มนุษย์อสรพิษหญิงอวี่ฝูโบกสะบัดหางไปมาขณะเลื้อยมาที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง นางเองก็ถือกล่องอาหารเอาไว้ในมือเช่นกัน แต่สีหน้ากลับดูไม่ค่อยสบายใจนัก

ในกล่องอาหารนั้นแน่นอนว่ามีข้าวผัดไข่ที่นางทำด้วยตนเองบรรจุอยู่ ปู้ฟางเป็นคนบอกนางว่าหากข้าวผัดไข่ที่นางทำรสชาติเกินความคาดหมายของเขา เขาจะรับนางเป็นแม่ครัวฝึกหัดที่ร้าน แม้อวี่ฝูจะเคยทำอาหารมาบ้างเป็นครั้งคราวสมัยยังอยู่ที่เผ่า แต่นางก็ไม่เคยเรียนทำอาหารจริงจังมาก่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่มั่นใจว่าอาหารที่ตนเองทำจะผ่านการทดสอบ

พอเข้าร้านมา อวี่ฝูก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศประหลาดทันที

ใบหน้าของลูกค้าทุกคนในร้านดูกำลังพยายามกลั้นยิ้มอยู่ สีหน้าที่สลับกันไปมาระหว่างยิ้มกว้างกับจะร้องไห้นั้นทำให้พวกเขาดูเหมือนคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องการขับถ่ายชอบกล

โอวหยางเสี่ยวอี้นั่งอยู่ตรงที่นั่งใกล้ๆ ด้วยสีหน้าเดือดปุด นางทำแก้มป่อง ดูก็รู้ว่าอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก

ส่วนปู้ฟางก็ทำเพียงเดินออกจากครัวมาด้วยท่าทางสงบนิ่ง พลางวางข้าวผัดไข่กลิ่นหอมฉุยชามหนึ่งลงตรงหน้าโอวหยางเสี่ยวอี้ ก่อนจะลูบศีรษะนางเบาๆ

แต่โอวหยางเสี่ยวอี้ดูท่าจะไม่หายโกรธง่ายขนาดนั้น นางยังคงทำเป็นเมินปู้ฟาง ทำเพียงหยิบช้อนกระเบื้องขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาส่งข้าวผัดไข่เข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย ความโกรธแค้นนี้ทำให้ปู้ฟางดูราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตของนางเลยทีเดียว ภาพนี้ทำให้บรรดาลูกค้าทั้งหลายตกที่นั่งลำบากไปตามๆ กัน เนื่องจากซ่อนความรู้สึกขบขันอาไว้ได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

“เถ้า…เถ้าแก่ปู้เจ้าคะ” อวี่ฝูเรียกชายหนุ่มด้วยสีหน้ากระสับกระส่ายชอบกล

ปู้ฟางหันหลังกลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นอวี่ฝู ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที “อ้อ เจ้านั่นเอง นำข้าวผัดไข่มาหรือไม่ หากนำมาข้าจะได้ชิม”

พรสวรรค์ในการทำอาหารของอวี่ฝูนั้นต่างจากโอวหยางเสี่ยวอี้ราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงตั้งหน้าตั้งตารอชิมข้าวผัดไข่ฝีมือนาง

ส่วนข้าวผัดไข่ของโอวหยางเสี่ยวอี้นั้น…แค่นึกถึงชายหนุ่มก็ยังอดหัวใจกระตุกด้วยความสยองพองขนไม่ได้ หน้าตาของมันจัดได้ว่าเหมือนส่งมาจากนรก กลิ่นยิ่งแล้วใหญ่ เหม็นแรงเสียจนดมแล้วรู้สึก…เศร้าจนอยากเอาหน้าไปจุ่มน้ำ

ในชีวิตนี้ปู้ฟางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนเราจะทำข้าวผัดไข่ที่เลวร้ายขนาดนี้ออกมาได้…อันที่จริงแล้วจะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ก็ไม่ผิด แม่นางน้อยคนนี้ถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งวงการอาหารจากอเวจีโดยแท้

