ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 37

หลังจากที่จื่ออานทำเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว องค์จักรพรรดิเหลียงก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ยังคงหายใจเร็วเช่นเดิม แม้กระทั่งเสียงดังจากทรวงอกก็ยังเหมือนเดิม

มองด้วยตาเปล่า องค์จักรพรรดิเหลียงดูไม่ได้ดีขึ้นเลย

กระทั่งหมอหลวงบางคนตั้งคำถามว่า พระอาการที่ทรงหายใจลำบากเช่นนี้ การตรึงพระศอเอาไว้จะยิ่งทำให้พระอาการหนักขึ้นหรือเปล่า?

เมื่อหมอหลวงถาม ฮองเฮาก็มองดูจื่ออานด้วยดวงตาที่เย็นชา จื่ออานนั่งยองลงที่ด้านหน้าเตียงและตรวจดูพระอาการบาดเจ็บที่ขาขององค์จักรพรรดิเหลียงอย่างเงียบ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น นางถือโอกาสตรวจแผลเก่าของพระองค์ด้วย และได้เหลือบมองฮองเฮาผ่านทางหางตา จื่ออานรับรู้ถึงสายตาอันเย็นชาที่พระนางมองมายังนางได้ รู้สึกเป็นกังวลจึงถอนหายใจเบา ๆ นางทำได้เพียงละทิ้งปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลกระทบ ตั้งสมาธิทำเรื่องที่นางจะต้องทำก็พอ

คนในวังต้มยาแล้วนำขึ้นมา หมอหลวงส่งให้จื่ออานดื่มล้างพิษก่อน นางดื่มเข้าไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

เมื่อครู่นี้ตอนที่นางอาบน้ำได้ฝังเข็มให้ตัวเอง รวบรวมพละกำลังมาบ้างแล้ว หากแต่ตอนนี้เวลามันผ่านไปอย่างเชื่องช้า นางเหนื่อยเหลือเกิน ความเจ็บปวดและพิษในร่างกายทั้งหมดทำให้นางจำเป็นต้องใช้แรงกายทั้งหมดไปรวบรวมพละกำลัง จริง ๆ แล้วตอนนี้นางไม่มีพลังกำลังส่วนเกินไปใช้กับเรื่องอื่นนอกเหนือการรักษาแล้ว

ตามการประมาณการเบื้องต้น กระดูกขาขององค์จักรพรรดิเหลียงน่าจะหัก แต่การเชื่อมต่อกระดูกไม่ดี กระดูกงอกผิดที่ไปกดทับเส้นประสาท ดังนั้นจึงทำให้เดินเหินไม่สะดวก

นางใช้มือสัมผัสได้ถึงกระดูกที่งอกออกมาจากข้อกระดูก จากการอนุมาน นางสามารถจินตนาการได้ว่าในทุก ๆ วันองค์จักรพรรดิเหลียงต้องทนรับความเจ็บปวดมากมายเพียงใด ความทรมานจากกระดูกที่งอกออกมายากนักที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ มีเพียงผู้ที่เคยประสบมาเท่านั้นถึงจะรู้

ความเจ็บปวดที่ต่อเนื่องมานี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เขามีอารมณ์หงุดหงิดหรือไม่?

องค์รัชทายาทก็ทนไม่ได้แล้ว กล่าวกับจื่ออานอย่างดุดัน “เจ้าบอกว่าเสด็จพี่จะฟื้นขึ้นมา ตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก? อีกทั้งพระอาการดูเหมือนว่าจะยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม”

องค์รัชทายาทตรัสถาม ทำลายความเงียบที่กดดัน ฮองเฮาก็นั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เพ่งมองไปที่จื่ออาน “เมื่อไหร่เขาจะฟื้นขึ้นมา?”

จื่ออานตอบ: “ฮองเฮาเพคะ ระยะเวลาการสลบไปหลังจากอาการลมชักกำเริบหนัก ๆ ของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ปกติโดยไปแล้วจะใช้เวลาสองชั่วยาม ฮองเฮาโปรดรอต่ออีกหน่อยนะเพคะ”

องค์รัชทายาทกล่าวอย่างเย็นชา “พวกเราล้วนถูกเจ้าเล่นเป็นของเล่นในฝ่ามือ เดี๋ยวก็โยกย้าย โยกย้ายมาแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีใครดีขึ้น แล้วก็บอกว่าจะฟื้นขึ้นมา รอจนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวอะอะไรสักนิด”

มู่หรงเจี๋ยกล่าวเบา ๆ “รออีกสักนิดเถิด คนก็ถูกย้ายมาที่นี่แล้ว พูดจาเยิ่นเย้อมากมาย จะมีประโยชน์อันใดเล่า?”

องค์รัชทายาทสูดหายใจแรง “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการตั้งคำถามถึงการตัดสินใจของเสด็จอา แต่เสด็จอาเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด เหตุใดคราวนี้ถึงโดนคนจูงจมูกได้เล่า?”

มู่หรงเจี๋ยมองไปที่องค์ชาย ดวงตาของเขาเย็นชาอย่างยิ่ง “หากเจ้าคิดว่าข้าฉลาด ก็หุบปากของเจ้าแล้วรอไปซะ”

น้อยมากที่มู่หรงเจี๋ยจะพูดกับองค์รัชทายาทด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ เมื่อก่อนถึงแม้จะไม่ค่อยชอบองค์รัชทายาทมากนัก แต่เขาก็ยังรักษามารยาทอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขากลับใช้คำพูดที่รุนแรงต่อหน้าฮองเฮา เห็นอารมณ์ของเขาที่เป็นแบบนี้แล้วก็ได้รับผลกระทบในระดับหนึ่งเช่นกัน

จื่ออานก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร เธอไม่ต้องการได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่มันยากมาก คนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามล้วนสามารถฆ่านางได้ด้วยมือเดียว

เมื่อสถานการณ์ยากที่จะควบคุม ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “หวงไท่โฮ่ว กุ้ยไท่เฟยเสด็จ!”

ฮองเฮารีบลุกขึ้นและก้าวไปข้างหน้าเพื่อต้อนรับพระนาง

ทุกคนในที่นี้คุกเข่าลง จื่ออานก็คุกเข่าลงเช่นกัน นางค่อย ๆ เงยหน้า ก็เห็นข้าหลวงรับใช้จำนวนมากกำลังล้อมรอบผู้หญิงสองคนที่เดินเข้ามา พวกนางแต่งกายแบบสตรีชั้นสูงในวัง

ใบหน้าของทั้งสองคนดูคล้ายคลึงกันมาก จื่ออานจึงตัดสินจากเสื้อผ้า คนที่เดินมาก่อนทางด้านซ้ายคือ หวงไท่โฮ่ว ลักษณะใบหน้าของนางดูค่อนข้างจะใจดี เพียงแต่หว่างคิ้วของนางขมวดอยู่ และมีสีหน้าที่แลดูกังวล

ทางด้านขวาคือ กุ้ยไท่เฟย เมื่อชำเลืองมอง ก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตเต็ม ๆ ผิวแก้มหย่อนคล้อยรุนแรงกว่าของหวงไท่โฮ่ว ร่องแก้มลึกมาก นัยน์ตาคมกริบ มองดูแล้วรู้สึกว่านางดูน่าเกรงขามกว่าหวงไท่โฮ่วเสียอีก

“หม่อมฉันขอถวายบังคมเสด็จแม่ ถวายบังคมกุ้ยไท่เฟย!” ฮองเฮาย่อตัวคำนับ