหมายจบก็เป็นลมล้มพับไปทันที เพราะล้มป่วยครั้งใหญ่จึงทำให้เดินทางมาล่าช้า…หลานสะใภ้รอง ที่ป้าพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เจ้าต้องเชื่อข้านะ”