ปู้ฟางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้าวผัดไข่ของอวี่ฝูจะไม่น่าขนพองสยองเกล้าเท่าถ่านผัดไข่ของโอวหยางเสี่ยวอี้ อาหารแสนชั่วร้ายที่ทำให้ทุกคนอยากไปนอนคุยกับรากมะม่วง

เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มถาม อวี่ฝูก็พยักหน้า นางไปหาที่ว่างในร้านแล้ววางกล่องอาหารในมือลงบนโต๊ะ

ดวงตาของลูกค้าที่อยู่รายรอบเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง อะไรเกิดเข้าสิงเถ้าแก่ปู้กัน มีข้าวผัดไข่มาให้ชิมอีกชามแล้ว…

ปู้ฟางลากเก้าอี้มานั่ง พลางมองไปที่อวี่ฝูซึ่งกำลังเปิดฝากล่องอาหารด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิด กลิ่นข้าวกับไข่ก็ระเบิดออกมา

บรรดาลูกค้าในร้านต่างเริ่มพูดคุยกันจ้อกแจ้ก กลิ่นนี้หอมกว่าผลงานชิ้นเอกของโอวหยางเสี่ยวอี้มากนัก อย่างน้อยก็ยังมีกลิ่นเหมือนข้าวกับไข่ที่ผ่านการผัด

ข้าวผัดไข่ทั่วๆ ไปก็ควรมีกลิ่นหอมเช่นนี้นี่ละ

การทำอาหารแสนประหลาดจานนั้นออกมาได้ จะพูดว่าโอวหยางเสี่ยวอี้ “มีพรสวรรค์” ก็คงไม่ผิดนัก

บนจานกระเบื้องสีขาวมีข้าวผัดไข่ที่สีสันไม่ได้สวยงามนักบรรจุอยู่ จะว่าไปแล้วสีของมันดูคล้ำประหลาด เทียบไม่ได้เลยกับข้าวผัดไข่ของปู้ฟางที่แทบจะเรืองแสงสีทองได้ แต่เนื่องจากเป็นอาหารฝีมืออวี่ฝูจึงพอจะมองข้ามไปได้

ใบหน้าของปู้ฟางไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เขาเพียงพยักหน้าน้อยๆ แล้วหยิบช้อนกระเบื้องขึ้นมาตักข้าวผัดไข่ ชายหนุ่มยกช้อนเข้าไปใกล้จมูกเพื่อดม เมื่อได้กลิ่นหอมเข้มข้นจากอาหารในช้อน ในใจก็เริ่มรู้สึกยอมรับขึ้นมาเล็กๆ

โอวหยางเสี่ยวอี้ที่กำลังถือชามข้าวผัดไข่ฝีมือปู้ฟางอยู่หันไปมองเหตุการณ์นั้นเช่นกัน แต่ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตากินต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ปู้ฟางชิมข้าวผัดไข่ในช้อน เขาค่อยๆ เคี้ยวอย่างพิถีพิถัน กลิ่นหอมของไข่ลอยล่องอยู่ในปาก รสชาติของมันจัดว่ากำลังพอดี ไม่เค็มแต่ก็ไม่จืดจนเกินไป แม้คุณภาพของข้าวจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ทำออกมาได้สุกพอดีไม่มีที่ติ เมล็ดข้าวนั้นกระเด้งกระดอนในปากของเขาทันทีที่ผ่านริมฝีปากเข้าไป

“แม้คุณภาพของวัตถุดิบที่เลือกใช้จะจัดว่าแย่ แต่เจ้าก็สามารถจับทิศทางของรสชาติแบบที่ควรจะเป็นได้ แล้วยังควบคุมความร้อนได้ดี กลิ่นของทั้งไข่และข้าวสำแดงออกมาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงข้าวทุกเมล็ดจะไม่ได้ถูกห่อหุ้มด้วยไข่อย่างพอดิบพอดี แต่เจ้าก็ทำผลงานใช้ได้ ถ้าเทียบกับระดับความสามารถในปัจจุบัน…”

