ทุกคนในท้องพระโรงต่างกลั้นหายใจพลางหันไปมองจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เพื่อรอคำตอบ พวกเขาต่างอยากรู้ว่าจักรพรรดิหนุ่มจะตอบรับคำขอของเหลียนฟู่หรือไม่ และจะประทานพระราชานุญาตให้เหลียนฟูออกเดินทางไปจับตัวจีเฉิงอวี่หรือเปล่า หากใช่ นี่ก็ถือเป็นการวางแผนสังหารกันเองในหมู่พี่น้องเลยทีเดียว

จีเฉิงเสวี่ยครุ่นคิดอย่างหนัก เขาสองจิตสองใจจนไม่สามารถตัดสินใจได้ เนื่องจากถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน การต้องตัดสินใจอะไรเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับชายหนุ่ม

แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าหากปล่อยให้จีเฉิงอวี่วิ่งเล่นอยู่ในโลกภายนอก ไม่ช้าก็เร็วอีกฝ่ายต้องกลายมาเป็นศัตรูตัวร้ายและเป็นภัยต่อความมั่นคงของอาณาจักรแน่ ทันทีที่จีเฉิงอวี่รวบรวมกำลังพลได้มากพอ เขาต้องพยายามกลับมาทวงบัลลังก์ ไม่มีทางที่คนอย่างจีเฉิงอวี่จะปล่อยให้จีเฉิงเสวี่ยนั่งเสวยสุขอยู่บนบัลลังก์อย่างสบายใจต่อไปแน่

“ข้าอนุญาต”

หลังจากที่คิดอยู่เป็นนาน จีเฉิงเสวี่ยก็พูดออกมาในที่สุด จากนั้นเขาก็หลับตาลงแล้วไม่พูดอะไรอีก ทุกคนในท้องพระโรงยังคงไว้ซึ่งความเงียบงัน

การว่าราชการในท้องพระโรงสิ้นสุดลงแล้ว บรรดาขุนนางชั้นสูงทั้งหลายต่างพากันออกจากท้องพระโรงไป แต่จีเฉิงเสวี่ยกลับดึงตัวเซียวเหมิงเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายงุนงงมิใช่น้อย

จักรพรรดิหนุ่มขยับตัวลุกออกจากบัลลังก์แล้วเดินวนไปวนมาในท้องพระโรง ดวงตาของเขามืดมนด้วยความทุกข์

  …

สายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิตกลงอาบพื้นแผ่นดินอีกครั้ง ทำให้ท้องฟ้าดูมืดครึ้มพอตัวเนื่องจากแสงแดดส่องลงมาน้อยกว่าปกติ

ที่ด้านนอกกำแพงเมืองของนครหลวง จีเฉิงเสวี่ยและเซียวเหมิงอยู่ในชุดลำลอง ทั้งสองมาเพื่อส่งเหลียนฟู่ออกเดินทาง ก่อนจะถอนหายใจยาว เมื่อเห็นแผ่นหลังของเหลียนฟู่ค่อยๆ หายไปจากสายตา

ในราชวงศ์ผู้ครองอาณาจักรนั้น การสังหารพี่น้องด้วยกันเองไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด สิ่งที่แปลกคือ หลังจากที่จีเฉิงเสวี่ยได้บัลลังก์ไปครองแล้ว ความโหดร้ายของโชคชะตาแห่งการแย่งชิงอำนาจกลับยังคงอยู่

จักรพรรดิหนุ่มหันหลังกลับ เอามือไพล่หลัง แล้วเดินไปบนถนนสายหลักของนครหลวง ถนนนี้ยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เดินขวักไขว่เหมือนผึ้งแตกรังเช่นเดิม เมื่อเทศกาลฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง ประชาชนก็กลับมาใช้ชีวิตตามกิจวัตรปกติอีกครั้ง นั่นคือการทำงานตั้งแต่ย่ำรุ่งจนย่ำค่ำ

แม้จีเฉิงเสวี่ยจะเป็นจักรพรรดิ แต่กลับไม่มีใครรู้จักใบหน้าของเขา เขาดูเป็นเพียงประชาชนคนเดินดินธรรมดาที่เดินไปมาบนถนน ท่ามกลางผู้คนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขยันขันแข็ง

ตำหนักไร้กังวลตั้งอยู่ห่างไกลจากความเจริญในนครหลวง

จีเฉิงเสวี่ยเดินมาถึงหน้าตำหนัก แต่กลับยืนนิ่งไม่ยอมเคลื่อนไหวอยู่สักพัก เซียวเหมิงที่อยู่ด้านหลังมองจีเฉิงเสวี่ยพลางหันไปมองที่ตำหนักนั้นเช่นกัน แม่ทัพใหญ่ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ คนเดียวอยู่ในอก

“แม่ทัพเซียว เราเข้าไปเยี่ยมด้านในกันเถิด” พอพูดเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินเอามือไพล่หลังไปทางตำหนัก

เขาแสดงตราหลวงเพื่อไล่องครักษ์ที่มีหน้าที่กันคนนอกออกไป ทั้งสองเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย

ตำหนักนั้นตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม เสียงหัวเราะคิกคักหวานหูของหญิงสาวมากหน้าหลายตาลอยออกจากบริเวณสวน ทำให้บรรยากาศดูน่ารื่นรมย์มากขึ้นไปอีก กลางวงนั้นมีร่างหนาร่างหนึ่งกำลังสนุกสนานอยู่ท่ามกลางหมู่สาวงาม

“องค์ชายของข้า มีคนอยู่ตรงนั้นเพคะ” สตรีสาวสวยร่างผอมร่างหนึ่งหันมามองทางจีเฉิงเสวี่ยและเซียวเหมิงด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นก็หันไปบอกจีเฉิงอันที่กำลังหยอกเย้าอยู่กับบรรดาสาวน้อย

จีเฉิงอันชะงักไป เขาหันกลับมามอง แล้วก็เห็นจีเฉิงเสวี่ยยืนนิ่งหลังตรงเผงเหมือนกระบี่เล่มยาวอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มหรี่ตาพลางยิ้มอย่างรู้ทัน

“ไม่ต้องไปสนใจหรอก เรามาสนุกกันต่อเถิด” จีเฉิงอันทำเพียงหัวเราะน้อยๆ พลางหันมาดึงสตรีร่างอวบอัดนางหนึ่งเข้าไปในอ้อมอก ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น จากนั้นเสียงกระเซ้าเย้าแหย่สนุกสนานก็ดังสะท้อนไปทั่วตำหนักไร้กังวลต่อไป

เจ้าอยากให้ข้าใช้ชีวิตสนุกสนานให้เต็มที่มิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็จะมีความสุขให้ดู

เซียวเหมิงถอนหายใจเงียบๆ ส่วนดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยก็มืดลง แม้ใบหน้าจะยังคงไร้ความรู้สึกตามเดิม

“ไปกันเถิด” จีเฉิงเสวี่ยมองจีเฉิงอันด้วยสายตาเย็นชา องค์ชายหนึ่งนั้นยังคงเต้นรำสนุกสนานกับสาวสวยต่อไป ส่วนจักรพรรดิหนุ่มก็หันหลังเพื่อกลับออกจากที่แห่งนั้น

อันที่จริงการเป็นราชาไร้ราชกิจก็ไม่ได้แย่สำหรับอดีตองค์ชายรัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่…อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องตัดสินใจสังหารพี่น้องพ่อเดียวกัน

  …

วันต่อมา อวี่ฝูตื่นเช้าเป็นพิเศษ บิดาของนางและอาหนีออกจากนครหลวงไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงนางอยู่ที่นี่ตนเดียวเท่านั้น แต่แทนที่จะกลัว อวี่ฝูกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น

เนื่องจากนางกำลังจะได้เรียนวิชาการทำอาหารจากเถ้าแก่ปู้

อวี่ฝูแต่งตัวหน้ากระจกอย่างระมัดระวัง หวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะแต่งองค์ทรงเครื่องออกมาได้สวยงามที่สุดในวันนี้ นางจัดว่าเป็นสาวงามในเผ่าของตนเอง หากตั้งใจแต่งตัวอีกสักหน่อย น่าจะทำให้ใครหลายๆ คนถึงกับลืมหายใจได้

แต่หญิงสาวก็ไม่ได้แต่งหน้ามากเกินไป เนื่องจากรู้ดีว่าปู้ฟางไม่น่าจะชอบใจนัก เพราะจะทำให้ประสาทการรับกลิ่นอาหารมีประสิทธิภาพลดลง

อวี่ฝูออกจากโรงเตี๊ยมมาพร้อมกางร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน นางโบกสะบัดหางสีเขียวไปมาเพื่อเลื้อยไปยังตรอกเล็กซึ่งเป็นจุดหมาย

นครหลวงนั้นรื่นเริงมีชีวิตชีวากว่าเผ่ามนุษย์อสรพิษที่นางจากมามากโข แต่บรรดามนุษย์ทั้งหลายก็ทำเพียงรีบรุดเดินตัดผ่านถนนไปด้วยความเร่งรีบ ไม่มีใครหยุดเพื่อทักทายกันอย่างอบอุ่นเหมือนที่ที่นางจากมา นี่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าในเมืองพอสมควรเลยทีเดียว

อวี่ฝูถือร่มเอาไว้ในมือ จากนั้นก็เลื้อยผ่านถนนของนครหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนอย่างโดดเดี่ยว

ฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิโปรยปรายลงมายังผืนดิน ไหลผ่านคอเสื้อของใครหลายคน ทำให้รู้สึกเย็นชื่นชุ่มฉ่ำไปทั้งกายใจ

อวี่ฝูเลื้อยเข้าตรอกจนมาถึงหน้าร้าน สุนัขสีดำตัวใหญ่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินซี่โครงเปรี้ยวหวานในชามกระเบื้อง นางยิ้มให้ตนเองพลางโบกสะบัดหางเลื้อยเข้าร้านไป

โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังจดรายการที่ลูกค้าสั่ง เมื่อเด็กหญิงเห็นอวี่ฝู นางก็สะบัดหน้าหนีแล้วพ่นลมเยาะออกมาทันที

