บทที่ 236: การเจรจากับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 236: การเจรจากับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 (1)

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสียงของนางจึงแหบพร่าเช่นนั้น มันคงไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างปกติหลังจากที่ลำคอถูกปาดเช่นนี้

“นำทางไปที” ฉินเย่พยักหน้าให้กับอีกฝ่าย โนฮิเมะก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวและเดินกลับเข้าไปในวัด สาวรับใช้ของนางเองก็หันหลังกลับไปแทบจะในเวลาเดียวกัน

มันเป็นตอนนั้นเองที่ฉินเย่สังเกตเห็นว่าสาวใช้แต่ละตนมีมีดสั้นถูกปักอยู่ที่หลัง

สาวใช้ทั้งหมดที่ตายไปพร้อมกับโนบูนางะ

ฉินเย่หันไปมองเหล่านักรบที่ยืนอยู่ห่างออกไป ต้นไม้ที่อยู่โดยรอบแกว่งไกวเล็กน้อย เงาของต้นไม้ทั้งหมดฉายไปบนพื้นเหนือนักรบทั้งหมดที่สะท้อนประกายแสงสีแดงของตะเกียงไฟสีแดงออกมา และราวกับอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา วิญญาณทั้งหมดหันหน้ามองอย่างพร้อมเพรียงกัน เผยให้เห็นเปลวไฟสีเขียวหยกที่ลุกโชนอยู่ในส่วนที่ควรจะเป็นเบ้าตา

สายลมอ่อน ๆ พัดผ่าน และเงาที่เคลื่อนตัวไปมาก็ทำให้ทุกอย่างโดยรอบดูมืดลงกว่าเดิม วินาทีนั้น ฉินเย่พบว่าตนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟนรกสีเขียวหยกที่น่าสะพรึงกลัว แทบจะเหมือนกับว่าฝูงหมาป่าที่หิวโหยกำลังนอนรอชิ้นส่วนของเขาที่กระเด็นหลุดออกจากร่าง หากเป็นคนธรรมดาที่มายืนอยู่ตรงนี้คงจะกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวไปแล้ว

ดวงตาของเด็กหนุ่มหรี่เล็กลงขณะที่เขาหันกลับมามองตัววัด ภายใต้สถานที่อันงดงาม วิญญาณโบราณหลายร้อยตนที่ยืนเฝ้าสถานที่แห่งนี้มานานนับร้อยปีจ้องมองมาที่ฉินเย่เขม็ง คลื่นพลังหยินที่พรั่งพรูออกมาจากร่างของพวกเขาดูเหมือนจะคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้นที่สั่งสมออกมาหลายร้อยปี

นี่คือวัดฮนโน…

“ไม่ต้องกังวล” หมิงชีหยินกระซิบเสียงเบา “โนบูนางะเคยมาเยือนที่ยมโลกของเราครั้งหนึ่ง และเขาก็รับรู้ถึงวันคืนอันรุ่งโรจน์ของเราเป็นอย่างดี เขาไม่กล้าทำอะไรเจ้าโดยที่ข้ายังอยู่รอบ ๆ แน่”

ฉินเย่พยักหน้าและสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อข่มใจ จากนั้นเขาจึงก้าวขึ้นไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยเงินกระดาษและเดินตรงเข้าไปในวัด

ทุกสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นสว่างไสวเป็นอย่างมาก

โครงสร้างภายในของวัดดูเหมือนกับโรงแรมของญี่ปุ่น ทางเดินที่แคบและพื้นไม้ที่มีคราบเลือดแห้งกรังจนมีสีน้ำตาลแดงอย่างผิดปกติ บานประตูเลื่อนที่อยู่ด้านข้างถูกตกแต่งด้วยภาพอูกิโยะ ขณะที่ฉินเย่เดินไปตามทาง เขาได้ยินเสียงพูดคุยอย่างดุเดือดดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งบานประตูเลื่อน อันที่จริง บานประตูดังกล่าวนั้นโปร่งแสงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นเงาของคนในชุดเกราะจำนวนมากกำลังโต้เถียงกันอย่างร้อนแรง

