นายใหญ่เฉินสีหน้าเคร่งขรึม

“ชายสาม เจ้าคิดว่าเขาน่าสงสารอย่างนั้นหรือ แล้วคิดว่าแม่นางเฉิงชั่วร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” เขาเอ่ย “ราชเลขาหลิวกับแม่นางเฉิงเกลียดชังกันจนไม่มีวันปรองดองกันได้ หากไม่ใช่เจ้าตาย ก็เป็นข้าที่จะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เฉกเช่นสองทหารสู้รบกัน ไม่ใช่เรื่องของคุณธรรม ความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ เพราะผู้ชนะคือราชาผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนผู้แพ้เป็นได้แค่เฉลยศึก แล้วจะถกเถียงว่าผู้ชนะน่ารังเกียจ ผู้แพ้จิตใจดีอย่างนั้นหรือ บัดนี้เจ้าทำงานในศาลาว่าการ ทำงานราชการ ก็อย่าได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไปหน่อยเลย”

เฉินเซ่ารีบคำนับ

“ขอรับท่านพ่อ” เขาเอ่ยแล้วเงยหน้าขึ้น “ข้ามิได้รู้สึกว่าราชเลขาหลิวน่าสงสาร แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าแม่นางเฉิงนั้นชั่วร้าย เพียงแต่…ขุนนางร่วมสำนักต้องมาจากไปเช่นนี้…แม่นางเฉิงผู้นี้ ช่าง…ช่าง…”

คำพูดที่เหลือถูกกลืนลงไปไม่ได้เอ่ยออกมา

อันที่จริงนางนั้นใจดำอำมหิต เลือดเย็น เหี้ยมโหดเป็นดังเช่นที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ หากเป็นคนอื่นเผชิญหน้ากับอันตรายที่ขวางทาง หากไม่ถอยหลังก็ต้องคงหลบหลีก แต่นางกลับท้าทายอุปสรรคตรงหน้าด้วยการฟาดฟัน ทั้งยังถอนรากถอนโคนจนสิ้น จัดการเสียจนราบเป็นหน้ากลอง ไม่มีหลงเหลือแม้แต่เศษซาก

แต่สิ่งที่สำคัญคือจนถึงบัดนี้ยังคงไม่มีใครล่วงรู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง  เกรงว่าแม้แต่ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของนางก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนถูกผู้ใดสังหาร แม้ตอนนี้เขาจะรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่กลับไม่สามารถปริปากพูดออกไปได้ เช่นนั้นแล้วสู้ไม่รู้ยังจะดีเสียกว่า!

ถึงแม้จะเป็นการป้องกันตัวเอง เพราะผู้อื่นท้าทายมานางก่อน แต่ทว่าคนที่เหี้ยมโหดเช่นนี้ ก็ยังคงทำให้คนระแวดระวังตัว

คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ยากจะหลีกหนีให้ไกลจากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ การคบหาฉันมิตร

ผู้ใดจะกล้ารับปากว่าตนเองจะเผลอพูดผิดพลาดหรือกระทำผิดต่อใครไป

แต่ถ้าหากทำผิดต่อนางแล้วล่ะก็…

ข้างกายมีคนที่ฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ ช่างทำให้รู้สึกว่า…

แต่ก็ต้องจำไว้ว่านางยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง

นายใหญ่เฉินสีหน้าเคร่งขรึม

“ใช่ หากเปรียบกับความดีแล้ว ทุกคนต่างสนใจในความชั่วเสียมากกว่า” เขาถอนหายใจเอ่ย “ชั่วหนึ่งทีลบล้างความดีร้อยหน”

“ท่านพ่อ จะให้พูดอื่นรู้เรื่องที่นางทำไม่ได้เด็ดขาด”  เฉินเซ่าเอ่ย

หากให้ผู้อื่นรับรู้เรื่องนี้ พวกเขาคงไม่เหมือนท่านพ่อของเขาที่จะเห็นอกเห็นใจ สงสารในความทุกข์ยากของผู้หญิงคนนี้ เพราะทุกคนล้วนรักตัวเองมากกว่า

