บทที่ 246 ตรวจสอบ

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยไม่สังเกตเห็นดาวมารพวกเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

ทะเลแห่งดวงดาวมีขนาดใหญ่มากซึ่งทุกคนมีมุมมองที่แตกต่างกัน ในบรรดาทะเลดาวนับหมื่น ความน่าจะเป็นที่จะสังเกตเห็นดาวดวงเดียวกันนั้นต่ำมาก

แต่ความจริงที่อวี้หยางและเสวียนเฟยสังเกตเห็นดาวมารในเวลาเดียวกันนั้นต่างหากที่แปลก

ฮ่องเต้มองนางด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าคือบุตรสาวจากตระกูลหมิงงั้นหรือ”

“เพคะฝ่าบาท” หมิงเวยก้มศีรษะลง

นางไม่เอ่ยถึงดาวมารทำให้ฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย พระองค์จึงมีท่าทีอ่อนโยนขึ้น “ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก อาชญากรในตระกูลหมิงถูกกวาดล้างไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

หมิงเวยมีรอยยิ้มเขินอายเล็กน้อยเหมือนเด็กสาวทั่วไป “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

ฮ่องเต้มองผู้อาวุโสทั้งสอง “พวกเขาสามคนพูดจบแล้ว พวกท่านจะจัดการอย่างไร”

ผู้อาวุโสอี้พิจารณา “เรื่องนี้จำเป็นต้องทำการตรวจสอบอย่างชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ การดูดาวและพยากรณ์โชคชะตานั้นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ การฝึกฝนเป็นเวลาหลายปีไม่ได้หมายความว่าจะสังเกตได้อย่างแม่นยำ อวี้หยางกับเสวียนเฟยเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในเสวียนตูกวัน แม้พวกเราจะอยู่มานานกว่าแต่ก็ยากที่จะบอกว่าสังเกตการณ์ได้แม่นยำกว่าพวกเขา”

ฮ่องเต้ไม่พอใจ “เช่นนั้นหมายความว่าพวกท่านตัดสินผู้ชนะไม่ได้งั้นหรือ”

ผู้อาวุโสอี้รีบอธิบายว่า “มีวิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ เหล่าผู้อาวุโสต้องร่วมกันสร้างค่ายกลเพื่อเปิดทางเข้าสู่ทะเลแห่งดวงดาวเช่นนั้นมุมมองจะกว้างขึ้นซึ่งจะแม่นยำกว่าการสังเกตการณ์คนเดียว”

ฮ่องเต้พยักหน้า “เช่นนั้นพวกท่านก็รีบจัดการเข้าเถอะ”

ผู้อาวุโสอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “วิธีนี้จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ทราบว่าฝ่าบาท…”

“ใช้เวลานานเท่าใด”

“เร็วที่สุดคือคืนนี้ถึงจะรู้ผลพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “เช่นนั้นค่อยมารายงานคืนนี้”

ผู้อาวุโสอี้โค้งกายแล้วตอบกลับว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ทรงอนุญาตแล้วเรื่องที่ต้องจัดการหลังจากนี้มีมากมาย การเสด็จกลับวังในตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่เสี่ยงจึงจำเป็นต้องเตรียมที่พักและเครื่องเสวย รวมทั้งจัดทหารคอยเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัยของฮ่องเต้

นอกจากนี้หากฮ่องเต้ไม่เสด็จกลับเหล่าองค์ชายที่ติดตามมาด้วยก็ไม่สามารถกลับไปได้เช่นกันจึงต้องจัดเตรียมสำหรับทุกพระองค์

โชคดีที่เสวียนตูกวันมีอาณาเขตกว้างใหญ่จึงสามารถจัดการได้อย่างราบรื่น

ผู้อาวุโสอี้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เมื่อเขาเดินออกมาก็พูดกับอวี้หยางและเสวียนเฟยว่า “พวกเจ้าไปพักก่อนเถอะ แล้วอย่าพูดเรื่องดาวมารออกไปตามใจชอบล่ะ”