ฉินเย่นิ่งไป

ทันใดนั้น ร่างที่อยู่ด้านหลังประตูก็มีปฏิกิริยาราวกับว่าอีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา และผมบนศีรษะของพวกเขาก็เริ่มสยายออก และภายในชั่วพริบตา ร่างเงาดังกล่าวก็กลายเป็นรูปร่างของมนุษย์หมาป่า ฉินเย่ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามมีขนงอกออกมาจากทั่วทุกมุมของร่างกาย

ฟึ่บ ! ฉินเย่สามารถบอกได้ว่าร่างทั้งหมดมีดวงตาแดงก่ำที่กำลังจ้องมองกลับมาที่เขาอย่างน่าสะพรึงกลัว กลืนกินเขาด้วยความหวาดกลัวและความอึดอัด

“โง่สิ้นดี” ฉินเย่เอ่ยออกมาและเปิดประตู

มันไม่มีอะไรอยู่ในนั้น

ด้านในมีเพียงห้องโทรม ๆ ห้องหนึ่ง เสื่อทาทามิที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะและกำแพงที่เต็มไปด้วยใยแมงมุม บนโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องมีตะเกียงน้ำมันที่มีเปลวไฟสีเขียวหยกลุกโชนวางอยู่พร้อมกับโครงกระดูกสองชุดที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่งของโต๊ะ

โครงกระดูกทั้งสองสวมชุดเกาะขนาดใหญ่เหมือนกันที่มักจะเห็นในเหล่านักรบผู้องอาจของญี่ปุ่นในสมัยโบราณ นอกจากนี้ พวกเขายังถือมีดสั้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วแทงเข้าไปที่ช่องท้องของพวกตนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาล่วงเลยมานานนับร้อยปี ส่วนที่ควรจะเป็นท้องของพวกเขาจึงว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ และมีดสั้นก็ตกลงมาอยู่บริเวณกระดูกเชิงกรานแทน

และมันก็เป็นวินาทีนั้นเองที่เหล่าสาวใช้ที่ถือตะเกียงไฟโบราณโค้งคำนับเด็กหนุ่มด้วยความเคารพก่อนจะลอยกลับเข้าไปในโลกเสมือนจริงของภาพอูกิโยะบนบานประตูเลื่อนตามเดิม

ฉินเย่เดินเข้าไปดูภาพวาดตรงหน้าใกล้ ๆ ภาพอูกิโยะตรงหน้าดูเหมือนจะพรรณนาถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของโอดะโนบูนางะ เช่นเดียวกับภาพวาดของจีนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเหล่าแม่ทัพ ตอนนี้เหล่าสาวใช้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดอีกครั้ง ทว่าเมื่อฉินเย่เดินเข้าไปตามทางเดิน เขากลับสัมผัสได้ว่าพวกนางยังคงหันหน้ามามองตามเขา จ้องมาที่แผ่นหลังเขาด้วยดวงตาเปล่งประกายสีเขียวหยก

มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาเดินไปตามทางเดินยาวที่เต็มไปด้วยหิ่งห้อยไม่มีผิด

“นี่คือวิธีการที่ตระกูลโอดะปฏิบัติต่อแขกของเขาอย่างนั้นหรือ ?” ฉินเย่เดินมาถึงปลายสุดของทางเดิน ด้านหน้าของเด็กหนุ่มคือฉากกั้นที่มีกระถางต้นบ๊วยวางอยู่ ใบของมันได้เหี่ยวแห้งไปนานแล้วและตอนนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยกะโหลกสีขาวซีดที่ห้อยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นอย่างน่าขนลุกแทน

“กรุณาอย่าใส่ใจ พวกนางเพียงแกล้งเล่นเท่านั้น” โนฮิเมะโค้งคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพ “นายท่าน ท่านโอดะกำลังรอท่านอยู่ที่ห้องด้านใน ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป เชิญ…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินเย่จึงเดินอ้อมฉากกั้นและเขาก็พบว่าตนเดินเข้ามาในห้อง ๆ หนึ่ง