ปู้ฟางพูดเป็นน้ำไหลไฟดับเหมือนท่อรั่วทุกครั้งที่ต้องวิจารณ์อาหาร เขามีหลายอย่างที่อยากพูด และจะพูดไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะหนำใจ นอกจากนี้ยังไม่มีการรักษาน้ำใจใดๆ ทั้งสิ้น แถมยังชี้จุดออกทุกจุดไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดอีกด้วย

อวี่ฝูพยักหน้ารับคำติชมอยู่ตลอด สีหน้าของนางเปลี่ยนจากกระวนกระวายเป็นสงบนิ่ง จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง

ข้าวผัดไข่ฝีมือนางถูกปู้ฟางติเสียจนไม่เหลือชิ้นดี เมื่อเห็นว่ามันมีข้อเสียมากมายก่ายกองถึงเพียงนี้ ก็คงเป็นการยากยิ่งที่ปู้ฟางจะรับนางเป็นแม่ครัวฝึกหัดของร้าน…นางทำไม่สำเร็จแน่ ไม่ต้องบอกก็รู้

“เจ้าต้องมั่นใจในตัวเอง ในฐานะคนทำอาหาร เจ้าต้องมั่นใจในสิ่งที่ตนเองทำ และเชื่อมั่นในคุณภาพอาหารของตน อาหารของเจ้าอาจจะไม่ได้อร่อยเลิศเลอที่สุด แต่เจ้าก็ตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่ ความทุ่มเท พลังใจ และความมั่นใจของเจ้าจะส่งผลต่ออาหารที่ทำ และทำให้อาหารของเจ้าอร่อยมากขึ้นไปอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดของปู้ฟาง โอวหยางเสี่ยวอี้ก็ดึงหน้าขุ่นเคืองทันที นางยัดข้าวผัดไข่เข้าปาก จากนั้นก็ทำตาโตพลางตะโกนสู้ “ความมั่นใจของข้าสูงลิ่วจนหลังคาบ้านแทบทะลุ! ข้าว่าข้าวผัดไข่ของข้ารส…”

“เจ้าก็มั่นใจเสียจนมองไม่เห็นความจริง…” ปู้ฟางหันไปมองเด็กหญิงที่กำลังตั้งท่าจะประท้วงพลางเอ่ยขัดนาง

เปลี่ยนข้าวให้เป็นถ่านผัดไข่ได้…เจ้าไปเอาความมั่นใจผิดๆ เช่นนี้มาจากไหนกัน แม่หนู

โอวหยางเสี่ยวอี้ชะงักไป นางทำเสียงชิชะก่อนจะตั้งใจเคี้ยวข้าวผัดไข่ในปากต่อ ยอมรับว่าหากเทียบกับข้าวผัดไข่ฝีมือนายท่านตัวเหม็นแล้ว อาหารของนางยังต้องพัฒนาอยู่บ้าง…เอ่อ ความจริงอาจจะไม่ใช่อยู่บ้าง แต่เป็นอีกมากต่างหาก

“แม้ข้าวผัดไข่ของเจ้าจะมีข้อผิดพลาดหลายข้อ แต่ก็ยังจัดว่าผ่านการทดสอบสมกับความคาดหวังที่ข้าตั้งไว้ เจ้าจงกลับมาที่ร้านพรุ่งนี้ ข้าจะสอนวิธีทำข้าวผัดไข่ให้” ปู้ฟางประกาศผลในที่สุด

อวี่ฝูเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจพลางมองหน้าปู้ฟาง แปลว่านางได้เป็นแม่ครัวฝึกหัดร้านเถ้าแก่ปู้แล้วเช่นนั้นหรือ

“ไม่ยุติธรรมเลย ข้าขออุทธรณ์!” โอวหยางเสี่ยวอี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางจ้องปู้ฟางตาเขียวปั้ด

ชายหนุ่มทำเพียงลูบศีรษะอีกฝ่าย จากนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อเดินเข้าครัว

“จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงอะไร เรื่องการทำอาหารนี้พรสวรรค์ที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดนับว่าเป็นเรื่องใหญ่” ปู้ฟางเดินไปทางห้องครัวพร้อมโบกมือพูดตอบเด็กหญิงไปด้วย

โอวหยางเสี่ยวอี้กระทืบเท้าตึงตังด้วยความโมโห สายตาจ้องไปที่หลังของปู้ฟางเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ นางคำรามฮึดฮัด จากนั้นก็ยัดข้าวผัดไข่ใส่ปากอีกคำ

ส่วนอวี่ฝูก็ปิดปากยิ้มอย่างอดไม่ได้

จู่ๆ นางก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าโอวหยางเสี่ยวอี้ทำข้าวผัดไข่ออกมาหน้าตาเป็นเช่นใด ถึงโดนเถ้าแก่ปู้ทำเมินชนิดไม่ไยดีขนาดนี้

  …

ณ ท้องพระโรงแห่งพระราชวังหลวง

ขันทีเหลียนฟู่ยืนอยู่ในท้องพระโรง พร้อมท่าประจำตัวด้วยการจีบนิ้วกลางและนิ้วโป้งเข้าหากัน ข้างกายเขามีบุคคลสำคัญของอาณาจักรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเซียวเหมิง หยางโม่ โอวหยางซงเหิง และนักรบคนอื่นๆ ของจักรวรรดิ

จีเฉิงเสวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์ กำลังเอามือเท้าคางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

“องค์จักรพรรดิพะย่ะค่ะ ราชาอวี่ได้หลบหนีออกจากสุสานหลวงและอันตรธานหายไป สายข่าวรายงานว่าเขาถูกคนจากเกาะมหายานนำตัวไปพะย่ะค่ะ” เซียวเหมิงผสานมือทำความเคารพจีเฉิงเสวี่ย จากนั้นก็ทูลรายงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

การหลบหนีออกจากสุสานหลวงของจีเฉิงอวี่นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ในตอนที่นครหลวงยังเนืองแน่นไปด้วยบรรดาขั้นนักพรตยุทธการ จีเฉิงเสวี่ยยุ่งวุ่นวายกับกิจการบ้านเมืองที่อยู่ในขีดอันตรายจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ แต่บัดนี้เหตุการณ์ร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาจึงเบนความสนใจกลับมาที่เรื่องการหลบหนีของจีเฉิงอวี่อีกครั้ง

“สำนักเกาะมหายานนี้เป็นเสี้ยนหนามชิ้นใหญ่ของอาณาจักรโดยแท้ ตอนแรกก็มีเจ้ามู่เฉิงผู้แสนเจ้าเล่ห์เพทุบาย จากนั้นก็ยังมาลอบพาตัวจีเฉิงอวี่หลบหนีอีก หรือว่ากำลังวางแผนหนุนราชาอวี่ให้กลับมาท้าทายอำนาจของจักรวรรดิวายุแผ่วกัน ช่างเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“องค์จักรพรรดิพะย่ะค่ะ ข้ารับใช้ผู้แสนต่ำต้อยคนนี้มีความคิดเห็นดังนี้พะย่ะค่ะ จีเฉิงอวี่นั้นถูกท่านจักรพรรดิองค์ก่อนพิพากษาให้ต้องโทษจองจำอยู่ที่สุสานหลวง การหลบหนีของเขาไม่ต่างอะไรกับนักโทษแหกคุก และเป็นการละเมิดราชโองการประกาศิตของราชบัลลังก์ นี่เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ จีเฉิงอวี่ควรถูกจับตัวมาลงโทษอย่างสาสมพะย่ะค่ะ”

บรรดาขุนนางหลายคนในท้องพระโรงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ ทำให้คิ้วของจีเฉิงเสวี่ยขมวดแน่นขึ้นอีก

