หนิงซีฮ่องเต้ให้อวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ต่อ ก็เพราะอยากเห็นใบหน้าที่เหมือนกับคนรักในอดีตให้นานขึ้นหน่อย เมื่อหวนคิดถึงอดีต เขากลับเห็นเจี่ยงยิ่นเป็นเหมือนเสาอยู่ข้างๆ แล้วเขาจะยังคิดถึงอะไรได้อีก ครั้นมองเด็กสาวตรงหน่ให้หน้าให้ละเอียด องค์ฮ่องเต้ก็เริ่มรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่สามส่วน ตัดใจไม่ได้อยู่เจ็ดส่วน แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วและโบกมือ เป็นการบอกให้นางออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่ออกไป ไม่เพียงไม่ออกไปเท่านั้น นางยังเอ่ยปากออกมาเอง ทั้งยังเอ่ยปากเสียงสดใสเหมือนนกขมิ้น “ฝ่าบาทไม่มีวาจาใจจะเอ่ย แต่หม่อมฉันมีเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้ใจอ่อน “เจ้าพูดมาสิ”
“สาวใช้ของหม่อมฉันฐานะต้อยต่ำ การศึกษาน้อย และไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย แตกต่างจากเหล่าสนมส่วนใหญ่ในวังหลัง เข้าวังหลังไปแล้วไม่อาจขอให้ฝ่าบาทเอ็นดู เพียงขอให้นางอยู่อย่างสงบ อย่าให้นางต้องลำบาก และอย่าให้ใครได้เคียดแค้นนาง โประยืนยันว่านางจะมีชีวิตที่มีความสุขก็พอแล้วเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวพร้อมแววตาสดใส
หนิงซีฮ่องเต้กลั้นหัวเราะ “เจ้าขอมากเกินไป”
“ไม่มากเกินไปหรอกเพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม “ถ้าฝ่าบาทตั้งใจ จะต้องทำได้อย่างแน่นอนเพคะ” แม้ในวังจะแปลกประหลาดมากแค่ไหน ไม่อาจคาดเดาได้มากเพียงใด แต่ก็ดำเนินชีวิตไม่ต่างจากชาวบ้านมากนัก ยิงนกตกปลาไม่อาจทำให้โดดเด่นเกินไป ทว่าใช้ชีวิตไร้ค่าเกินไปก็ไม่ได้ จะถูกคนมองข้ามเอาได้
คนที่พื้นๆ กลางๆ จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด
แต่จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าเฟยผินคนหนึ่งจะได้รับการมีอยู่ที่เหมาะสมที่สุด ฮ่องเต้ผู้มีสวรรค์เป็นวังหลังไปทั้งชีวิต คงจะรู้คำตอบกระมัง
หนิงซีฮ่องเต้จ้องเขม็งไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น สายตาของเขาเดี๋ยวหม่นหมอง เดี๋ยวสดใส “ข้ารับปากเจ้า” เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว “ข้าอยากรู้เรื่องก่อนที่แม่ของเจ้าจะจากไป เจ้าบอกข้าหน่อย ว่านางกล่าวถึงข้าบ้างหรือไม่ ถึงแม้จะเป็นสัญญาณเล็กๆ หรือเรื่องเล็กน้อยก็ยังดี…” ในแววตาของเขายังคงมีความหวัง
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขา ไม่ได้ทำลายความหวังของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ด้วยอย่างไรเสียวันข้างหน้าก็ไม่อาจหยุดความคิดถึงที่เขามีต่อมารดาของตนได้เช่นกัน นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าในแขนเสื้อออกมากาง แล้วยื่นไปตรงหน้าของอีกฝ่าย
หนิงซีฮ่องเต้ชะงักงันไปชั่วขณะ ดวงตาเบิกโพลง เขากำลังดีใจจนไม่อาจปิดบังได้ “นี่คือผ้าเช็ดหน้าที่ข้ามอบให้นาง ยังเก็บไว้อยู่อีกหรือ ที่แท้นางก็คิดถึงข้าอยู่ตลอด…”
เจี่ยงยิ่นขมวดคิ้ว เด็กคนนี้เล่นลูกไม้อะไร นี่ไม่เท่ากับเติมถ่านไฟเก่าให้ฝ่าบาท ทำให้เรื่องนี้ไม่จบสิ้นสักทีหรอกหรือ ทว่าเขากลับเห็นหนิงซีฮ่องเต้พลันมีรอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า
เขาค่อยๆ เข้าไปดูใกล้ๆ
กิ่งเหมยโดดเดี่ยวที่ปักด้วยความโกรธเคืองเหมือนจะถูกตัดหรือใช้เข็มปลายแหลมเลาะออกไป มันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างเห็นได้ชัด ราวกับกิ่งดอกไม้แตกออกเป็นสองหน่อ
บนกลอนที่ปักอยู่ข้างใต้กิ่งเหมย ก็ขาดออกจากกันระหว่างคำว่า ‘ฉ่าง’ และ ‘ชิง’ พอดี