…เสื่อทาทามิถูกปูอยู่ทั่วห้อง มันเป็นเพียงห้องเดียวในวัดฮนโนที่ยังคงดูใหม่ แต่ถึงกระนั้น มันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้และกลิ่นของศพที่ถูกเผา

ข้าวของตกแต่งภายในห้องดูเหมาะสมกับผู้ที่เป็นไดเมียวในอดีต ดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวโผล่ออกมาจากแจกันทองเคลือบที่ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของห้อง และม่านไม้ไผ่ที่ห้องปิดลงมาจากบนเพดานครึ่งหนึ่ง ชายในชุดฮาโอริสีดำนั่งอยู่ด้านหลังของม่านพวกนั้น รอคอยการมาถึงของฉินเย่อย่างอดทน

ฉินเย่นั่งลงตรงหน้าอีกฝ่ายและค้อมศีรษะให้เล็กน้อย “ท่านโอดะ ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”

“กล้าเข้ามาหาข้าถึงในอาณาเขตของข้า เจ้าช่างกล้าดีจริง ๆ” เสียงแหบพร่าดังออกมาจากด้านหลังม่านไม้ไผ่ “เราเคยเจอกันแล้ว”

“เป็นเช่นนั้น” ฉินเย่เอ่ยตอบเสียงเรียบ “พวกเราเคยเจอกันที่สุสานที่อยู่ห่างจากที่นี่หลายพันลี้ แต่มันดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อกันเท่าไหร่นักในตอนนั้น”

“พอได้แล้ว” พัดกระดาษขลิบทองยื่นออกมาจากอีกด้านหนึ่งของม่าน ฉินเย่หรี่ตาลง เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่ามือที่ถือพัดอยู่นั้นเต็มไปด้วยรอยจ้ำสีแดงคล้ำและถูกไหม้จนเกรียมไปหมด

โนบูนางะเคาะพัดในมือของตนลงบนเสื่อทาทามิเบา ๆ “ข้าไม่ชอบพูดให้มากความ”

“ที่ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้ามาก็เพียงเพราะเห็นแก่ท่านหมิง และข้าก็ขอสัญญาว่าข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป ข้าไม่โง่พอที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับยมโลกของจีน แต่เจ้าควรรีบเข้าเรื่องและพูดมาว่ามีธุระอะไรกับข้า เพราะข้าไม่ชอบกลิ่นของมนุษย์ที่ติดอยู่บนตัวของเจ้าเท่าไหร่นัก”

เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงลุกโชนของเปลวไฟนรกที่ส่องสว่างอยู่ภายในห้องก่อนที่โอดะโนบูนางะจะเอ่ยต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ “กลิ่นของมนุษย์ทำให้ข้ารู้สึกหิวโหยและอิจฉาเจ้าจนข้าแทบจะไม่สามารถต้านความต้องการที่จะกลืนกินเจ้าได้”

ฉินเย่หลับตาลงและสูดหายใจเข้าช้า ๆ การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถโน้มน้าวราชาปีศาจอายุ 400 ปีให้ยอมสวามิภักดิ์ต่อยมโลกได้หรือไม่

นี่คือสนามรบที่ปราศจากปืนและสงคราม

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และตั้งสติ จากนั้นจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งและจ้องผ่านเข้าไปในม่านไม้ไผ่ “ท่านโอดะ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับยมโลกของจีน ?”

“แข็งแกร่ง ทรงพลังยิ่งนัก” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของโอดะนั้นเจือไปด้วยอารมณ์ “ในตอนที่ข้าคิดว่าญี่ปุ่นจะสามารถรวมเป็นหนึ่งได้ ข้าได้เดินทางมาที่จีนครั้งหนึ่ง มันเป็นช่วงยุคสมัยของราชวงศ์หมิง ในเวลานั้น ข้าตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของยมโลกเป็นอย่างมาก พระยมกว่า 20 ตน… พวกเขาแข็งแกร่งพอ ๆ กับตัวของอิซานามิเอง และที่สำคัญ นั่นคือข้าไม่เคยคิดที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับจีน”

