ตอนที่ 175 หยิ่งยโส
ฉู่หยูมิได้เจออันหลิงเกอนานแล้ว ในเวลานี้ก็รีบพานางมาที่ห้องส่วนตัวทันที
“คุณหนูใหญ่ ตอนนี้พวกเรากักตุนยาสมุนไพรได้เกือบ 100 ชั่งแล้ว ยังต้องกักตุนเพิ่มอีกหรือไม่เจ้าคะ ? ”
เวลาคนทั่วไปซื้อยาสมุนไพรที่ร้านขายยาก็ซื้อกันเพียงมิเท่าไร ดังนั้นยาจำนวน 100 ชั่งจึงมหาศาล
ทว่าอันหลิงเกอทำสีหน้าปกติ “ยาสมุนไพรแค่นี้ยังมิพอ จงส่งคนออกไปซื้อต่อ หลังจากนั้นก็นำป้ายคำสั่งนี้ใช้ขนยาไปไว้ที่จวนชิงเยว่ในเขตชานเมืองหลวง”
ป้ายคำสั่งนี้เป็นของที่มู่จวินฮานมอบให้นางและจวนชิงเยว่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของมู่จวินฮานมิได้ขึ้นตรงกับจวนอ๋องมู่
ส่วนทางจวนชิงเยว่ก็ได้รับคำสั่งจากนายนานแล้วเช่นกัน ขอแค่แสดงป้ายคำสั่งนี้ก็ต้องทำตามทั้งสิ้น
ฉู่หยูรีบรับป้ายคำสั่งไว้และมิได้เอ่ยถามว่าอันหลิงเกอได้ป้ายมาจากที่ใด เพียงรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้อันหลิงเกอฟังอย่างละเอียด จากนั้นก็ส่งทั้งสองคนออกจากร้านไป
ขณะที่อันหลิงเกอและหมิงซินอยู่นอกจวนก็มิรู้ว่าในจวนโหวกำลังครึกครื้นเพียงใด
ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกเว่ยซื่อไปที่เรือนชิงเฟิง ขณะดื่มชาที่เว่ยซื่อชง มิว่าดื่มเยี่ยงไรปากก็มิรู้รส
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงวางถ้วยชาในมือลงด้วยความเบื่อหน่าย ใบหน้าไร้ชีวิตชีวา
“ท่านแม่อารมณ์มิดีหรือเจ้าคะ ? ” เมื่อเห็นท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเยี่ยงนั้น เว่ยซื่อจึงเอ่ยถาม “เมื่อก่อนท่านชอบดื่มชานี้มาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวแล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้ แม้แต่นิสัยของคนยังเปลี่ยนได้ เช่นเดียวกับรสชาติชาก็เปลี่ยนไปแล้ว มิเหมือนก่อนอีกต่อไป”
ในคำกล่าวของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหมายถึงเรื่องที่อันอิงเฉิงปะทะกับนางในวันนี้
เว่ยซื่อก็เป็นคนฉลาดย่อมเข้าใจดีว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคิดอันใดอยู่
เมื่ออยู่ต่อหน้าอันอิงเฉิง นางกล้าท้าทายเขา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางกลับมิได้กล่าวว่าร้ายอันอิงเฉิง นางทำราวกับมิเข้าใจสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว ใบหน้ายังคงเปื้อนด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน “หากท่านแม่มิชอบชานี้แล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจักเปลี่ยนชาใหม่ให้ท่าน รับรองว่าท่านต้องชอบเจ้าค่ะ”
“ช่างเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าหันมามองเว่ยซื่อด้วยความรู้สึกค่อนข้างหดหู่ “อิงเฉิงถูกนางจิ้งจอกทำให้สับสนจนยอมเชื่อคำของนาง แต่มิเชื่อข้าและยังมิเชื่อเจ้าด้วย มิใช่แค่ข้าที่โกรธ ทว่าเจ้าเองก็คงเจ็บปวดเหมือนกัน”
คำเอ่ยตามตรงของฮูหยินผู้เฒ่ากระทบใจเว่ยซื่อยิ่งนัก ทำให้นางมิฉีกยิ้มอีกต่อไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ท่านโหวมิชอบข้ามาโดยตลอด ข้ารู้ดีแก่ใจเจ้าค่ะ”
เว่ยซื่อกล่าวพร้อมฝืนยิ้มออกมา แต่ควบคุมให้ดวงตาเริ่มแดงมิได้
นางหลงรักอันอิงเฉิงมานานหลายปีแต่มิเคยสบตากับเขาตรง ๆ สักครั้ง อันที่จริงนางก็นับว่าเป็นผู้หญิงของเขาคนหนึ่ง อีกทั้งยังคลอดบุตรชายให้อีกคน ทว่ามิมีตำแหน่งในใจท่านโหวแม้แต่น้อย
ช่วงหลายวันมานี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มเข้าใจเว่ยซื่อแล้ว รู้ว่านางใส่ใจอันอิงเฉิงถึงเพียงไหน จึงรับรู้ได้ว่าตอนนี้ต้องเจ็บปวดเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดของเว่ยซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตบหลังมือนางเบาๆ เพื่อปลอบใจ “ถ้าเฉิงเอ๋อรู้ถึงความดีของเจ้าบ้าง ข้าก็คงมิต้องกังวลเช่นนี้”
เว่ยซื่อก้มหน้ามิพูดมิจา ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าส่งสายตาให้สาวใช้ด้านข้าง “ไปหยิบกำไลหยกปี้อวี้ในห้องข้าออกมา”
สาวใช้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็นำกำไลออกมาแล้วประสานมือส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่ามิรับ ทว่าหันไปยิ้มให้เว่ยซื่อ “นี่เป็นของที่ข้าเคยยกให้สะใภ้ใหญ่อัน หลังจากนางสิ้นใจ ข้าก็เก็บไว้ สิ่งนี้อยู่ที่เรือนของข้ามานานหลายปีและหาคนที่เหมาะสมกับมันมิได้ วันนี้ข้าจักยกมันให้เจ้า”
กำไลนี้คือของตกทอดที่ให้ฮูหยินใหญ่อันในตอนนั้น !
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย แต่เว่ยซื่อตกตะลึงยิ่งกว่าสิ่งใด
นางคงมิได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่ เนื่องจากกำไลหยกปี้อวี้ต้องส่งต่อให้ฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหวเท่านั้นมิใช่หรือ ?
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจักยกมันให้นาง นี่กำลังหมายความว่าเยี่ยงไร ?
ดวงตาของเว่ยซื่อจับจ้องไปที่กำไลหยกปี้อวี้พร้อมความตื่นตกใจและสงสัย
“ท่านแม่เจ้าคะ ของล้ำค่าถึงเพียงนี้ข้ามิกล้ารับไว้หรอกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ก็แค่กำไลหยกปี้อวี้ชิ้นเดียว เจ้ามีอันใดมิกล้ารับไว้?”
สาวใช้หลักแหลม เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นก็รีบยื่นกำไลไปตรงหน้าเว่ยซื่อ “อนุเว่ยเจ้าคะ นี่เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าให้ความสำคัญต่อท่าน ท่านต้องรับไว้นะเจ้าคะ”
เว่ยซื่อสูดหายใจเข้าลึก หลังจากนั้นก็เอื้อมมือไปรับกำไลหยกปี้อวี้ไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นก็โบกมือให้เว่ยซื่อออกไป “ข้าเหนื่อยแล้วอยากพักเสียหน่อย เจ้ากลับไปเรือนของตนเถิด”
เว่ยซื่อคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็ถอยออกมาทันที
เว่ยซื่อเพิ่งกลับมาถึงเรือน ขณะกำลังให้ฉุนเซี่ยนสาวใช้คนสนิทนำกำไลหยกปี้อวี้ไปเก็บก็มีโมโม่เข้ามารายงานว่าหลี่ซื่อมาพบ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปทันที
“ช้าก่อน” นางเรียกฉุนเซี่ยนให้หยุดเดิน พร้อมกันนั้นยังเผยแววตาดุดันเล็กน้อยแล้วสุดท้ายก็กล่าวว่า “นำกำไลมาให้ข้าใส่”
ฉุนเซี่ยนจึงหยิบกำไลมาใส่ที่ข้อมือของเว่ยซื่อ จากนั้นก็เอ่ยชม “นายหญิงใส่กำไลนี้แล้วดูดียิ่งนักเจ้าค่ะ”
เว่ยซื่อคลี่ยิ้ม การที่นางใส่กำไลนี้มิได้แปลว่าอยากทำให้ตนเองดูดีหรอก
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน หลี่ซื่อก็เดินเข้ามา
“อนุเว่ย เรือนใหม่ของเจ้าสวยดีนะ ช่างแตกต่างจากเรือนเพียนเก่าโทรมเสียจริง”
หลี่ซื่อยิ้มมีความสุข เพียงแต่สายตาที่จ้องมองคนในห้องดูเยี่ยงไรก็บอกว่ามิได้มาดี
เว่ยซื่อก็ยิ้มหวานเยี่ยงคนเจ้าเล่ห์ แววตาเยือกเย็นพอสมควร หลังจากเกิดเรื่องราวในวันนี้ขึ้นนางก็มิได้มิท่าทีเกรงกลัวหรือพูดให้เกียรติหลี่ซื่อเช่นอดีตแล้ว “มิทราบว่าฮูหยินรองหลี่มาที่เรือนข้าด้วยเหตุใด ? ”
คนผู้นี้มิเคยเห็นนางอยู่ในสายตา หรือแม้แต่นางย้ายออกมาจากเรือนเพียนนานถึงเพียงนี้ หลี่ซื่อก็มิเห็นการมีอยู่ของนาง แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่อมาเหยียบที่เรือน
คำมิต้อนรับของเว่ยซื่อชัดเจนมาก แต่หลี่ซื่อทำเหมือนมิเข้าใจ ดวงตากวาดมองโดยรอบห้อง จากนั้นจึงมองเว่ยซื่อตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “มิได้พบกันหลายปี อนุเว่ยเปลี่ยนไปมาก ถึงขั้นตำหนิข้าต่อหน้าท่านพี่ ช่างน่าตกใจเสียจริง”
“ในวันข้างหน้าคงมีเรื่องให้ฮูหยินรองหลี่ตกใจอีกมาก แต่เจ้าคงไม่มาหาข้าทุกวันเยี่ยงนี้หรอก” เว่ยซื่อกล่าววาจาเหน็บแนม ประกาศสงครามกับหลี่ซื่ออย่างโจ่งแจ้ง
แม้มองมิเห็นควันไฟของทั้งสอง แต่หลี่ซื่อก็เชิดหน้าขึ้น สายตาที่จ้องมองเว่ยซื่อก็เป็นดั่งนายมองบ่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านพี่จึงเข้าข้างข้า ? ก็เพราะข้าเป็นบุตรีขุนนาง ส่วนเจ้าเป็นแค่สาวใช้ชั้นต่ำที่หาวิธีปีนขึ้นเตียงท่านพี่ จึงได้ตำแหน่งอนุมาถึงทุกวันนี้ การเลือกข้าหรือเจ้านั้น ท่านพี่มิจำเป็นต้องใช้สมองคิดแม้แต่น้อย”
หลี่ซื่อทำหน้าหยิ่งยโสและมั่นใจพอสมควร “มิว่าเจ้าเอาใจท่านแม่เพียงใด ใช้เล่ห์กลอันใด ฐานะสาวใช้ของเจ้าก็ต่ำต้อยกว่าข้าอยู่ดี เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังนับว่าเป็นตัวอันใดได้ ? ”
เว่ยซื่อใบหน้าซีดเผือด แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็กลับมาคลี่ยิ้ม ยกมือขึ้นเผยให้เห็นกำไลหยกปี้อวี้บนข้อมืออย่างมิได้ตั้งใจ “คงเป็นเยี่ยงที่เจ้ากล่าวมา ฮูหยินรองหลี่มีฐานะเป็นถึงบุตรีขุนนาง ส่วนข้าเทียบเจ้ามิติดจริง ๆ ”
เมื่อกำไลหยกปี้อวี้ตกอยู่ในสายตาของหลี่ซื่อ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที
…
* 1 ชั่ง เท่ากับ 0.5 กิโลกรัม ดังนั้น 100 ชั่ง เท่ากับ 50 กิโลกรัม