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!” หนิงซีฮ่องเต้เริ่มไม่สบายใจ
“หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจ ข้าพบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ในกล่องมรดกของท่านแม่” บนใบหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฏความเสียใจ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย “น่าจะเป็นของที่ควรทิ้งไป แต่สาวใช้เห็นว่ามันเป็นผ้าเช็ดหน้ามีค่าราคาแพง จึงจำใจทิ้งไม่ลง และเก็บมันไว้ลำพัง ตอนนั้นผ้าเช็ดหน้ามีลักษณะเช่นนี้แล้วเพคะ” แม้ก่อนจะยังมากระโจมหลวงจะค่อนข้างกระชั้นชิน แต่ยางก็ไม่ลืมการเตรียมตัวนี้ และเตรียมทำลายผ้าเช็ดหน้าไว้ก่อนแล้ว
พูดแล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็เพราะหนิงซีฮ่องเต้ยังฝังใจกับรักครั้งเก่า ต้องตัดความคิดพัวพันของเขา และทำลายความฝันของเขาเสีย
เจี่ยงยิ่นถอนหายใจ ทว่าหนิงซีฮ่องเต้กลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป เหมือนถูกชกหน้าอกอย่างแรงครั้งหนึ่ง ชิงเหยาทำลายผ้าเช็ดหน้าที่เป็นของแทนใช้ นั่นทำกับว่านางตัดใจแล้ว ในใจของนางไม่มีเขานานแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นมองผ้าเช็ดหน้าครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวเป็นนัยๆ ว่า “ของเก่าสำคัญเช่นนี้ ฝ่าบาทเก็บไว้เถิดเพคะ หากแม่ของข้ามีใจจริง ในคำคืนอันหนาวเหน็บเมื่อหลายปีก่อน ฝ่าบาทคงจะไม่ทิ้งจวนนั้นไปเพียงลำพัง”
ความคิดหลายปีของหนิงซีฮ่องเต้ถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างง่ายดายโดยคำพูดของเด็กสาวเพียงคำเดียว ในอกของเขาเหมือนมีบางอย่างแหลกสลาย ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผ่านไปนานทีเดียว เขาถึงจะกลั้นความเจ็บปวดในใจได้ “ออกไป พวกเจ้าไสหัวไป!”
อวิ๋นหว่านชิ่นถอยหลังไปหลายก้าว ตามเจี่ยงยิ่นออกไป
เมื่อเดินออกจากตำหนักชางผิง เลี้ยวลงจากระเบียง เจี่ยงยิ่นครุ่นคิดดูแล้ว ก็ยังคงคิดไม่ออกว่าเหตุใดครั้งนี้เจี่ยงฮองเฮาถึงได้ให้สาวใช้สกุลอวิ๋นเข้าวังอย่างใจกว้าง เขาเดินๆ หยุดๆ อยู่พักหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “ท่านกั๋วจิ้วกำลังคิดว่าเหตุใดฮองเฮาถึงออกปาก ให้เมี่ยวเอ๋อร์เข้าวังใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เจี่ยงยิ่นหัวเราะขึ้นมา “เจ้ารู้ใจข้าจริงๆ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวเสียงเรียบ “ท่านกั๋วจิ้วคุ้นเคยกับราชการงานและตำราต่างๆ มากมาย ทว่าคงได้สนใจเรื่องในวังหลังมากนัก…เป็นเรื่องของเกียรติเจ้าค่ะ”
เจี่ยงยิ่นเข้าใจในทันที
ทุกวันนี้เจี่ยงฮองเฮาคอยระแวดระวังว่าฮ่องเต้จะถูกใจบุตรสาวของสวี่ชิงเหยา บัดนี้ฮ่องเต้เอ็นดูสาวใช้ของอวิ๋นหว่านชิ่นเข้า นับว่าเจี่ยงฮองเฮาสบายใจลงได้ จึงรีบโน้มน้าวให้ฮ่องเต้นับสาวใช้ผู้นั้นในทันที ทำให้ฮ่องเต้เอาใจออกห่างจากอวิ๋นหว่านชิ่น และในเมื่อเมี่ยวเอ๋อร์หลอกฮ่องเต้ได้ จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลสวี่แน่นอน หากบอกว่าในวังไม่มีสตรีที่หน้าตาคล้ายสวี่ชิงเหยา สาวใช้ที่มีฐานะต่ำต้อยไม่มีอำนาจอะไรสำหรับเจี่ยงฮองเฮา แต่ทว่าเอาชนะลูกผู้ลากมากดีจากตระกูลปัญญาชนได้ ฮองเฮาชิงลงมือก่อน เลือกเก็บเมี่ยวเอ๋อร์ไว้ให้ฮ่องเต้ ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะคิดอะไรลึกซึ้งกับอวิ๋นหว่านชิ่น แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องทำใจข่มความรู้สึกไว้
หลังจากแยกกับเจี่ยงยิ่นด้านนอกทางเดินวังแล้ว เจิ้งหัวชิวก็เดินเข้ามา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูอวิ๋น…”