ฉินเย่สามารถรับรู้ได้ถึงความจริงใจจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย “ด้งนั้น หากเจ้ามาที่นี่ในนามของท่านเปา กรุณานำสารของข้ากลับไปบอกเขา”

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างจากที่เด็กหนุ่มคิดเอาไว้มาก

ก่อนจะมาที่นี่ ฉินเย่เตรียมคำพูดมากมายภายใต้สมมติฐานต่าง ๆ และมั่นใจแล้วว่าตัวเองสามารถรับมือกับราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ได้ แต่คำตอบของโนบูนางะต่อคำถามเบื้องต้นของเขากลับทำให้อัตราความสำเร็จที่ตั้งไว้ที่ 60% กระโดดไปที่ 90% ทันที !

โอดะโนบูนางะคิดว่าเขาคือผู้ส่งสารของท่านเปา

หรืออีกนัยหนึ่งก็คืออีกฝ่ายยังไม่รู้เกี่ยวกับหายนะครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับยมโลก

นอกจากนี้คำพูดของโนบูนางะยังเต็มไปด้วยความหมายมากมาย ทำไมเขาถึงแสดงความเคารพต่อยมโลกของจีน ?

มันก็เป็นเพราะว่าเขายังคงมีความคิดที่จะโต้กลับญี่ปุ่นในสักวันหนึ่ง !

เขาเกือบจะสามารถรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งได้แล้ว แต่ความฝันและความหวังของเขากลับพังทลายลงเพียงเพราะเหตุการณ์ที่วัดฮนโน ความคับแค้นใจที่ฝักร่างลึกเช่นนี้จะสลายไปหลังจากผ่านไปเพียงแค่ 400 ปีได้อย่างไร ?

ที่เขาแสดงความเคารพต่อยมโลกก็เพราะว่าเขายังต้องการครอบครองญี่ปุ่น และเขาก็ไม่ต้องการพบว่าขณะที่ตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับยมโลกของญี่ปุ่นอยู่ ยมโลกของจีนเองก็กำลังมายืนรอทำศึกกับเขาเช่นกัน เพราะอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่ว่าจีนจะไม่เคยเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในของชาติอื่นมาก่อน

ภายในหัวของฉินเย่หมุนอย่างรวดเร็ว ประสบการณ์มากมายของเขาทำให้เขาได้เปรียบในการอ่านผู้คน และกระบวนการคิดของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าโอดะโนบูนางะเลยแม้แต่น้อย ภายในไม่กี่วินาที เขาก็ปรับกลยุทธ์ของตัวเองใหม่ จากนั้น ด้วยรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า เด็กหนุ่มตอบกลับไปว่า “แล้วท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับยมโลกของญี่ปุ่น ?”

เบื้องหลังของม่านไม้ไผ่ ในที่สุดโนบูนางะก็ขยับ ดวงตาของเขาวาวโรจ์จนดูเหมือนจะทะลุออกมาจากม่านไม้ไผ่ตรงหน้า เขาแค่นหัวเราะออกมา “เมืองใต้พิภพ”

ฉินเย่เอ่ยต่อ “ท่านรู้ถึงกองกำลังที่อยู่ในมือของยมโลกญี่ปุ่นหรือไม่ ?”

โดยไม่เสียงจังหวะ ฉินเย่เอ่ยต่อ “พวกเขามีเหล่าผู้มีพรสวรรค์จากยุคเซ็นโงกุ ไม่ว่าจะเป็นทาเกดะ ชิงเง็ง อูเอซูงิ เค็นชิง และอดีตพันธมิตรของท่าน โทกูงาวะ อิเอยาซุ แม้แต่อะซะอิ นะงะมะซะและอาเกจิ มิตสึฮิเดะเองก็อยู่ที่นั่น”

ฉินเย่ลอบมองภาษากายของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ภายใต้ม่านไม้ไผ่

ดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาอะไร

แต่ฉินเย่รู้ดี เขาสามารถบอกได้ว่าการเอ่ยถึงชื่อเหล่านี้ทำให้โนบูนางะกระชับมือที่กำพัดแน่นขึ้น

“เวลานี้พวกเขาทั้งหมดต่างรับใช้อิซานามิทั้งสิ้น” ฉินเย่ก้มหน้าลงเล็กน้อยและเลียริมฝีปากของตนเอง “หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ตราบใดที่ท่านปรารถนาที่จะแย่งชิงญี่ปุ่นกลับคืนมา ท่านจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าไดเมียวทั้งหมดในยุคสมัยนั้น”

ลมหายใจของฉินเย่ร้อนผ่าว “ท่านจะยอมแพ้หรือไม่ ?”