เกาะมหายานนั้นจัดเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ หากไม่นับสำนักความลับแห่งสวรรค์ เกาะมหายานจัดว่าเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่รองลงมา หากนครหลวงของจักรวรรดิอยากกำจัดเกาะนี้ให้สิ้นซาก พวกเขาจะต้องจ่ายราคาที่แพงแสนแพง ซึ่งเป็นราคาที่จีเฉิงเสวี่ยไม่ยอมจ่ายอย่างแน่นอน

เขาเพิ่งได้นั่งบนบัลลังก์ไม่นาน ยังมีหลายร้อยหลายพันอย่างที่ต้องชำระสะสางเพื่อให้จักรวรรดิกลับมาผาสุกดังเดิม คะแนนนิยมในตัวเขานั้นยังไม่ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดในหมู่ประชาชนด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วความรักที่ประชาชนมีต่อตัวเขายังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจักรพรรดิฉางเฟิ่งเลย

แน่นอนว่าเขาคงไม่กล้าตัดสินใจส่งกองทหารไประรานชาวบ้านโดยไม่ตรึกตรองให้ถี่ถ้วน เพียงเพื่อจะจับตัวจีเฉิงอวี่

แต่ตราบใดที่จีเฉิงอวี่ยังคงโลดโผนโจนทะยานอยู่นอกอาณาจักร อีกฝ่ายก็ถือเป็นตัวแปรที่คาดเดาไม่ได้ พร้อมสร้างความหายนะให้บังเกิดกับอาณาจักรได้ตลอดเวลา และหากจีเฉิงอวี่ฟื้นพลังปราณกลับมาได้ ด้วยพรสวรรค์ด้านพลังปราณและชื่อเสียงของเขา การจะรวบรวมทหารเพื่อสร้างกองทัพจึงไม่ใช่เรื่องยาก และตอนนั้นละที่อีกฝ่ายจะถือเป็นหอกข้างแคร่ที่แท้จริง

แต่จีเฉิงเสวี่ยเองก็ไม่ได้กังวลมากเกินไปนัก ไม่ว่าจีเฉิงอวี่จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของอาณาจักร หากไม่มีกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลัง อย่างไรก็คงไม่ทำให้อาณาจักรทั้งอาณาจักรถึงคราววิบัติ

“องค์จักรพรรดิพะย่ะค่ะ ราชาอวี่หลบหนีไปได้เพราะข้าน้อยคนนี้ ข้าเองเป็นคนผิดพะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยจึงอยากขอประทานพระราชานุญาตจากองค์จักรพรรดิ ให้ข้าน้อยได้ออกตามล่าและนำตัวราชาอวี่กลับมาให้จงได้พะย่ะค่ะ” เหลียนฟู่เปิดปากพูดขึ้นมา ทำเอาทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจไปตามๆ กัน

จีเฉิงเสวี่ยเองก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่ได้คาดคิดว่าเหลียนฟู่จะเสนอตัวออกโรงเองเช่นนี้

“องค์จักรพรรดิพะย่ะค่ะ โปรดประทานพระราชานุญาตให้ข้าน้อยได้ออกตามล่าตัวราชาอวี่ด้วยเถิด เขาได้ละเมิดคำสั่งของจักรพรรดิองค์ก่อน ย่อมถือเป็นการปรามาสกระด้างกระเดื่องต่อองค์จักรพรรดิผู้ล่วงลับ ข้าน้อยคนนี้ต้องการทำให้เขาได้รู้ ว่าพระเกียรติอันยิ่งใหญ่ยากหาผู้ใดเปรียบของจักรพรรดิองค์ก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาหยามกันได้ง่ายๆ เช่นนี้” เสียงแหลมของเหลียนฟู่ดังสะท้อนไปทั่วท้องพระโรง เขาจีบนิ้วโป้งและนิ้วกลางเข้าหากัน พร้อมประกาศด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง