ตอนที่ 174 แปลก
นางจักปล่อยให้อันหลิงเกอกับมู่จวินฮานอยู่ให้ห้องด้วยกันได้เยี่ยงไร ?
มิว่าจักคิดเยี่ยงไร หมิงซินก็รู้สึกว่ามิเหมาะสม นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางฝ่าฝืนคำสั่งของคุณหนู นางยืนอยู่ที่เดิมมิขยับไปไหน “แต่ คุณหนูเจ้าคะ เขา…”
“มิเป็นไร เจ้าออกไปก่อน” อันหลิงเกอมิอยากอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟัง ได้แต่ทำหน้าตึงแล้วบอกให้นางออกไป
เมื่อเห็นอันหลิงเกอค่อนข้างโมโห หมิงซินจึงได้เงียบปากแล้วถอยออกจากห้องอย่างมิเต็มใจ
มู่จวินฮานเคี้ยวอาหารอย่างเชื่องช้า หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็กล่าวออกมาว่า “ดูเหมือนสาวใช้ของเจ้ามิชอบข้ามากทีเดียว”
อันหลิงเกอกลอกตาให้เขา “ก็ท่านไปขอให้ฮ่องเต้ยกเลิกการหมั้นหมายกับข้า ถ้านางมิเกลียดท่านก็แปลกแล้วเจ้าค่ะ”
ทว่าเราสองคนคุยกันเรื่องนี้แล้ว !
มู่จวินฮานเผยใบหน้าน้อยใจออกมา ใบหน้าหล่อเหลาราวปิศาจเริ่มมีเค้าโครงของความน่าสงสารเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้นอันหลิงเกอก็หัวเราะเสียงดังจนดวงตาของนางโค้งดั่งพระจันทร์เสี้ยว “ถ้าให้ผู้อื่นรู้ว่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องมู่ทำตัวเหมือนเด็ก ขายความน่ารักโดยการทำตัวน่าสงสาร พวกเขาคงตกตะลึงอ้าปากค้างจนคางตกถึงพื้นเลยกระมัง”
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็รีบเก็บสีหน้าน้อยใจแล้วเริ่มเข้าประเด็นทันที “เจ้าบอกว่าจักเกิดโรคระบาดในเมืองหลวง เจ้ามั่นใจหรือไม่ ? ”
ตอนนั้นอันหลิงเกอบอกว่าในฤดูร้อนของปีนี้จักมีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมืองหลวง แต่ตอนนี้ก็เข้าต้นฤดูร้อนแล้ว ตัวเขาเองได้ส่งคนออกไปตรวจตราโดยรอบเมืองหลวงนานแล้ว ทว่ามิเห็นสัญญาณของโรคระบาดแม้แต่น้อย
“ข้ามั่นใจเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอวางตะเกียบ นางตอบมู่จวินฮานด้วยท่าทางเคร่งขรึม “แม้ข้าอธิบายสาเหตุให้ท่านฟังมิได้ แต่มิเกินเดือนสามต้องเกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหลวงอย่างแน่นอน”
ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมาได้ยินคำของอันหลิงเกอก็คงเข้าใจผิดว่านางสติมิค่อยดีและกำลังกล่าววาจาเหลวไหลหรือไม่ก็มีเจตนาร้าย
มู่จวินฮานรู้ดีว่าอันหลิงเกอมิเคยทำเรื่องที่มิมั่นใจมาก่อน และยิ่งมิทำเรื่องผิดศีลธรรม เขาจึงมิสงสัยในคำกล่าวของนางแม้แต่น้อย
เขาพยักหน้ารับพร้อมเผยแววตายากหยั่งถึง
“ฮ่องเต้มีพระราชโองการแล้ว ให้ข้าเดินทางไปม่อเป่ยภายในสามวันข้างหน้า” เขาหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อชั่งใจในคำกล่าวของตน “หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือในยามที่ข้ามิอยู่ที่นี่ก็ให้องครักษ์เงาส่งข่าวถึงข้า พวกเขารู้ดีว่าจักติดต่อข้าเยี่ยงไร”
อันหลิงเกอรู้สึกตกตะลึง นางหลงเข้าใจผิดว่ามู่จวินฮานจักได้อยู่ในเมืองหลวงอย่างน้อยสักอีกสิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน แล้วเหตุใดเขาต้องไปม่อเป่ยเร็วถึงเพียงนี้ ?