“ยอมสละความฝันของตัวเอง ?”

“ยอมสละความทะเยอทะยานที่จะพิชิตและรวมญี่ปุ่นเป็นหนึ่งเดียวหลังจากที่อยู่ห่างจากมันเพียงแค่ก้าวเดียว ?!”

“ท่านจะยอมสละโอกาสในการแก้แค้นอาเกจิ มิตสึฮิเดะสำหรับลูกธนูที่วัดฮนโนหรือไม่ ?”

เงียบกริบ….

โอดะโนบูนางะพูดอะไรไม่ออก เขาไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป

ความฝันเหล่านี้ที่ก่อให้เกิดความแค้นและความหมกมุ่นที่รบกวนจิตใจเขามานานนับร้อยปี มันไม่มีทางที่เขาจะหลอกตัวเองและเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องจากส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจของเขาได้

“เจ้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ?” โอดะโนบูนางะเอ่ยออกมาหลังจากเงียบไปพักใหญ่ “นี่คือข้อความจากเจ้าหรือข้อความที่ท่านเปาส่งมาถึงข้า ?”

อีกความหมายหนึ่งก็คือเขาต้องการจะรู้ว่ายมโลกจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ เพราะอย่างไรแล้วมันก็คงใช้เวลาอีกไม่กี่เดือนที่จะกำจัดกองกำลังของอิซานามิหากท่านเปาเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง โอดะโนบูนางะรู้ซึ้งถึงขอบเขตอำนาจของยมโลกเป็นอย่างดี

อีกฝ่ายจะช่วยตนอย่างนั้นหรือ ?

อีกฝ่ายกำลังให้โอกาสตนได้ล้างแค้นความอาฆาตในอดีตอย่างนั้นหรือ ?

ความคิดพวกนี้ทำให้หัวใจของโอดะโนบูนางะสั่นไหวเป็นอย่างมาก

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาเริ่มต้นได้ดี แต่มันยังไม่ดีพอ

ความหมกมุ่นคือพันธมิตรที่ดีที่สุดสำหรับเด็กหนุ่มในตอนนี้ โอดะโนบูนางะจะยอมปล่อยความปรารถนาอันยาวนานนับร้อยปีของตัวเองไปได้อย่างไร ? ความคิดพวกนี้มันกลายเป็นมากกว่าความหมกมุ่นไปแล้ว

“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น “มันไม่สำคัญว่ามันเป็นเจตนาของผู้ใด แต่คำถามที่ท่านต้องถามตัวเองก็คือท่านเต็มใจที่จะยืนหยัดอยู่ฝั่งเดียวกันกับอาเกจิ มิตสึฮิเดะอีกครั้งหรือไม่”

เสียงพับพัดดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่ฉินเย่กำลังเอ่ยออกมา

โนบูนางะไม่ได้ตอบออกไปด้วยคำพูด

แต่การกระทำของเขาได้ตอบคำถามของฉินเย่อย่างไม่ต้องสงสัย

ฉินเย่ถามต่อ “และท่านจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าท่านจะต้องรับใช้ใครคนหนึ่งอีกครั้งได้หรือไม่ ? ท่าน ผู้ที่อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะได้เป็นจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น จะต้องตกเป็นเพียงขุนนางระดับสูง ?”

“หากท่านไม่สามารถรับได้ มันก็นำไปสู่คำถามที่ว่า ด้วยกำลังทหารเพียง 2,000 นายของท่าน… มันมีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านอิซานามิและเหล่าไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดหรือไม่ ?”

ฉินเย่เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ท่านโอดะ กาลเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว !”