เมื่อได้เห็นตัวตนของคนคนหนึ่งอย่างกระจ่างแจ้ง ต่อให้เจ้าสรรหาคำสวยหรูอะไรมาสาธยาย ก็มีแต่จะทำให้คนเขายิ่งรังเกียจไปเปล่าๆ
หลินหลันแสยะยิ้มแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าจะเชื่อหรือไม่มิสำคัญหรอกเจ้าค่ะ ความจริงก็คือความจริง อะไรที่ไม่จริงก็ไม่มีทางเป็นความจริงไปได้เช่นกัน ขอเพียงท่านลุงท่านป้าสะใภ้รู้สึกสบายใจก็พอเจ้าค่ะ ส่วนข้าน่ะ! ชอบการพูดคุยอย่างมีเหตุมีผลมากที่สุด แต่หากมีผู้ใดคิดว่าเป็นพวกหัวอ่อนเกลี้ยกล่อมง่าย การคาดการณ์นี้คงผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวพลางชำเลืองตามองผู้เป็นลุง นี่เรียกว่าการกล่าวซึ่งๆ หน้า ผู้เป็นลุงและป้าสะใภ้น่าจะรู้ดีที่สุด อย่าได้คิดว่าอาศัยความที่ตนเองเป็นผู้อาวุโสแล้วจะได้สมดังปรารถนาของตนเองไปเสียทุกอย่าง นางไม่หลงกลอะไรเช่นนี้หรอก
นางอวี๋เผชิญขวากหนามเข้าแล้ว จึงกล่าวด้วยสีหน้าสลด “นี่หลานสะใภ้รองพูดอันใดน่ะ เราล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน คนครอบครัวกันเองมีอันใดก็ปรึกษาหารือกันดีๆ ได้อยู่แล้ว มีใครเขาคาดคิดอะไรเช่นนั้นที่ไหนกัน คำพูดนี้มันช่างทำร้ายความรู้สึกไม่น้อยเลย!”
หลี่หมิงเจ๋อรู้สึกอึดอัดคับข้องใจอย่างยิ่ง แต่กลับทำได้เพียงอดกลั้นไว้อย่างเงียบๆ
หลินหลันแสยะยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านลุงท่านป้าสะใภ้เข้ามาในบ้านตั้งนานเพียงนี้แล้ว แต่กลับไม่คิดไปแสดงความห่วงใยต่อเหล่าไท่ไทเสียก่อน จะว่าไป…นี่ต่างหากที่เรียกว่าทำร้ายความรู้สึกน่ะเจ้าคะ!”
หลี่จิ้งอี้ส่งสายตาให้นางอวี๋นางอวี๋จึงรีบกล่าวทันที “นี่พวกเราก็แค่ทำความเข้าใจสถานการณ์กับพวกเจ้าเสียก่อน อีกเดี๋ยวไปพบเหล่าไท่ไท จะได้รู้ว่าควรหรือไม่ควรพูดอันใดมิใช่หรือ”
หลี่จิ้งอี้แสร้งปั้นหน้ารำคาญใจใส่หน้าอวี๋ “เจ้าก็ช่วยพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถิด รีบไปดูเหล่าไท่ไทกันก่อนดีกว่า” จากนั้นจึงหันไปกล่าวต่อหมิงเจ๋อ “หมิงเจ๋อ รีบนำทางไปทีสิ”
เห็นทีว่าตอนนี้แผนการคงไม่เป็นผลสำเร็จ และยังกลายเป็นว่าถูกหลานสะใภ้รองรู้เท่าทันอีก คงต้องไปแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเหล่าไท่ไทเสียก่อน ส่วนเรื่องพิธีศพของเหล่าไท่ไท ไว้รอเหล่าไท่ไทสิ้นลมหายใจแล้วค่อยพูดขึ้นมาอีกครั้งก็ยังไม่สายเช่นกัน
หลี่หมิงเจ๋อเอี้ยวตัวพร้อมผายมือในท่าทางเชื้อเชิญ จากนั้นหลี่จิ้งอี้จึงสาวฝีก้าวยาวเดินมือไพล่หลังนำหน้าไป ระหว่างนั้นนางอวี้หันมาเอ่ยกับหลินหลันอย่างลนลาน “หลานสะใภ้รอง อีกเดียวป้าค่อยไปหาเจ้าพูดคุยกันแล้วกัน” จากนั้นจึงรีบเดินตามออกไปเช่นกัน
หลินหลันกวักมือเรียกหรูอี้ “เจ้าตามไปฟังที”
หรูอี้พยักหน้า แล้วคารวะให้ก่อนถอยออกไป
หลินหลันคร้านตามไปดูพวกเขาแสดงละคร และจะได้ไม่ต้องสะอิดสะเอียดจนอาเจียนมื้อค่ำออกมา จึงเลือกมุ่งหน้าไปยังเรือนเวยอวี่
“นี่ท่านลุงและท่านป้าสะใภ้จะเกินไปแล้ว ท่านย่ายังไม่จากไปเสียหน่อย! พวกเขาก็แทบอดรนทนไม่ไหวที่จะโกยเงินทองจากพวกเรา หลายปีมานี้ พวกเขายังกอบโกยผลประโยชน์จากครอบครัวเราไม่มากพออีกหรือ ช่างชวนให้ผิดหวังจริงๆ” ติงหลั้วเหยียนได้ยินดังกล่าวก็รู้สึกโกรธเคืองอย่างมากเช่นกัน
หลินหลันเห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะดูเหมือนยังไม่ได้ถูกแตะต้องเลยสักนิด ตั้งแต่ติงหลั้วเหยียนตั้งครรภ์ นางไม่เจริญอาหารมาโดยตลอด จนคนทั้งคนซูบผอมลงไปมาก เดิมทีไม่อยากบอกกล่าวเรื่องชวนกังวลใจเหล่านี้แก่นาง ทว่าตอนนี้ตระกูลหลี่ก็เหลือแค่พี่ใหญ่กับพวกนางสะใภ้สองคน นิสัยของพี่ใหญ่อ่อนปวกเปียก วันนี้หากไม่ใช่นางกู้สถานการณ์ คาดว่าพี่ใหญ่คงตอบตกลงไปเสียทุกอย่าง ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องมาย้ำเตือนหลั้วเหยียนสักหน่อย
หลินหลันปอกเปลือกส้มเรียบร้อยแล้วยื่นส่งให้หลั้วเหยียนพลางกล่าว “เจ้าเตือนพี่ใหญ่ไว้หน่อย พวกเราจะเป็นคนที่ยอมเสียเงินนี่ไปเปล่าๆ มิได้ ไม่ใช่เราไม่อยากกตัญญู ความกตัญญูนี่มิใช่ด้วยวิธีการเช่นนี้ ไว้ถึงเวลา พวกเราออกทั้งเงินออกทั้งแรง แต่กลับกลายเป็นคนที่ผิดอยู่ดี”
ติงหลั้วเหยียนรับส้มมาไว้ แล้วฉีกออกกลีบหนึ่งขึ้นมาจ่อบริเวณกลีบปาก จากนั้นกลับวางมันลง “เจ้าพูดถูก ในเมื่อพวกเขามีเจตนาประเภทนี้ พวกเราก็ไม่อาจยินยอมคล้อยตามโดยง่ายเกินไป ให้พวกเขาเป็นฝ่ายได้หน้าอยู่ฝ่ายเดียว แล้วพวกเราจะกลายเป็นตัวอันใด เรื่องนี้ข้าจะพูดกับหมิงเจ๋อเอง เพียงแต่…ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโส ยามที่เหล่าไท่ไทยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงยังพอทำให้พวกเขาสงบเสงี่ยมได้บ้าง แต่เมื่อเหล่าไท่ไทสิ้นลมหายใจแล้ว…ข้ากับหมิงเจ๋อจะอย่างไรก็ได้ ทว่าหมิงอวินยังต้องอยู่ในหน้าที่การงาน หากพวกเขาพูดจาเพ้อเจ้อให้ร้ายพวกเรา และแพร่งพรายออกไปคงเป็นผลไม่ดีต่อชื่อเสียงของหมิงอวิน น้องสะใภ้ เรื่องนี้ เจ้าจะเป็นต้องพินิจพิจารณาให้ดีๆ ถึงจะได้เรื่อง”
หลินหลันถอนหายใจขณะยิ้มขมขื่น “วางใจเถอะ! เรื่องนี้ข้าพอรู้อยู่แก่ใจแล้วละ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความละอายแก่ใจ “เจ้าก็รู้อยู่ว่าข้าไม่ถนัดการในการต่อกรกับผู้คน และไม่มีความคิดเห็นอันใด จึงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ โดยสรุป เจ้าว่าเช่นไร ข้าก็ทำเช่นนั้นเป็นพอ”
หลินหลันชื่นชมติงหลั้วเหยียนในจุดนี้ ที่มีความรู้จักตนเองดี ไม่เหมือนคนประเภทไร้ความสามารถเหล่านั้น แต่กลับต้องการเป็นตัวตั้งตัวตีต่อกรกับผู้อื่นอะไร ติงหลั้วเหยียนรู้จักจุดอ่อน แต่กลับไม่สูญเสียความจริงใจ
หลินหลันแตะมือลงบนมือของติงหลั้วเหยียนอย่างปลอบใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าทำใจให้สบาย ดูแลครรภ์เข้าไว้นี่สิเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เรื่องในบ้านปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าก็พอ”
ติงหลั้วเหยียนฝืนยิ้ม และกล่าวอย่างหดหู่ “ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายสำหรับเจ้าเช่นกัน เราต่างก็เป็นสะใภ้ที่ยังเยาว์วัย ล้วนไม่เคยพบเจอเรื่องประเภทนี้มาก่อน เดิมทีข้าอยากขอท่านแม่ช่วยหาหัวหน้าสาวใช้สักคนมาช่วยเหลือ ทว่าท่านแม่ข้า…เฮ้อ! ไม่พูดถึงนางดีกว่า”
“เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวลใจไปหรอก ข้าว่าแม่เหยาก็ได้เรื่องได้ราวอยู่ หากไม่ไหว ข้าไปถามท่านลุงตระกูลเยี่ยให้ส่งหัวหน้าสาวใช้ที่มีประสบการณ์มาช่วยเหลือก็เหมือนๆ กัน” หลินหลันปลอบใจนาง เห็นทีว่าการมาของติงฮูหยินในวันนี้คงพูดอะไรที่ทำให้หลั้วเหยียนไม่สุขใจเท่าไหร่นัก คนเรานี่นะ! ล้วนเห็นอำนาจและความมั่งคั่งเป็นใหญ่จนหน้ามืดตามัว
เมื่อกลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย แม่โจวกำลังอ่านนิทานให้ซานเอ๋อร์ฟังอยู่ในห้อง
“แม่โจว ท่านว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ท่านเคยเห็นผีจริงๆ หรือ เช่นนั้นผีหน้าตาเป็นเช่นไรหรือ” ซานเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
แม่โจวยิ้มเจื่อน “ตอนนั้นแม่โจวตกใจแทบแย่ มีหรือจะกล้ามองดูว่าผีนั่นหน้าตาเป็นเช่นไร”
ซานเอ๋อร์ขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า และกล่าวด้วยความเสียดาย “แม่โจว ท่านพลาดโอกาสดีๆ ที่พบเจอได้ยากยิ่งเสียแล้ว หากเป็นข้า ข้าจะมองดูให้เต็มตาว่าผีนั่นรูปลักษณ์เช่นไร”
หยินหลิ่วกล่าว “คุณชายซานเอ๋อร์ไม่กลัวผีหรือเจ้าคะ”
เสียงเด็กน้อยของซานเอ๋อร์เลียนแบบคำพูดคำจาเสมือนผู้ใหญ่ ด้วยการเอ่ยอย่างแก่แดด “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้มีภูตผีอะไรนั่น อาจารย์ข้ากล่าวว่า คนเราเสียชีวิตไปแล้วก็กลายเป็นผุยผง หากมีจริง คงเป็นคนที่แสร้งทำเป็นผีแน่นอนขอรับ”
โอ๊ะ! อาจารย์ของซานเอ๋อร์เป็นคนที่ไม่เชื่อว่าสวรรค์มีจริงสินะ ทว่า แม่โจวก็เป็นจริง เหตุใดถึงเล่านิทานที่น่ากลัวอะไรแบบนั้นให้เด็กๆ ฟังนะ หากเปลี่ยนเป็นเด็กประเภทขี้ขลาดตาขาว จะไม่ตื่นกลัวแย่หรอกหรือ
“กำลังพูดคุยอะไรอยู่หรือ” หลินหลันเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
แม่โจวและหยินหลิ่วลุกขึ้นยืนทันที “ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ แค่พูดคุยเรื่องขำขันเป็นเพื่อคุณชายซานเอ๋อร์น่ะเจ้าค่ะ!” นางกล่าวพลางมุ่ยปากไปทางซานเอ๋อร์ ซานเอ๋อร์จึงกล่าวด้วยสีหน้าระรื่น “พี่หลันเอ๋อร์ ท่านเล่านิทานให้ข้าฟังสักเรื่องสิขอรับ!” แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน
หลินหลันรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง เหตุใดเด็กๆ ถึงได้ชอบฟังนิทานนักหนา นางไม่ถนัดเรื่องนี้เอาเสียเลย
หลินหลันทำเป็นไม่ได้ยินคำร้องขอของซานเอ๋อร์ และเอ่ยถามเขา “ซานเอ๋อร์ เจ้ามาอยู่บ้านพี่ แล้วที่เรียนนั่นจะทำเช่นไรหรือ”
ซานเอ๋อร์ครุ่นคิดแล้วจึงกล่าว “อาจารย์ของซานเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ซานเอ๋อร์ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วขอรับ”
“จะได้อย่างไรกัน การเล่าเรียนจะให้ตกหล่นไปแม้แต่วันเดียวมิได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน! พี่จะกำหนดแผนการเรียนให้เจ้า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป อ่านตำรา เขียนตัวอักษร จะให้ขาดตกบกพร่องไปมิได้”
ซานเอ๋อร์ถึงกับคอตกทันที ใบหน้าที่ก้มอยู่แสดงถึงอารมณ์เศร้าสร้อย แต่กลับไม่กล้ากล่าวว่าไม่ต้องการ
หลินหลันมองดูรู้สึกน่าขำขัน เด็กๆ ใสบริสุทธิ์รักการเล่นสนุก และล้วนไม่ชอบการศึกษาเล่าเรียนทั้งนั้น ทว่าหากไม่หาเรื่องให้ซานเอ๋อร์ทำสักหน่อย เจ้าเด็กน้อยหอยสังข์นี่คงได้ว่างงานตลอดทั้งวัน ไม่แน่ว่าจะก่อกวนระเบิดระเบ้อขึ้นมาอีก นางคงรับไม่ไหวเป็นแน่
หรูอี้กลับมารายงานหลังเวลาผ่านไปไม่นานนัก กล่าวว่านายท่านใหญ่กับภรรยาเขาคุกเข่าก้มศีรษะลงบนพื้นในห้องหญิงชราพลางส่งเสียงร้องห่มร้องไห้ หญิงชราก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน จากนั้นแม่จู้เกรงว่าหญิงชราจะสะเทือนใจเกินไป จึงให้นายท่านใหญ่กับภรรยารีบออกไปเสียก่อน ตอนนี้ คุณชายใหญ่กำลังให้คนจัดที่หลับที่นอนให้นายท่านใหญ่กับภรรยาไปพักผ่อน
หลินหลันแสยะยิ้ม เกรงว่าเพราะหญิงชราได้พบเจอบุตรชายคนโตจึงเศร้าโศกอย่างยิ่งสินะ! คงยังกล่าวว่าบุตรชายกตัญญูมาก ที่รีบจากบ้านเกิดที่ห่างไกลเพียงนั้นเพื่อมาส่งในวาระสุดท้าย น่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่าบุตรชายของตนเองเป็นประเภทละโมบโลภมากอะไรนั่น คิดๆ ดูแล้วมันน่ารู้สึกเศร้าใจแทนหญิงชราจริงๆ
วันนี้เฝิงซูหมิ่นไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ซานเอ๋อร์ไม่อยู่ จึงเสมือนบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญยิ่งขาดหายไป ภายในใจรู้สึกเคว้งคว้าง ประเดี๋ยวก็นึกกังวลว่าซานเอ๋อร์อยู่บ้านตระกูลหลี่คงไม่คุ้นชิน ประเดี๋ยวก็เกรงว่าซานเอ๋อร์จะทำให้หลินหลันโมโห ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตนเองมันแย่ยิ่งนัก ในเมื่อซานเอ๋อร์ยังเป็นเด็กเล็กเพียงนั้น…
โม่เอ๋อร์เห็นนายหญิงดูกระวนกระวายไม่เป็นสุข และถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราว จึงกล่าวปลอบใจ “ฮูหยินมิต้องกังวลไปหรอกเจ้าค่ะ หมอหลินถูกชะตาคุณชายน้อยมาโดยตลอด จะต้องดูแลคุณชายน้อยอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เป็นความจริงที่ว่าเมื่อก่อนหลินหลันถูกชะตาและเอ็นดูซานเอ๋อร์ ทว่าเวลานี้เมื่อเทียบกันแล้ว ตอนนี้รู้ว่าซานเอ๋อร์เป็นน้องชายนาง ภายในใจนางคงต้องรู้สึกอึดอัดเป็นแน่ มิเช่นนั้น นางคงไม่ปฏิเสธที่จะยอมรับสามีของนางในฐานะบิดา เกรงว่าเป็นเพราะโกรธเคืองที่บิดาแต่งงานกับคนอื่นนั่นเอง
“หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าน้อยแอบไปถามไถ่ให้ดีหรือไม่เจ้าคะ” โม่เอ๋อร์กล่าวเสนอข้อคิดเห็นด้วยเสียงกระซิบ
“อย่าเชียวนะ!” เฝิงซูหมิ่นรีบหยุดยั้งทันที “อย่าลืมไปสิว่า เจ้าไปซูโจวกับข้าแล้ว ระยะนี้ เจ้าเองก็ต้องระมัดระวังไว้หน่อยเช่นกัน หากไม่มีธุระอันใดก็ไม่ต้องออกจากบ้าน”
โม่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยไปมิได้ ก็ให้ชิวเหอไปอย่างไรเจ้าคะ! เดิมทีชิวเหอก็ปรนนิบัติคุณชายน้อยอยู่แล้ว ให้ชิวเหอนำเสื้อผ้าของใช้เล็กๆ น้อยๆ ไปส่งให้คุณชายน้อย ก็บอกกล่าวไปว่าเมื่อวานฮูหยินออกเดินทางไปอย่างรีบร้อน สิ่งของหลายสิ่งหลายอย่างล้วนไม่ทันได้ตระเตรียมให้…”
ดวงตาเฝิงซูหมิ่นเปล่งประกายขึ้นมาชั่ววูบ คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันในตอนแรกเริ่มคลี่ออกจากกัน นางพยักหน้าและกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ก็น่าจะได้”
“ข้าน้อยคิดว่า หากฮูหยินยังไม่วางใจ ก็ให้ชิวเหอไปคอยปรนนิบัติด้วยสิเจ้าคะ เช่นนี้ ก็จะได้รู้สถานการณ์ของคุณชายน้อยที่บ้านตระกูลหลี่แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” โม่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฝิงซูหมิ่นคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าเข้าท่าดี จึงกล่าวขึ้นหลังครุ่นคิด “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน! เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าไตร่ตรองไม่รอบครอบเองเช่นกัน ซานเอ๋อร์ไปตระกูลหลี่ ข้างกายก็ควรมีสาวใช้สักคนไปคอยปรนนิบัติถึงจะถูก”
“เช่นนั้นข้าน้อยจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ละเจ้าค่ะ” โม่เอ๋อร์คารวะด้วยสีหน้าระรื่น จากนั้นจึงถอยออกไป
โม่เอ๋อร์เพิ่งเดินออกไป แม่หวังก็เดินเข้ามาบอกกล่าว “ฮูหยินเจ้าคะ พี่สาวของนายท่านกล่าวว่าต้องการพบท่านเจ้าค่ะ!”
เฝิงซูหมิ่นรู้สึกไม่ถูกชะตากับพี่สาวสามีผู้นี้เอาเสียเลย จึงเอ่ยถามอย่างเบื่อหน่าย “รู้หรือไม่ว่ามีเรื่องอันใด”
แม่หวังกล่าว “ข้าน้อยมิทราบเจ้าค่ะ นางกล่าวเพียงว่าต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
เฝิงซูหมิ่นกุมขมับด้วยความรู้สึกรำคาญใจอย่างยิ่ง “ในนางเข้ามาเถอะ!”
หลินต้าฟางเดินหน้าชื่นตาบานเข้ามา “น้องสะใภ้อ่า! บ้านหลังใหญ่โตก็มีไม่อยู่ เหตุใดถึงย้ายมาอยู่นี่หรือ”
เฝิงซูหมิ่นบ่นพึมพำในใจ นี่มิใช่ปัญหาที่เกิดจากการเชื่อคำพูดหลอกลวงของท่านหรอกหรือ
“ฤดูร้อนทางด้านนี้ค่อนข้างเย็นสบาย ก็เลยย้ายมาเจ้าค่ะ” เฝิงซูหมิ่นบอกกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ พลางแสดงทีท่าเชื้อเชิญให้พี่สาวสามีนั่งลง “แม่หวังช่วยไปดูน้ำชามาให้ทีสิ”
“ป้าใหญ่เคยชินกับการพักอยู่ที่นี่แล้วหรือไม่” เฝิงซูหมิ่นเอ่ยถาม
หลินต้าฟางพยักหน้าระรัว “เคยชินๆ น้องสะใภ้จัดการแต่ละเรื่องไว้อย่างรอบคอบ ครบครัน แล้วจะไม่เคยชินได้ที่ไหนกันล่ะ”
เฝิงซูหมิ่นเผยรอยยิ้มมุมปากอ่อนๆ “เคยชินก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ป้าใหญ่มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือไม่”
“ไม่มีอันใดๆ ก็แค่มาหาน้องสะใภ้พูดคุยเรื่องในบ้านเรื่อยเปื่อย ท่านว่าท่านแต่งกับน้องชายข้าก็หลายปีแล้ว เคยไปบ้านเกิดก็แค่ช่วงต้นปีหลังแต่งงานใหม่ๆ ทั้งยังรีบๆ ร้อนๆ เราพี่สาวน้องสะใภ้เลยไม่ทันได้พูดคุยกันเต็มที่” หลินต้าฟางฉีกยิ้มกว้าง
แม่หวังนำน้ำชามาให้
เฝิงซูหมิ่นรำพึงรำพันในใจ ข้ามีอะไรอยากพูดคุยกับเจ้าที่ไหนกัน เกรงว่าท่านคงไม่มาหากไม่มีเรื่องอันใดมากกว่ากระมัง!