บทที่ 245 เข้าเฝ้า

คู่ชะตาบันดาลรัก

นักพรตผู้เฒ่าถึงกับผงะ แต่สีหน้าของเขายังคงสงบอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “เรื่องของชะตาแผ่นดิน ไม่สามารถให้พวกเจ้าตัดสินใจเองได้ ต้องให้เหล่าผู้อาวุโสในสำนักตัดสินใจ” กล่าวจบเขาก็หันไปมองหมิงเวย

ในตอนนี้หมิงเวยได้ลืมตาขึ้น “ท่านนักพรตข้ามองเห็นแล้ว…”

นักพรตผู้เฒ่ายกมือขัดนาง “แม่นางโปรดรอก่อน คำตอบในคำถามสุดท้ายนั้นถูกหรือไม่ ข้าไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวได้”

หมิงเวยเข้าใจดีนางจึงอดทนรออย่างใจเย็น “เจ้าค่ะ”

สถานการณ์เช่นนี้ผู้อาสุโสอี้มีหรือจะไม่เข้าใจ เขารีบรายงานต่อฝ่าบาท “ฝ่าบาท ผู้เข้าแข่งขันทั้งสามรู้ผลพยากรณ์ดวงดาวแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรคงต้องให้เหล่าผู้อาวุโสเป็นคนตัดสินใจ ตอนนี้จึงยังไม่สามารถประกาศผู้ชนะได้พ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปพระองค์แย้มสรวล “ตำแหน่งเจ้าสำนักต้องคัดเลือกอย่างรอบคอบเช่นนั้นพิธีจึงสิ้นสุดลงชั่วคราวทุกคนสามารถออกไปที่อื่นก่อนได้แล้วค่อยมาประกาศผลในภายหลัง”

ขันทีถ่ายทอดคำสั่งทันทีฮ่องเต้จึงลุกจากที่นั่งในงานเพื่อเดินทางกลับ

เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงพากันออกจากที่นี่ด้วยความว้าวุ่นใจ คำว่าดาวมารที่อวี้หยางพูดออกมานั้นทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนได้ยินชัดเจน พวกเขาต่างเป็นคนที่คลุกคลีในแวดวงราชการจึงทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน หากฮ่องเต้ทรงเอาจริงขึ้นมาเป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด

จึงได้แต่หวังว่าเรื่องคงไม่ตกหล่นใส่หัวตนเอง

นายท่านจี้มองจี้เสียวอู่และหมิงเวยที่ถูกพาตัวลงมาจึงพูดอย่างเป็นกังวล “เสียวอู่กับเสี่ยวชียังกลับไม่ได้หรือ นี่เป็นเรื่องของเสวียนตูกวันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย!”

จี้หลิงพูดปลอบบิดา “ในเมื่อเข้าร่วมการแข่งแล้วจะต้องมีผลลัพธ์ตามมา ท่านพ่อบอกว่านี่เป็นเรื่องของเสวียนตูกวัน พวกเขาเพียงแค่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยเท่านั้น”

จี้ฮูหยินก็รู้สึกกังวลไม่แพ้กัน “เด็กสองคนนี้ เราไม่ควรปล่อยให้ไปแข่งเลย! ”

มีเพียงสะใภ้ใหญ่ที่รู้สึกสงสัย “ทำไมน้องหญิงถึงรู้เยอะเพียงนี้ ทั้งพยากรณ์ทั้งค่ายกล แล้วดูเหมือนจะเป็นวรยุทธ์ด้วย…” คำพูดของนางทำให้นายท่านจี้และจี้ฮูหยินตระหนักได้เช่นกัน

จริงด้วย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ จี้หลิงเห็นอย่างนั้นก็จนปัญญาเรื่องนี้มีเพียงเขาที่ต้องตามเช็ดก้นให้

“คือเรื่องเป็นเช่นนี้ขอรับ…”

ภายในศาลานักพรตผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าตามข้ามา” แล้วเขามองไปทางหยางชูและจี้เสียวอู่ “พวกเจ้าสองคนกลับไปก่อนได้”

หยางชูรีบพูดว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ข้าต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อรอรับคำสั่ง!”

จี้เสียวอู่พูดว่า “น้องหญิงเป็นสตรีขี้อายข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนนาง”

นักพรตผู้เฒ่าถอนหายใจ “ช่างเถอะ อยากมาก็มาด้วยกัน!”

ทุกคนจึงเดินทอดยาวไปตามทางเดินบนเขาเพื่อลงจากหอดูดาวเข้าไปยังห้องโถงที่ฮ่องเต้ประทับอยู่

นักพรตผู้เฒ่าเข้ามาถวายบังคม “ถวายบังคมฝ่าบาท”

ฮ่องเต้พยักหน้าเบาๆ แล้วหันหน้าไปหากุ้ยเฟย “สนมรักไปพักผ่อนก่อนเถอะ นั่งเสียตั้งนานคงเพลียแล้ว”

เผยกุ้ยเฟยลุกขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันขอทูลลา”

ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมดแล้วเบื้องหน้าฮ่องเต้จึงเหลือเพียงผู้อาวุโสอี้และนักพรตผู้เฒ่า

“เกิดอะไรขึ้น” ฮ่องเต้ถามด้วยสีหน้าเงียบขรึม

นักพรตผู้เฒ่ารายงานว่า “ฝ่าบาท เรื่องการดูดาวและพยากรณ์โชคชะตาใช้การสุ่มเป็นส่วนมาก ระดับความสามารถมีผลต่อการตัดสินของพวกเขาด้วย เรื่องนี้จึงต้องให้พวกเขามาอธิบายให้ฟังโดยละเอียด”

ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “ถ้าเช่นนั้นก็ให้พวกเขามาอธิบาย!”

“พ่ะย่ะค่ะ”

นักพรตผู้เฒ่าเดินออกไปเรียก หยางชูอยากตามเข้ามาด้วยแต่นักพรตผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ฝ่าบาทเรียกแค่ผู้พยากรณ์ดวงดาวเท่านั้น คุณชายรอฟังคำสั่งจากด้านนอกเถิด” หยางชูไม่มีทางเลือกจึงทำได้แต่มองหมิงเวยและอีกสามคนเดินเข้าไป

จี้เสียวอู่กระซิบถามเขา “น้องหญิงจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

หยางชูเลิกคิ้ว “นางเป็นคนฉลาด ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนหรอก ข้าเพียงแค่กังวล…”

“กังวลอะไรหรือ”

“หากผลลัพธ์ออกมาว่ามีดาวมารถือกำเนิดขึ้นมาจริงๆ ท่านคิดว่าจะเกิดผลอะไรตามมา”

จี้เสียวอู่ตกตะลึง “อาจเกิด…การนองเลือด” หยางชูไม่พูดอะไรต่อเขาถอนหายใจ

เรื่องลึกลับนี้ ฮ่องเต้คือข้อห้ามสูงสุด ไม่ว่าเขาจะมีความเมตตาแค่ไหนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกด้านหนึ่งหมิงเวยเดินตามนักพรตผู้เฒ่าเข้าไปด้านในเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท

ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ลุกขึ้นได้” จากนั้นก็รินชาให้ตนเอง

ผู้อาวุโสอี้คาดเดาพระประสงค์ของฮ่องเต้แล้วถามแทนพระองค์ไปว่า “พวกเจ้าพยากรณ์ดวงดาวแล้วเห็นอะไรบ้าง พูดมาทีละคน อวี้หยาง เจ้าก่อนเลย”

“ขอรับ” ตอนนี้อวี้หยางรู้สึกกังวล

เขาตะโกนคำว่า ‘ดาวมาร’ ออกมาแล้วตนก็รู้สึกเสียใจในภายหลัง

อย่างแรก สิ่งที่เขาดูก็คือโชคชะตาของแผ่นดิน ฮ่องเต้ต้องไม่โปรดเรื่องการปรากฏตัวของดาวมารในรัชสมัยของพระองค์อยู่แล้ว นั่นหมายความว่าพระองค์ไร้คุณธรรม อย่างที่สองมีดาวมารปรากฏขึ้นจริงๆ มีบทความมากมายที่เขียนเรื่องนี้ เขาสามารถคิดหาหนทางก่อนแล้วไปปรึกษากับไท่จื่อว่าสามารถใช้ประโยชน์จากดาวมารได้อย่างไร

แต่ตอนนั้นเขาตกใจมากจึงตะโกนออกไปด้วยความตื่นเต้น

อวี้หยางที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วกำลังคิดว่าตอนนี้ควรพูดอะไรออกไปดี เขาตัดสินใจและกล่าวออกไปด้วยความเคารพ “ศิษย์เข้าสู่ทะเลดาวผ่านดาวแห่งโชคชะตา ในตอนแรกทะเลดาวรวมกันเป็นหนึ่งและสงบมาก แต่หลังจากนั้นเกิดเมฆหมอกเข้าปกคลุมช้าๆ ศิษย์พยายามผลักเมฆหมอกออกไป แต่แล้วก็เห็นว่ามีดาวแห่งโชคชะตาสีเพลิงดวงหนึ่งลอยอยู่ทางใต้ ตอนนี้ดาวดวงนั้นยังไม่ส่องแสงสว่าง แต่ด้วยสีที่ค่อนข้างเข้มต้องเป็นดาวมารอย่างไม่ต้องสงสัย ศิษย์ตกใจมากจึงไม่ทันระวังถูกสะท้อนกลับ…”

ผู้อาวุโสอี้พยักหน้าแล้วหันทางไปอีกทาง “เสวียนเฟย เจ้าล่ะ”

เสวียนเฟยตอบ “สิ่งที่ศิษย์เห็นคล้ายกับศิษย์พี่อวี้หยางขอรับ เพียงแต่หลังจากที่ศิษย์ได้มองอย่างละเอียด ดาวมารดวงนั้นแม้จะมีสีเข้ม แต่แสงของมันสลัวมากจึงคิดว่าอีกนานกว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจุบันนี้ขอรับ” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของฮ่องเต้ดีขึ้นมาก

หากดาวมารปรากฏขึ้นในตอนนี้นั่นหมายความว่าผู้ที่ไร้คุณธรรมก็คือตนนั่นเอง แต่หากเป็นเหตุการณ์หลังจากนั้นก็คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน อย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์ของลูกหลานต่อไป ในเมื่อพบดาวมารแล้วคงไม่จัดการไม่ได้

อวี้หยางได้ยินคำพูดของเสวียนเฟยใจเขาก็จมดิ่งลงคำตอบนี้มีเล่ห์เหลี่ยมมากเกินไป เขาสังเกตเห็นเพียงดาวมาร แต่อีกฝ่ายกลับมองละเอียดกว่านั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าความสามารถของเขาไม่ดีเท่าอีกฝ่ายงั้นหรือ แล้วอีกฝ่ายยังดึงเวลาออกไปอีกทำให้ฮ่องเต้รู้สึกดีพระทัยมากขึ้น

ผู้อาวุโสอี้หันมามองหมิงเวย “แม่นาง ท่านล่ะ”

หมิงเวยลดศีรษะลงแล้วตอบเสียงเบา “หม่อมฉันไม่ได้สังเกตเห็นดาวมารใดๆ พบเห็นเพียงสองเรื่องเท่านั้นเพคะ” นางชะงักแล้วพูดต่อว่า “มีเมฆครึ้มปกคลุมดาวจื่อเว่ย อีกไม่กี่ปีจากนี้อาจเกิดภัยพิบัติในแผ่นดินต้าฉี คาดว่าประมาณห้าถึงสิบปีหลังจากนี้ นอกจากนี้มีดาวสังหารอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เกรงว่าชายแดนจะเกิดความไม่สงบ”

ผู้อาวุโสอี้ไม่พูดอะไร แต่ฮ่องเต้กลับเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาของพระองค์มีความแปลกใจ

ไม่นานมานี้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าที่ทางเหนือ พวกเขารบราฆ่ากันเอง ซึ่งเขาเองก็เพิ่งได้รับรายงานมาและข่าวก็ยังไม่เผยแพร่ออกไป หรือแม่นางผู้นี้จะมีความสามารถจริงๆ เมฆดำที่นางกล่าวว่าปกคลุมดาวจื่อเว่ยมันคาดการณ์อะไรได้งั้นหรือ…

ฮ่องเต้รู้สึกเพียงว่าประเด็นหลังตรงกับรายงานที่เขาได้รับมา แต่ผู้อาวุโสทั้งสองกลับตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของหมิงเวย

การสังเกตดวงดาวและพยากรณ์โชคชะตา สิ่งที่สามารถมองเห็นได้มีเพียงอนาคตที่คลุมเครือเท่านั้น ซึ่งผู้ที่มีทักษะที่ลึกซึ้งกว่านั้นจะสามารถประมาณเวลาได้อย่างคร่าวๆ แต่แม่นางผู้นี้เปิดปากบอกว่าเป็นห้าถึงสิบปีหลังจากนี้ซึ่งมันถูกต้องเกินไป หากนางไม่ได้พูดไร้สาระนั่นหมายความว่านางมีความสามารถมากจริงๆ…

………………