“ขอรับ” ทั้งสองคนตอบรับ

ผู้อาวุโสอี้หันไปหาหมิงเวย “แม่นางไม่ใช่คนจากเสวียนตูกวัน ข้าจึงไม่สามารถจัดการอะไรได้มาก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเพื่อประโยชน์ของตนเองและครอบครัว หวังว่าแม่นางจะไม่พูดอะไรออกไป”

หมิงเวยตอบรับ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

เขาเตือนครั้งสุดท้ายว่า “ฝ่าบาทอาจเรียกหาได้ตลอดเวลา พวกเจ้าอย่าไปเถลไถลที่ไหนเข้าล่ะ”

“ขอรับ”

รอให้ทุกคนเดินจากไป หยางชูก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเผื่อพระองค์มีรับสั่งอะไร” นี่เป็นการสำรวจท่าทีของฮ่องเต้

หมิงเวยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นข้ากับพี่ห้าขอตัวก่อน”

หยางชูมองสองพี่น้องเดินจากไปด้วยแววตาเศร้าหมอง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เก็บอารมณ์ของตนเองแล้วเดินเข้าห้องโถงไป

ว่านต้าเป่ากำลังชงชาให้ฮ่องเต้ เตาเล็กๆ กำลังต้มน้ำให้เดือดอยู่

“ถวายบังคมฝ่าบาท” หยางชูพูดเสียงแผ่วเบา

ฮ่องเต้ที่ยืนหันหลังให้หันกลับมาและยิ้มบางๆ “ชูเอ๋อร์นั่นเอง! ยังไม่กลับไปพักผ่อนอีกหรือ”

หยางชูตอบ “นักพรตทั้งสองพูดถึงดาวมาร กระหม่อมเลยคิดว่าฝ่าบาทต้องกังวลพระทัยเป็นแน่จึงเดินทางมาเข้าเฝ้าเผื่อฝ่าบาททรงมีรับสั่งอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ยิ้ม “หายากนะที่เจ้าจะคิดถึงเจิ้น” พระองค์นั่งลงแล้วผายมือไปฝั่งตรงข้าม

บอกว่าต้องการพูดคุยกับเขา หยางชูถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาตอบรับแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็รับชุดน้ำชามาจากว่านต้าเป่า

ว่านต้าเป่าได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้จึงถอนตัวออกไปเงียบๆ

ภายในห้องจึงเหลือเพียงสองคน ชาร้อนส่งกลิ่นหอม หยางชูชงชาเสร็จก็รินใส่ถ้วย

ฮ่องเต้จิบชาแล้วตรัสว่า “ตอนเจ้ายังเด็กซนไม่ต่างจากลิงไม่คิดว่าจะร่ำเรียนวิธีชงชาเช่นนี้ด้วย”

หยางชูยิ้ม “ท่านย่าเป็นคนจัดการพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ยินเขาเอ่ยถึงพี่ใหญ่ฮ่องเต้ก็มีใบหน้าโศกเศร้า “แค่พริบตาเดียวพี่ใหญ่ก็จากไปสามปีแล้ว สามปีนี้เจิ้นใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าหากเจิ้นทำอะไรผิดไปจะไม่มีคนคอยเตือน”

พระองค์วางถ้วยชาลงแล้วถอนหายใจ “นั่งตำแหน่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! ภายในต้องควบคุมขุนนางเป็นร้อย ปกครองประชาชน ภายนอกต้องปราบปรามหูเหริน[1] ไตร่ตรองเรื่องใหญ่โตมากมาย เจิ้นขึ้นครองราชย์มาสิบแปดปี ตอนแรกยังคิดสืบทอดคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้องค์ก่อน ส่งทหารไปแดนใต้ รวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง แต่สิบกว่าปีมานี้ทำได้เพียงปกป้องบ้านเมืองเท่านั้น”

หยางชูไม่พูดอะไรเขารู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการให้เขาพูดอะไร แค่ต้องการคนรับฟังเท่านั้น

ฮ่องเต้หัวเราะด้วยความขมขื่น “ดาวมารงั้นหรือ เจิ้นทำอะไรไม่ดีหรือ สวรรค์ถึงต้องเตือนเช่นนี้”