ฮ่องเต้ทรงรีบร้อนเกินไปแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ระวังตัว”
คำพูดนับพันถูกรวมเป็นประโยคเดียวในเวลานี้ แววตาวิตกกังวลของอันหลิงเกอทำให้มู่จวินฮานรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
แต่ในขณะที่มู่จวินฮานกำลังจักเอ่ยอันใดออกมา เขาก็เหลือบไปเห็นร่างของคนสองถึงสามคนบินผ่านโรงน้ำชาฝั่งตรงข้ามไปอย่างรวดเร็ว
ในเมืองหลวงมีคนกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ?
เขาเริ่มสงสัย เมื่อเอ่ยบางอย่างกับอันหลิงเกอแล้ว ร่างสูงใหญ่ของมู่จวินฮานก็กระโดดออกจากหน้าต่างแล้วรีบตามคนพวกนั้นไปทันที
คนพวกนี้มีวรยุทธ์ดีใช้ได้ เพียงแต่ทำตัวลับล่อเหมือนต้องการหลีกเลี่ยงจากฝูงชนจึงมิเดินบนถนน แต่เลือกเดินบนหลังคาหรือตามตรอกที่มิมีผู้คนแทน
พอข้ามผ่านถนนในฉางอานแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในเส้นทางเล็ก ๆ ของหมู่บ้านแห่งหนึ่งและหยุดตรงบ่อน้ำในหมู่บ้าน
มู่จวินฮานที่ตามหลังพวกเขาอย่างไร้สุ้มเสียง เขย่งเท้าลอยขึ้นบนชายคาเบาๆ และมิส่งเสียงอันใดออกมาเลย
ในเวลานี้เขากำลังหมอบตัวอยู่บนหลังคา กดร่างให้จมลึกที่สุดส่วนดวงตาคู่นั้นก็จับจ้องไปที่กลุ่มคนตรงหน้า
เขาเห็นเพียงคนกลุ่มนั้นกวาดสายตามองโดยรอบอย่างระมัดระวัง เมื่อมิเห็นคนอื่นจึงรีบหยิบบางอย่างออกจากอกเสื้อ แกะมันอย่างรวดเร็วแล้วเทของที่อยู่ในห่อลงไปในบ่อน้ำ เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จคนกลุ่มนี้ก็หายตัวไปอีกทิศทางอย่างเงียบๆ
ท่าทางของพวกเขาดูชำนาญมากราวกับมิได้ทำเรื่องเยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก ความสงสัยในดวงตาของมู่จวินฮานจึงรุนแรงกว่าเดิม ขณะที่เขากำลังจ้องมองก็เห็นหนึ่งในคนพวกนั้นหันกลับมา ใบหน้าถมึงทึงมิเหมือนคนต้าโจวแม้แต่น้อย
โครงหน้าเยี่ยงนี้ดูคล้ายชาวแคว้นชิงเยว่มากกว่า
ทันใดนั้นม่านตาของมู่จวินฮานก็หดเล็กด้วยความตกตะลึง ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างมิทันรู้ตัว หลังจากนั้นเขาก็ตามพวกมันไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งเงียบ ๆ เมื่อเห็นพวกมันยังทำแบบเดิม เขาจึงกลับมายังร้านอาหาร
“เป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอเอ่ยถามพร้อมรินชาให้เขา
มู่จวินฮานจิบชา ในเวลานี้สายตาขี้เล่นจางหายไปและแทนที่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“คล้ายว่าคนพวกนั้นเป็นคนของแคว้นชิงเยว่” หลังจากนั้นเขาก็เล่าทุกอย่างที่เห็นให้อันหลิงเกอฟัง “ข้าเห็นพวกนั้นทำตัวลับล่อวิ่งไปในหมู่บ้านรอบเมืองหลวงแล้วนำของบางอย่างเทลงในบ่อน้ำของชาวบ้าน พอทำเรื่องพวกนั้นเสร็จก็วิ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง แล้วทำเช่นเดียวกัน”
หรือจักบอกว่าคนพวกนี้มีแผนและจุดประสงค์คือวางยาในบ่อน้ำของชาวบ้านรอบเมืองหลวง !
อันหลิงเกอและมู่จวินฮานหันมาสบตากัน แต่ละคนก็เห็นสายตาตึงเครียดของกันและกัน
ตอนนี้ต้าโจวกำลังทำสงครามกับแคว้นชิงเยว่ หากคนพวกนี้เป็นคนของแคว้นชิงเยว่จริง พวกมันก็ต้องทำเรื่องนี้เพราะมีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน
“พอระบุตัวตนของคนพวกนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถาม ถ้าคนพวกนั้นมิใช่คนแคว้นชิงเยว่แล้วเรื่องก็อาจมิได้ร้ายแรงอย่างที่นางคิดไว้
มู่จวินฮานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าเห็นหน้าพวกมันหนึ่งในนั้นแล้ว หน้าตามิคล้ายคนต้าโจวเลยสักนิด ต่อจากนั้นข้ายังตามพวกมันไปอีกหมู่บ้านหนึ่งและได้ยินเสียงพวกมันคุยกัน สำเนียงมิเหมือนคนในพื้นที่ในต้าโจวเลย”
แม้มู่จวินฮานเติบโตในเมืองหลวง แต่ในเมืองหลวงก็เป็นสถานที่รวมตัวของพ่อค้าและบัณฑิตต่างถิ่น เขามิได้บอกว่ารู้จักสำเนียงในแต่ละท้องถิ่นเป็นอย่างดี แต่ก็สามารถเดาออกอยู่บ้างว่าสำเนียงไหนมิใช่สำเนียงต้าโจว
ถ้าสำเนียงของคนพวกนั้นมิใช่ที่ใดที่หนึ่งของต้าโจวก็ต้องเป็นคนต่างแคว้น
ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็นึกถึงคนผู้หนึ่งที่กล่าวสำเนียงแปลก ๆ ตอนนางเจอในร้านเครื่องประดับเมื่อครู่ นางจึงพยายามลอกเลียนสำเนียงนั้นแล้วพูดให้มู่จวินฮานฟังสองสามคำ
“สำเนียงนี้เลย ! ”
มู่จวินฮานแสดงสีหน้ามั่นใจ แต่หลังจากนั้นก็แสดงท่าทีกังวลออกมาอีก “คุณหนูอันก็เจอคนพวกนั้นแล้วหรือ ? ”
“ข้าเจอผู้หนึ่งที่ร้านเครื่องประดับเจ้าค่ะ” เมื่อมู่จวินฮานกล้ายืนยัน อันหลิงเกอก็ทำหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม “คนผู้นั้นเข้ามาอย่างกะทันหันคล้ายกำลังหลบเลี่ยงจากอันใดบางอย่างจนมาชนเข้ากับหมิงซิน ข้าได้ยินสำเนียงของเขาฟังแปลก ๆ จึงหันไปมองแต่เขารีบก้มหน้าหลบทันที อีกอย่างหมิงซินก็บอกว่ารองเท้าของคนผู้นั้นมีรอยสีแดงบางอย่างติดอยู่ ดูคล้ายคราบเลือดเจ้าค่ะ”
แอบวางยาในบ่อน้ำชาวบ้าน ใต้รองเท้ามีรอยสีแดงคล้ายคราบโลหิตและเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ ถ้านำสิ่งเหล่านี้มาเชื่อมโยงกันก็ทำให้อดคิดไปในทางชั่วร้ายมิได้
มู่จวินฮานเงียบไปครู่หนึ่ง “เมืองหลวงมีทหารลาดตระเวนตลอด คนพวกนั้นมิใช่ชาวต้าโจวแต่ลอบเข้ามาเงียบ ๆ ได้ แสดงว่าต้องมีแผนร้ายอย่างแน่นอน อีกเดี๋ยวข้าจักส่งคนไปสืบเรื่องนี้”
อันหลิงเกอพยักหน้า หลังจากนั้นก็ปรึกษาเรื่องตุนยาสมุนไพรกับเขาอีกเล็กน้อยแล้วนางก็พาหมิงซินเดินทางไปหาฉู่หยู