เฉินจ้าวตามฉินอ๋องเข้าป่าไปล่าหมี เฉินจ้าวกลับมาแล้ว ทว่า…
“ฉินอ๋องก็กลับมาแล้วหรือ?” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดจบ กลับสะอึกไปเล็กน้อย ไม่ถูกต้อง หากฉินอ๋องกลับมา นางคงจะรู้เรื่องตั้งนานแล้ว
เฉินจื่อหลิงเข้าไปพูดใกล้ๆ ที่ข้างหูนาง “ชิ่นเอ๋อร์ พี่ชายของข้ากลับมาก่อนเพียงลำพัง ส่วนกลุ่มของฉินอ๋องอยู่ด้านหลัง ยังมาไม่ถึงลานล่าสัตว์ฮู่หลง”
“จื่อหลิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกใจโหวงเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงยังคงราบเรียบ
เป็นเพราะคดีของหลินรั่วหนานเมื่อหลายวันก่อน เฉินจื่อหลิงได้ยินคนในวังคุยกันอย่างลับๆ ว่าฉินอ๋องนำชุดคลุมให้พระสหายสวมใส่ เกรงว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา นางเห็นเพียงว่าคนในวังพวกนี้ว่างจนต้องหาเรื่องพูดเท่านั้น ครั้งนี้นางรู้แล้ว เชื่อเสียแล้วเก้าส่วน ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “เจ้าวางใจเถิด ไม่มีอะไร คนคนนั้นกลับไปแล้ว…เพียงแต่ว่าองค์ชายสามได้รับบาดเจ็บระหว่างล่าสัตว์เล็กน้อย พี่ชายของข้าจึงขี่ม้ารีบกลับมาก่อน เพื่อตามหมอไปตรวจดูอาการ”
เฉินจ้าวขี่ม้าเร็วกลับมา ภายในเรียกกันว่าเสือดาวดอกบัวลม เดิมทีเป็นเป็นบรรณาการจากแคว้นทางตะวันตก หนิงซีฮ่องเต้ประทานให้แม่ทัพเฉินออกรบเมื่อหลายปีก่อน มีประโยชน์ยิ่งนัก แม่ทัพเฉินมอบเสือดาวดอกบัวลมให้กับเฉินจ้าว หลานชายผู้มีฝีมือในการต่อสู้ ส่วนพี่น้องสกุลเฉินเรียกมันอย่างสนิทสนมว่าไล่ลม
…
ฝีเท้าของไล่ลมสุดยอดมาก เมื่อมันกินหญ้าจนอิ่มแปล้ ก็สามารถข้ามเขาข้ามน้ำได้ในหนึ่งวัน มันสามารถตรงไปถึงเป้าหมายได้โดยไม่ต้องหยุดพักสักนิด หากเป็นระยะทางสั้นๆ พริบตาเดียวก็ไปถึงแล้ว ทิ้งห่างม้าทั่วไปอยู่ไกลโข อวิ๋นหว่านชิ่นฟังมาจากเฉินจื่อหลิงหลายครั้งแล้ว
การล่าสัตว์จบลงแล้ว เหล่าทหารอยู่ระหว่างทาง หากฉินอ๋องบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เหตุใดไม่กลับมารักษาที่ลานล่าสัตว์ก่อน แต่กลับรบกวนเฉินจ้าวเรียกหมอไปช่วยก่อน?
ต้องอาการหนักเป็นแน่
“จื่อหลิง พี่ชายของเจ้าไปแล้วหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้วมุ่น
เฉินจื่อหลิงรู้จักกับนางมาหลายปี ไหนเลยจะเดาความหมายของเพื่อนสนิทไม่ออก “ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าต้องการ…” ไม่ต้องถามมาก สายตาของเด็กสาวข้างหน้าเต็มไปด้วยความวิงวอนและเด็ดเดี่ยว
“ใช่” คำนี้ออกมาจากปากของอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนจะมองเฉินจื่อหลิงอย่างรู้กัน
เฉินจื่อหลิงไม่เคยเห็นสายตาเช่นนี้ของเพื่อนสนิทมาก่อน ก่อนตกน้ำไป อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนขี้ระแวง ทำตามผู้อื่นทุกอย่างก้าว ในดวงตาทั้งสองข้างเหมือนกับมีหมอกปกคลุม เต็มไปด้วยความกังวล มองไม่เห็นหนทางตรงหน้า แต่หลังจากตกน้ำไปแล้ว นางก็ใจเย็นเข้มแข็งขึ้นมาก ทว่าก็ไม่ได้เย็นชาจนเกินไป นอกเสียจากเพื่อนเก่าสองสามคนและน้องชายแล้ว นางก็ไม่ยอมให้ใครชักจูง ทว่าวันนี้ เฉินจื่อหลิงกลับรู้สึกว่านางเปลี่ยนไปบ้าง ทำให้พูดไม่ออกไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้ถามมากความ เพียงพลิกมือของอีกฝ่ายมาจับไว้ “ดี เจ้าตามข้ามา”
อวิ๋นหว่านชิ่นสั่งเจิ้งหัวชิวทันที จากนั้นก็ตามเฉินจื่อหลิงออกไปอย่างรวดเร็ว พลางจูงมือของนางเร่งฝีเท้าไป ลมยามค่ำคืนปะทะเข้ามา ทำให้รู้สึกเจ็บกระดูกเล็กน้อย ทว่าในใจกลับมีเปลวไฟคุกรุ่น เฉินจื่อหลิงเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ด้วยความเป็นเพื่อนที่ดี อีกฝ่ายไม่เคยถามเหตุผล เพียงช่วยนางโดยไม่ลังเล ในขอบเขตที่สามารถทำได้เสมอมา
…
เจิ้งหัวชิวเห็นหลานสาวแม่ทัพเฉินลากคุณหนูอวิ๋นไป นางก็รู้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่คุณหนูไม่สะดวกใจจะพูด ในขณะเดียวกัน หานเซียงเซียงเห็นคุณหนูอวิ๋นชักช้าไม่เข้ามาสักที นางจึงยื่นหน้าออกมาด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือท่านอาเจิ้ง คุณหนูรอง หลานสาวแม่ทัพเฉินมาหรือเจ้าคะ แล้วคุณหนูอวิ๋นเล่า”
เจิ้งหัวชิวหันไปยิ้ม หลางกล่าว “หลายวันมานี้คุณหนูสกุลเฉินไม่ได้เจอคุณหนูอวิ๋นเลย เห็นทีว่านางคงจะคิดถึงคุณหนู จึงถือโอกาสที่ไม่มีใครห้ามออกไปยามค่ำคืน พาคุณหนูอวิ๋นไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวที่กระโจมของนาง” หานเซียงเซียงและเฉาหนิงเอ๋อร์รู้ว่าเฉินจื่อหลิงมีความสัมพันธ์อันดีต่ออวิ๋นหว่านชิ่นเช่นกัน จึงไม่ได้ได้คิดอะไรมา
ภายใต้ผืนฟ้า อวิ๋นหว่านชิ่นและเฉินจื่อหลิงกำลังเดินผ่านกลุ่มกระโจมที่ล้วนจุดเทียนไฟทุกหลัง พวกนางเดินผ่านขันทีและองครักษ์ที่เดินตรวจตราอยู่ตลอด สุดท้ายพวกนางก็มาถึงกระโจมด้านหลัง
เฉินจื่อหลิงคุ้นเคยกับเส้นทางอย่างเห็นได้ชัด นางจูงอวิ๋นหว่านชิ่นอ้อมไปที่มุมอับไร้คนคุ้มกันอย่างเงียบๆ หลังจากยื่นมือผลักออกเบาๆ จนเกิดเสียง ‘เอี๊ยด’ แล้ว ทั้งสองคนก็สบตากันก่อน แล้วจึงเดินออกไป
เมื่อทั้งสองคนออกไป ก็ไม่ได้หันหน้ากลับมาอีก ได้แต่เร่งฝีเท้าตรงไปในลานล่าสัตว์ พวกนางออกห่างจากกระโจมที่สว่างจ้าและเต็มไปด้วยผู้ขึ้นขึ้นเรื่อยๆ เสียงผู้คนและเสียงฝีเท้าก็บางลง เหลือเพียงเสียงลมพัดเอื่อยในบรรยากาศที่พัดผ่านข้างหู และยังมีเสียงนกร้องยามค่ำคืนดังออกมาจากในป่าลึก
…
คอกม้าแห่งหนึ่งใกล้กับลานล่าสัตว์ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเงาคนอยู่เบื้องหน้าเลือนราง ห่างออกไปประมาณหลายสิบก้าว ทั้งสองคนยืนหันหลังให้นางและเฉินจื่อหลิง กำลังขี่ม้า และยังไม่ทันได้จากไป
เฉินจื่อหลิงวิ่งเข้าไปตะโกนเสียงหนึ่ง “ท่านพี่!”
ทั้งสองคนหันหน้ากลับมา เมื่อเห็นเฉินจื่อหลิง คนทั้งคู่ตะลึงงันในทันที และเมื่อได้เห็นเด็กสาวที่อยู่ข้างหลังนาง พวกเขาก็ยิ่งประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีเขียวนั่งอยู่บนหลังม้าสีหมอกลายจุด ก็คือหมอหลวงอิง ที่อวิ๋นหว่านชิ่นเคยเจออย่างลับๆ ที่จวนท่านอ๋อง
ม้าอีกตัวหนึ่งอกผาย สะโพกกลมกลึง ขนของมันแวววาวราวกับเพิ่งอาบน้ำมา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดอาชา ส่วนชายหนุ่มที่ถือแส้และยังไม่ได้ถอดชุดล่าสัตว์ก็คือเฉินจ้าว เขากระโดดลงจากเจ้าเสือดาวดอกบัวลม เดินเข้ามาพร้อมสายตาเคร่งขรึม ก่อนจะกดเสียงตะคอกใส่น้องสาวด้วยความไม่พอใจ “จื่อหลิง!”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวมาข้างหน้า ใช้ร่างกายบังเฉินจื่อหลิงไว้ครึ่งหนึ่ง สายตาของนางแน่วแน่ยิ่งนัก “พี่ใหญ่เฉิน ข้าขอให้จื่อหลิงพามาเอง ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”
หมอหลวงอิงเร่งเร้าอยู่บนหลังม้าด้านหลังชายหนุ่ม “คุณชายเฉิน”
เสียเวลาต่อไปคงไม่เป็นการดี เฉินจ้าวไม่มีเวลาตำหนิน้องสาวในตอนนี้ ทำได้เพียงเร่งกลับไปที่คอกม้า และจูงม้าสีจาวราวกับหยก ทั้งสี่เท้าราวกับสวมถุงเท้ามาตัวหนึ่ง พร้อมทั้งส่งแส้ให้กับอวิ๋นหว่านชิ่นด้วย “ยังจำตอนที่อยู่สนามม้าสวินหลานได้หรือไม่ ว่าต้องขี่มันอย่างไร”
จิ๊ๆ เฉินจื่อหลิงกลอกตาขาวใส่พี่ชายครั้งหนึ่ง เมื่อครู่เขาตะคอกใส่ตนแทบตาย ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำรวดเร็วยิ่งนัก
“จำได้เจ้าค่ะ พี่ใหญ่เฉิน” อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามยิ้ม แม้ว่าจะเป็นการฝืนออกมาก็ตาม…เวลานี้นางยิ้มไม่ออกเลยสักนิด หลังจากรับแส้มาแล้ว ขณะที่กำลังจะเหยียบอานสีเงิน เฉินจ้าวกลับบอกให้นางรอก่อน เขายกมือขึ้นถอดเสื้อหนังบุขนนกออก แล้วพันเด็กสาวตรงหน้าอย่างแน่นหนาง่ายดายยิ่ง ก่อนจะผูกปมเล็กๆ “ตอนกลางคืน ลมในป่าพัดแรงมาก”
ด้วยออกมาอย่างกะทันหัน และในกระโจมมีทั้งเตาผิงและอ่างไฟ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงสวมเพียงชุดกระโปรงบุผ้าฝ้ายไม่หนามาก เมื่อออกมาได้สักพัก เจอกับลมในตอนกลางคืนเข้า ปลายจมูกก็เย็นเฉียบจนเป็นสีแดงระเรื่อ บัดนี้ได้สวมเสื้อกันลมหนาของบุรุษ นางก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งร่าง ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรมาก ก็เห็นเขาหมุนตัวขึ้นขี่ม้าของตัวเองแล้ว นางไม่รอช้าเช่นกัน กระโดดขึ้นขี่ม้าอย่างแผ่วเบา ก่อนจะมองเฉินจื่อหลิงครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ตามเฉินจ้าวและหมอหลวงอิงจากกลุ่มกระโจมไปอย่างรวดเร็ว
เฉินจ้าวนำทางหมอหลวงอิงและอวิ๋นหว่านชิ่น เขาจึงผ่อนฝีเท้าลงมาเล็กน้อย มือข้างหนึ่งถือแส้ ส่วนมืออีกข้างถือคบเพลิง นำทางอยู่ด้านหน้า
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่านี่ไม่ใช่การฝึกซ้อมบนสนามม้า ไม่อาจบอกให้คนข้างหน้าชะลอฝีเท้าได้ ยิ่งไม่มีโอกาสได้หยุด นางจึงทำได้เพียงจับแส้ กระชับอานม้า จ้องเขม็งไปข้างหน้า ไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้สักนิด
ทางในป่าคดเคี้ยว ทั้งเล็กแคบและสูงชัน ยิ่งเข้าไปในป่าลึกเท่าใด หมอกยามค่ำคืนก็โรยตัวลงหนาเท่านั้น เมื่อขี่ม้าห้อตะบึงไป ลมยามค่ำคืนปะทะเข้ามา ไม่ต่างอะไรกับมีดบาดพวงแก้มของอวิ๋นหว่านชิ่น หนาวกว่าตอนที่เริ่มเดินทางเมื่อครู่นี้ แม้แต่เสื้อกันลมที่เฉินจ้าวให้ก็แทบจะต้านไม่อยู่ ตอนนี้นางถึงได้ตระหนักอย่างแท้จริง ว่าพวกเขาเข้าไปล่าสัตว์ในครั้งนี้ ลำบากกว่าที่นางจินตนาการไว้เสียอีก
…