ปู้ฟางเดินออกมาจากครัวพอดี เขากำลังเช็ดหยดน้ำออกจากมือขณะพยักหน้าเมื่อเห็นอวี่ฝู

“เจ้าต้องรอสักพัก พอร้านปิดทำการแล้วข้าจะสอนทำอาหาร ระหว่างนี้เจ้าไปช่วยเสี่ยวอี้ดูแลลูกค้าก่อน” ชายหนุ่มบอกนาง

อวี่ฝูพยักหน้าอย่างว่าง่าย นางโบกสะบัดหางแล้วมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ โอวหยางเสี่ยวอี้ทันที

โอวหยางเสี่ยวอี้สะบัดหน้าหนีอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ ดูก็รู้ว่าอิจฉาที่นายท่านตัวเหม็นเลือกอวี่ฝูไม่ใช่นาง

แต่อวี่ฝูกลับไม่ได้รู้สึกแย่แม้แต่น้อย นางเคยมาที่ร้านหลายครั้ง และรู้ดีว่าเสี่ยวอี้นั้นมีนิสัยเป็นอย่างไร อวี่ฝูมั่นใจว่าอีกไม่นานนางจะต้องกลับมายิ้มร่าดังเดิมอย่างแน่นอน

ปู้ฟางมองทั้งสองพลางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องครัวไป

“เถ้าแก่ปู้ ลูกค้าสั่งเนื้อตุ๋นตำรับจีน ซี่โครงเปรี้ยวหวาน น้ำแกงเต้าหู้หัวปลา อย่างละจานเจ้าค่ะ” เสียงหวานของอวี่ฝูลอยมาเข้าหูปู้ฟาง

ชายหนุ่มปรับตัวไม่ทันจึงทำอะไรต่อไม่ถูก เนื่องจากเขาเคยชินกับเสียงตะโกนปรอทแตกของโอวหยางเสี่ยวอี้ จึงรู้สึกเหมือนถูกจับออกจากน้ำร้อนโยนใส่ในน้ำเย็นอย่างไรอย่างนั้น

แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ไม่นานชายหนุ่มก็กลับมาตั้งใจทำอาหารได้อีกครั้ง

กลิ่นหอมลอยออกจากห้องครัว ทำให้ทั่วทั้งร้านหอมฟุ้งน่ารื่นรมย์

ยามอาทิตย์อัสดง ร้านที่ยุ่งวุ่นวายทั้งวันก็ปิดทำการ ปู้ฟางลากเก้าอี้มานั่งที่หน้าทางเข้าและกำลังพักผ่อนหย่อนใจสั้นๆ เขามองอาทิตย์ตกพลางถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ

อวี่ฝูกับเสี่ยวอี้นั่งอยู่ข้างๆ กันในร้าน ทั้งสองเอาศีรษะมาสุมกันพลางหัวเราะคิกคักเป็นพักๆ ดวงตากลมโตของโอวหยางเสี่ยวอี้หยีเล็กจนเป็นสระอิ ขณะที่นางหัวเราะร่าอย่างมีความสุข

หลังจากที่พักเหนื่อยแล้ว โอวหยางเสี่ยวอี้ก็โบกมือลาปู้ฟางและอวี่ฝู นางออกจากร้านเพื่อกลับไปยังจวนโอวหยาง

ตอนนี้ในร้านเหลือเพียงปู้ฟางและอวี่ฝูเท่านั้น หญิงสาวกลับมากระวนกระวายและเงียบกริบดังเดิมเมื่อเด็กหญิงจากไป

“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าควรทำใจให้สบาย อารมณ์ของเจ้ามีผลต่อการทำอาหารด้วยเช่นกัน” ปู้ฟางมองอวี่ฝูที่กำลังกระสับกระส่ายแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

อวี่ฝูรีบยืดตัวตรง นางโค้งคำนับปู้ฟางพลางตอบรับเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

ปู้ฟางยิ้มออกมา แม่นางคนนี้นี่…

“ข้าจะสอนอาหารจานที่เจ้าทำเมื่อวานก่อน ซึ่งก็คือข้าวผัดไข่ แต่ข้าวผัดไข่ของข้านั้นไม่เหมือนข้าวผัดไข่ที่เจ้าทำด้วยตนเองเมื่อวาน หวังว่าเจ้าจะทำตามได้โดยเร็ว” ปู้ฟางลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสาย แล้วประกาศให้หญิงสาวรับทราบ

อวี่ฝูยืดตัวตรงแข็งทื่ออีกครั้ง นางทำความเคารพปู้ฟางพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ” ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ทำตัวสบายๆ ก็ได้ ข้าไม่กินหัวเจ้าหรอก” ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี จึงทำได้เพียงตอบกลับอย่างสงบนิ่ง จากนั้นเขาก็ปิดทางเข้าร้าน

ปู้ฟางเดินไปที่ทางเข้าครัว เขาหยุดพลางกระดิกนิ้วเรียกอวี่ฝูที่ยืนอยู่ไกลให้เข้ามาใกล้ๆ “ตามข้าเข้าครัวมา

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ายอมให้คนอื่นเข้าครัวของข้า”