หยางชูตอบเสียงเบา “ไม่ว่าฝ่าบาททำดีหรือไม่ดี แต่ดาวมารปรากฏขึ้นแล้ว ใต้หล้าในตอนนี้ดูเหมือนสงบสุข แต่ผู้ใดจะรู้ว่าฝ่าบาทต้องแบกรับความกดดันมากเพียงใด พวกหูเหรินทางเหนือ แคว้นฉู่ทางใต้ ยังมีปัญหาทางการเมืองและการเงินที่หลงเหลือจากการพิชิตทางใต้ของฮ่องเต้องค์ก่อน สิ่งที่พระองค์รับมา แต่เดิมไม่ใช่แผ่นดินที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแต่แรกแล้วจะตำหนิฝ่าบาทได้อย่างไร”

ฮ่องเต้ที่รู้สึกถูกปลอบโยนหัวเราะ “มีคนบอกว่าเจ้าพูดจาไร้สาระ ไม่คิดว่าจะมองเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน”

หยางชูรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “เมื่อก่อนกระหม่อมไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ทำงานที่หวงเฉิงซือ ได้รับรู้เรื่องราวมากมายจึงเข้าใจถึงความยากลำบากของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ถ้าหากทุกคนเข้าใจได้ก็คงจะดี…”

…………

ไท่จื่อเจียงเชิ่งมองประตูห้องโถงด้วยสีหน้าเงียบขรึม

ทันทีที่อวี้หยางพูดถึงดาวมารเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เมื่อกลุ่มคนที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ออกมา เจียงเชิ่งก็รีบเดินทางขอเข้าพบทันที แต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้บอกให้เขากลับไปพักผ่อน

เจียงเชิ่งจะสบายใจได้อย่างไรผ่านไปไม่นานเขาก็หันกลับมาอีกครั้ง

ผู้ใดจะรู้เขารอนานขนาดนี้เห็นเพียงว่านต้าเป่าที่เดินออกมา

“ว่านกงกง เสด็จพ่อ…”

ว่านต้าเป่าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไท่จื่อเสด็จกลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเพลียพระวรกาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรไท่จื่อไม่ต้องกังวลพระทัยไปพ่ะย่ะค่ะ”

อารมณ์ของเจียงเชิ่งผ่อนคลายลง ฮ่องเต้ไว้ใจหลู่เฉียนมาก หากเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ จะต้องปรึกษาเรื่องนี้กับอีกฝ่ายแน่นอน

เมื่อคิดเช่นนั้นเจียงเชิ่งจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่รบกวนกงกงแล้ว”

“ส่งเสด็จไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเชิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นก็มีขันทีเล็กเดินออกมาจากด้านในแล้วรายงานว่า “ว่านกงกง คุณชายสามเรียกให้เตรียมเครื่องเสวย” ว่านต้าเป่ารีบกลับเข้าไปจัดการ

สีหน้าของเจียงเชิ่งมืดครึ้มลงทันที คนที่สามารถเข้าเฝ้าได้มีเพียงคุณชายสามคนเดียว และเป็นคุณชายสามจากจวนโป๋วหลิงโหวด้วย เขาถูกขวางจากด้านนอกไม่ให้เข้าพบ แต่เด็กนั่นกลับเข้าไปได้!

เจียงเชิ่งรู้สึกร้อนในอก

เหวินยวนที่ติดตามมาด้วยมองอย่างระมัดระวัง เขากระซิบบอกว่า “ไท่จื่อ กลับไปค่อยคุยกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเชิ่งระงับอารมณ์ด้วยความยากลำบาก เขาสั่งการว่า “เจ้าไปเรียกอวี้หยางมาบอกให้เขามาพบข้า” แล้วยังพูดเสริมอีกว่า “อย่าให้คนอื่นพบเข้าล่ะ”

……………

[1] หูเหริน : ใช้เรียกชนเผ่านอกด่านหรือคนที่ไม่ใช้คนจีน (ในสมัยก่อน) ซึ่งรวมหมดทั้ง ซงหนู เซียเปย มองโกลหรืออื่นๆ