“ไม่มีอะไรแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถิด” อวิ๋นหว่านชิ่นตอบอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนพูดคุยกันระหว่างทาง เมื่อกลับถึงกระโจมแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดม่านออก นางเห็นเมี่ยวเอ๋อร์กำลังนั่งอยู่บนตั่งเล็กๆ ด้านข้างเตียงไม้ อีกฝ่ายดูจิตใจล่องลอย นางจึงอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปกอดพี่สาวเอาไว้ “เมี่ยวเอ๋อร์…”
“คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เมี่ยวเอ๋อร์ประคองนางนั่งลงบนเตียง เสียงสั่นเครืออยู่บ้าง แต่กลับถามด้วยความเป็นห่วง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางถามถึงตนเท่านั้น จึงพูดโพล่งออกไป “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เมี่ยวเอ๋อร์พ่นลมหายใจออกมา ใบหน้าแดงเหมือนไข่ไก่ต้มสุก นางไม่พูดจาอยู่นาง ท่าทางไม่เหมือนเวลาปกติเลยสักนิด
“เจ้าอยากอาบน้ำสักหน่อยหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางก้มหน้าลง จึงถามอีก
ชาติก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นเคยแต่งงานแล้ว พูดแล้วก็ยังคลุมเครืออยู่บ้าง เพราะไม่เหมือนนางได้ออกเรือนเลยสักนิด โดยเฉพาะเกิดสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ขึ้น ก็ยังไม่มีความรู้สึกรักใคร่ใดๆ
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายถามราวกับว่าไม่ได้เป็นกังวลสักนิด จึงตอบว่า “ข้าอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วด้วย”
อวิ๋นหว่านชิ่นวางใจลงบ้างแล้ว ก่อนจะเล่าเรื่องที่หนิงซีฮ่องเต้จะนางเข้าวัง รวมทั้งประทานยศให้ฟัง
เมี่ยวเอ๋อร์ตะลึงงัน นางไม่เคยคิดจะเข้าวัง ในวังดีหรือเลวอย่างไรนางก็รู้ เพียงแต่ว่าคนจำนวนหนึ่งอยากจะเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เพราะต้องการครองตำแหน่งอันสูงเกียรติ คราวนี้นางปรนนิบัติฮ่องเต้แทนคุณหนูใหญ่ นางเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว หวังเพียงแต่อย่าได้พัวพันไปถึงพี่น้องของคุณหนูใหญ่ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะได้รับยศ และเข้าวังไป
“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าจะไม่ยอมก็ได้นะ” อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางเหม่อลอย ทว่าเมี่ยวเอ๋อร์กลับส่ายหน้าราวกับของเล่นป๋องแป๋ง ก่อนจะยอมแพ้ แล้วทำหน้าดีใจตอบไปตามตรง “หากบ่าวยังอยู่ที่สกุลอวิ๋นหลังจากเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ต่อไปก็จะทำให้คนติฉินนินทา ทั้งยังโยงไปถึงสกุลอวิ๋นด้วย ในเมื่อฮ่องเต้ประทานยศให้บ่าว บ่าวก็ได้รับตำแหน่งที่ฝ่าบาทให้เป็นการชดเชย มีอะไรไม่น่ายินดีเล่าเจ้าคะ ได้เข้าวังหลวงหรือ นี่ถือเป็นโชคดีที่สุดของบ่าว ที่ทั้งชีวิตไม่คิดฝันว่าจะได้แล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่านางทำไปตามน้ำ ด้วยนิสัยปรับตัวไปตามสภาพที่ต้องเจอเช่นเดิม หลายวันมานี้นางใจเย็นลงมาก บวกกับคำกล่าวยืนยันของหนิงซีฮ่องเต้ ทำให้นางวางใจลงได้ จึงปลอบใจอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มว่า “ยังเป็นบ่าวอยู่อีกหรือ? อีกนานก็จะมีคนมารับตัวเข้าเข้าวัง เมื่อกลับไปที่เมืองหลวง เจ้าอาจจะได้ใช้ชีวิตเป็นชนชั้นสูงเชียวนะ เป็นบุตรสาวสกุลอวิ๋นไม่ได้ แต่กลับได้เป็นชนชั้นสูงในวังหลวง เง็กเซียนฮ่องเต้ติดหนี้เจ้า จึงตอบแทนเจ้าเป็นเท่าตัวเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน!”
…
เวลาผ่านพ้นช่วงบ่ายไปเนิ่นนาน มีใครบางคนกระโจมหลวงมาเยือน บอกว่าฐานะของเมี่ยวเอ๋อร์ไม่เหมือนเดิมแล้ว จึงไม่อาจปรนนิบัติใคร และจะรับตัวนางไปเรียนรู้กฏเกณฑ์บางอย่างก่อนเข้าวัง เมื่อกลับเมืองหลวงจะได้รับยศเข้าวังได้ทันที
แม้เมี่ยวเอ๋อร์จะไม่อยากจากไป แต่ก็รู้ว่านี่เป็นหนทางที่นางต้องเดิน นางร้องไห้อยู่ยกหนึ่ง ก่อนจะถูกประคองตัวจากไป
ก่อนดวงตะวันจะลับขอบฟ้า เหล่าองครักษ์ติดตามเล่าลือกันว่า สาวใช้ของสกุลอวิ๋นได้เปลี่ยนจากอีกาเป็นหงส์ เพราะฮ่องเต้ถูกตาต้องใจนาง จึงเรียกไปปรนนิบัติ ทั้งยังจะรับนางเข้าไปที่กระโจมหลวงด้วย คาดว่ากลับไปที่เมืองหลวงแล้ว นางคงจะได้รับตำแหน่ง ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างดี ดูจากฮ่องเต้ยกเลิกกำหนดการล่าสัตว์ทั้งวันเพื่อนสาวใช้คนนี้ เห็นทีจะไม่ธรรมดาแล้ว
กระโจมสตรีคึกคักขึ้นมาในทันที ทั้งยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างลับๆ ด้วยตลอดทางมาตนี้ไม่เห็นสาวใช้ของสกุลใดมีหน้าตาสะสวยถึงเพียงนั้น เหตุใดนางถึงได้โชคดีเช่นนี้!
เหล่าคุณหนูที่ร่วมเดินทางมาด้วยต่างอิจฉาตาร้อน จึงรีบมาที่กระโจมของอวิ๋นหว่านชิ่น ครึ่งหนึ่งอยากถามว่าฮ่องเต้ชอบพอสาวใจคนนั้นได้อย่างไร ส่วนอีกครั้งคิดจะประจบเอาใจนาง
เจิ้งหัวชิวโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกคนล้วนเป็นบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง หากไล่ไปก็จะดูไม่ดี ทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงแสนดี ยากที่จะพูดเป็นนัยๆ ให้พวกนางไป สุดท้ายถึงจะไล่หญิงสาวจากตระกูลสุดท้ายไปได้ ขณะเพิ่งส่งทุกคนกลับไป เจิ้งหัวชิวก็เห็นเงาร่างหนึ่งโผล่ออกมา เมื่อมองดูให้ดี ดูเหมือนจะเป็นคุณหนูรองของตระกูลแม่ทัพเฉิน นางจึงยิ้มขื่นออกไปต้อนรับ แล้วกางมือขัดขวาง “คุณหนูเฉินหรือเจ้าคะ เย็นย่ำแล้ว กลับไปกินข้าวเถิดเข้าค่ะ คุณหนูอวิ๋นก็ควรจะพักผ่อนแล้วเช่นกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเสียงของเฉินจื่อหลิงจากข้างในกระโจม จึงยื่นหน้าออกมา ก่อนจะยิ้มโดยไม่มีใครเห็น “ท่านอาเจิ้ง เป็นคนคุ้นเคยกัน ไม่เป็นไรหรอก ให้คุณหนูรองเข้ามาเถิด”
เจิ้งหัวชิวได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจว่าทั้งสองคนคิดจะพูดคุยกันตามประสาหญิงสาว จึงหลีกทาง แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน “เชิญเจ้าค่ะ”
เฉินจื่อหลิงเดินไปหน้ากระโจมโดยตรง พลางเหลือบมองเร็วๆ เห็นว่าในกระโจมมีหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียงอยู่ด้วย จึงไม่ได้เข้าไป เพียงคว้าข้อมือของอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “พี่ชายข้ากลับมาแล้ว”