นางต้องตกระกำลำบาก ทั้งยังต้องพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายที่ทุกคนคงมองไม่เห็น ถึงมองเห็นก็คงไม่มีความรู้สึกอันใด แต่เมื่อรู้ว่านางไม่ได้ถูกคนทำร้าย แต่กลับจัดการคนที่จ้องจะทำร้ายนางแทน ความรู้สึกของทุกคนกลับแตกต่างออกไป

ยิ่งนางวางแผนการได้อย่างแยบยลเช่นนี้  ทุกเรื่องไปเป็นตามที่นางวางหมากเอาไว้  ไม่มีแม้แต่จุดบกพร่อง ไม่ทิ้งร่องรอยใด สังขารคนได้โดยไม่เห็นแม้แต่คราบเลือด

ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวทุกคนคืออันตราย

ช่างเป็นบุคคลที่อันตรายเสียเหลือเกิน เผชิญหน้ากับคนอันตราย คนธรรมดาจะเลือกหลบหนี ส่วนคนที่แข็งแกร่งมักจะเลือกกำจัดอันตรายนั้น

คนที่ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งมีความสามารถ ก็ยิ่งไม่ยอมให้ข้างกายมีคนอันตรายเช่นนี้หลงเหลืออยู่ และพวกเขาก็มีความสามารถมากพอที่จะกำจัดอันตรายพวกนี้ให้สิ้นซาก

นายใหญ่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย

“นางก็รู้จุดนี้ดี ดังนั้นถึงได้ทำเรื่องพวกนี้อย่างมีกฎเกณฑ์ รอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ทิ้งร่องรอย” เขาเอ่ย พลางเปลี่ยนท่านั่ง “เจ้าไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือไม่ ว่าครั้งนี้นางมีจุดบกพร่องใด”

“ตอนที่ราชเลขาหลิวล้มพับไป เขาเอาแต่พูดว่าข้าได้เป็นรองเจ้ากรมแล้ว ตอนนั้นข้าเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งไปไม่กี่วัน ในสำนักจึงลือกันไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับการคัดเลือกรองเจ้ากรม ได้ยินมาว่าชื่อของราชเลขาหลิวก็อยู่ในข่าวลือมากที่สุด” เฉินเซ่านึกย้อนกลับไป “ตอนนั้นทุกคนต่างพูดคุยสนุกสนาน ท่านชายเล็กของอาลักษณ์หลวงฉินเดินผ่านมา ก็หัวเราะตามพลางเอ่ยยินดี หลังจากนั้นราชเลขาหลิวก็เสียสติไป”

“อาลักษณ์หลวงฉินหรือ” นายใหญ่เฉินเอ่ย “ท่านชายเล็กของตระกูลเขาไปทำอะไรที่นั่น”

“บอกว่ามาเพราะเรื่องกุยเต๋อหลางเจียงแห่งตระกูลโจว” เฉินเซ่าเอ่ยด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านชายน้อยฉินสนิทสนมกับท่านชายหกของบ้านตระกูลโจวนัก เขาเดินเข้าออกสำนักเช่นนี้ คงได้ยินทุกคนพูดถึง กล่าวอวยพรยินดี ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

นายใหญ่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย

“ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องแปลก” เขาเอ่ยซ้ำทว่าฟังดูเหมือนมีความหมายแฝง “ประจวบเหมาะนัก ประจวบเหมาะนัก รอบคอบมาก”

พอพูดถึงตรงนี้ก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“ราชเลขาหลิวพลาดท่าเข้าแล้ว” เขากระซิบ “แม้จะตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบมาทั้งชีวิต คนมากมายถูกทำลายด้วยน้ำมือของเขา สุดท้ายกลับถูกเด็กทั้งสองเล่นงาน คนฉลาดหลักแหลมอย่างราชเลขาหลิว ตอนนี้คงรู้ความจริงแล้วกระมัง…”

พูดถึงตรงนี้ก็พลันนึกถึงคำพูดที่หญิงผู้นั้นพูดกับราชเลขาหลิวขณะรักษาโรค

ต้องรักษาจิตใจให้เบิกบานถึงจะหายเร็ว

โหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปแล้ว

นายใหญ่เฉินสบถคำหยาบขึ้นมาในใจ

“ชายสิบสาม”

ณ ห้องโถง อาลักษณ์หลวงฉินตะโกนรั้งท่านฉินสิบสามที่มากล่าวทักทายยามเช้าแล้วกำลังจะขอตัวลา

“ขอรับท่านพ่อ” ท่ายชายฉินสิบสามหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองเขา

อาลักษณ์หลวงฉินกลับไม่พูดอะไรแล้วมองดูบุตรชายด้วยท่าทีลังเล

“หลายวันมานี้เจ้าไปศาลาว่าการเพื่อบ้านตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ” เขานิ่งชั่วขณะแล้วถามขึ้น

“ใช่ขอรับ ท่านพ่อ ปิดบังท่านมิได้จริงๆ ” ท่าชายฉินสิบสามเอ่ย “มิได้ก่อเรื่องให้ท่านปวดหัวใช่หรือไม่”

อาลักษณ์หลวงฉินส่ายศีรษะ

“แน่นอนว่าไม่มี” เขาเอ่ยก่อนเงียบไปครู่หนึ่ง “ข่าวว่าราชเลขาหลิวอาจได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรม  เจ้าไปได้ยินมาจากที่ไหน”

“ก็พวกคนที่มักอยู่ที่ศาลาว่าการอย่างไรเล่าขอรับ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวล “ท่านพ่อ ลูกพลั้งปากทำผิดกฎข้อห้ามไปแล้ว มิควรเล่นสนุกตามเขาเลย มิเช่นนั้นราชเลขาหลิวก็คงไม่…”

เขาเอ่ยถึงตรงนี้สีหน้าเป็นทุกข์พลางนึกโทษตนเอง

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชายสิบสามได้เช่นไร” เสียงของฮูหยินฉินดังมาจากข้างใน “ขุนนางตำแหน่งขึ้นลงมีอยู่มากมาย สุขบ้างทุกข์บ้าง ก็ไม่เคยพบสักคนที่เสียสติเช่นเขา! แล้วก็ไม่เคยเห็นใครที่ใจแคบเช่นเขา ช่างน่าขำยิ่งนัก! ”

ฮูหยินนั้นฉลาด ทั้งยังมีไหวพริบวาจาคมคาย หาคำแก้ต่างได้ดียิ่งนัก อาลักษณ์หลวงฉินไม่ต่อล้อต่อเถียงคำพูดของฮูหยิน แต่กลับหัวเราะพลางส่ายหน้า

“ไปเถอะ ไปเถอะ มิเป็นไร มิเป็นไร” เขาโบกมือขึ้นพลางเอ่ยกับท่านชายฉินสิบสาม

“พรุ่งนี้ลูกจะไปเยี่ยมราชเลขาหลิวเสียหน่อย” ฉินสิบสามเอ่ย

“ไม่ต้อง” อาลักษณ์หลวงฉินพูดพลางพยักหน้า ก่อนจะเน้นย้ำอีกครั้ง “ไม่ต้องหรอก”

ถึงแม้จะเป็นขุนนางเช่นเดียวกัน แต่ตระกูลของคนพวกนั้นกับตระกูลใหญ่ของพวกเขาไม่เหมือนกันเลยสักนิด หากยังเป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกัน เกรงใจกันเสียหน่อยก็เป็นการรักษาความสัมพันธ์ทางใจซึ่งกันและกัน แต่บัดนี้ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว

ท่านชายฉินสิบสามตอบรับ ค้ำไม้เท้าแล้วหันหลังกลับโดยมีบ่าวรับใช้คอยพยุงเดินออกไป

ถึงแม้จะเห็นมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นบุตรชายเดินขากะเผลก ดวงตาของอาลักษณ์หลวงฉินก็ยังคงเจ็บปวด

“พอแล้ว หยุดมองได้แล้ว” เสียงของฮูหยินฉินดังมาจากข้างใน “คนยังดีอยู่ก็ดีแล้ว”

อาลักษณ์หลวงฉินจัดการความรู้สึก ก่อนจะยิ้มบางเดินเข้าห้องไป

ภายในห้องโคมไฟส่องสว่าง โต๊ะหมากล้อมและกระดานหมากรุกถูกวางบนพรมลายดอกไม้ ทั้งยังมีฉากกั้นลายหญิงงามใต้ร่มไม้

ทว่าด้านหน้าโต๊ะไม้ยาวกลับว่างเปล่า

“โรคของราชเลขาหลิวค่อนข้างประหลาด” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าโต๊ะหมากรุก

ยามเมื่อจัดแจงเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ฮูหยินฉินก็เดินออกมาจากหลังฉากกั้น โบกพัดทรงกลมในมือไหวๆ

“ประหลาดอย่างไรหรือ” นางเอ่ย

“เฉินเซ่าเลื่อนขั้นมิใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ราชเลขาหลิวมารับตำแหน่งต่อ ข่าวนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ย พลางใช้นิ้วคีบหมากรุก เดินหมากที่ค้างไว้ “วันนี้ข้าไปถามแล้ว มีคนอ้างว่าข้าเป็นคนพูด”

“แล้วท่านได้พูดออกไปหรือไม่” ฮูหยินฉินนั่งลงตรงหน้าพลางเอ่ยถาม มือหนึ่งเดินหมากไปข้างหน้า ส่วนอีกมือเก็บหมากลงมาตัวหนึ่ง

“พูดน่ะข้าพูดไปแล้ว แต่ว่านั่นเป็นเพราะว่าชายสิบสามถามขึ้นมาก็เท่านั้น ตอนที่มีคนถามข้า ข้าก็ตอบไปอย่างนั้นแหละ ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นราชเลขาหลิว ถึงแม้ข้าจะอยู่ข้างกายฝ่าบาท แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร” อาลักษณ์หลวงฉินเอ่ยพลางขมวดคิ้วแล้วเก็บหมากลงอีกตัวหนึ่ง

“ข่าวนี้ก็แค่ลมปาก มาจากที่ไหนก็ไม่สำคัญ ไร้ลมมิเกิดคลื่น จะสนว่าผู้ใดเป็นคนพูดทำไมกัน บนโลกนี้มีทั้งคนมีทั้งเรื่องราวมากมาย จะไม่ให้ผู้ใดพูดถึงเลยหรืออย่างไรกัน” ฮูหยินเฉินเอ่ยอย่างมิใส่ใจ สีหน้าครุ่นคิด

อาลักษณ์หลวงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีสิ่งผิดปกติตั้งแต่ต้น แต่ก็บอกไม่ถูกว่าตรงจุดไหน

“ช่างเถิด ก็ต้องโทษที่เขาใจไม่กว้างพอ ถึงได้เป็นเรื่องใหญ่ ก็เป็นเช่นนี้…ช่างโชคร้ายเสียจริง” อาลักษณ์หลวงฉินส่ายศีรษะพลางเอ่ย

“อยากเลื่อนขั้นจนตัวสั่น เขาทำตัวเองทั้งนั้น จะโทษผู้อื่นได้อย่างไรเล่า” ฮูหยินฉินพูดพลางหัวเราะแล้วเก็บหมากไป “ข้าชนะแล้ว”

ฝนยามค่ำคืนทำให้ฤดูร้อนแสนอบอ้าวกลายเป็นเย็นชุ่มฉ่ำ ยามที่ฟ้าแจ้งฝนยังคงปรอยๆ ไม่หยุด

ท่านชายเฉิงสี่ลงมาจากม้า จับหมวกไผ่ให้เข้ารูป มองไปยังหน้าประตู

บ้านตระกูลโจว

ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นที่นี่

เขาหันกลับมาอีก มองของกำนัลที่บ่าวรับใช้ถืออยู่ในมือ

“อย่าทำเปียกนะ กอดไว้ให้แน่น” เขาสั่ง

บ่าวง่วนอยู่กับการอุ้มของไว้ข้างหน้า ส่วนบ่าวอีกคนก็เดินไปส่งเสียงเรียกหน้าประตู

“มาหาใครหรือ” ในประตูเรือนมีคนชะโงกหน้าออกมา มองนายบ่าวหน้าประตูหัวจรดเท้า

ท่านชายเฉิงสี่โค้งคำนับ

“ข้าคือท่านชายสี่แห่งบ้านตระกูลเฉิงจากเมืองเจียงโจว ตั้งใจมาคารวะ” เขาเอ่ย

“ผู้ใดหรือ”

ฮูหยินโจวเอ่ย

“บ้านตระกูลเฉิงจากเมืองเจียงโจว…” แม่นมตอบกลับ

ครั้งนี้ฮูหยินโจวได้ยินชัดแล้ว ก็ร้องโวยวายขึ้นในทันที เป็นเพราะไม่ได้นอนหลับดี ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดเผือกขึ้นไปอีก

“เร็วเข้า รีบไล่ออกไป! ” นางตะโกนบอก แววตาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว “เร็วเข้า เร็ว รีบไล่ออกไป บ้านตระกูลโจวของพวกเรากับบ้านตระกูลเฉิงมิสามารถปรองดองกันได้! พวกเขา พวกเขารังแกเจียวเจียวร์ของเรา พวกเราจะไม่รอมชอมอย่างเด็ดขาด”

แม่นมถูกพ่นคำด่าทอมากมาย ยังฟังไม่ทันรู้เรื่อง ก็ถูกฮูหยินโจวตะโกนไล่ออกไปแล้ว

ช่างเถิด ถึงอย่างไรบ้านตระกูลโจวกับบ้านตระกูลเฉิงก็ไม่สามารถผูกมิตรกันได้ ย่างเข้าประตูบ้านกันมิได้  ถูกไล่ก็ถูกไล่สิ

ท่านชายเฉิงสี่ถอยหลังอย่างสับสน มองดูหน้าประตูเรือนบ้านตระกูลโจวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี กระอักกระอวนยิ่งนัก

เขารู้ว่าบ้านตระกูลเฉิงกับบ้านตระกูลโจวบาดหมางกันใหญ่โต ทั้งยังเคยทะเลาะกันในงานพิธีศพของท่านแม่ของเฉิงเจียวเหนียงต่อหน้าผู้คนมากมาย กลายเป็นเรื่องราวขบขันของชาวเจียงโจวมาช้านาน

แต่ตอนนั้นเขายังเยาว์วัย ถูกบ่าวอุ้มวิ่งหนีไป ทำได้เพียงหลบข้างหลังคนแล้วมองดู จำได้ไม่ค่อยชัดเจนแล้วว่าเหตุการณ์นั้นร้ายแรงเพียงใด

“ข้า ข้ามาเพื่อเยี่ยมน้องสาวของข้า” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ย พูดเช่นนี้ก็ได้แล้วสินะ

“น้องสาวของท่านคือผู้ใดหรือ” บ่าวเฝ้าประตูเรือนยืนเท้าเอวเอ่ยถาม

“เจ้านี่มันปัญหามากนัก” บ่าวทนฟังไม่ได้แล้ว ถลึงตาถาม “น้องสาวของท่านชายสี่ของข้าก็คือแม่นางเฉิงน่ะสิ”

นั่นสิ ใช่  ลืมไปเสียแล้ว

“นางไม่ได้พักอยู่ที่นี่! ” บ่าวเฝ้าประตูเรือนเอ่ย โบกมือไล่ให้ไป “ไปซะ ออกไปซะ อย่ามาก่อกวน”

ไม่ได้พักอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ

ท่านชายเฉิงสี่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

“ถ้าเช่นนั้นนางไปอยู่ที่ไหนล่ะ” เขารีบถาม

คำตอบที่เขาได้คือเสียงปิดประตูดังปัง พวกเขาถูกกั้นไว้นอกประตู

นายกับบ่าวต่างสบตากัน

“ท่านชาย เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน ก็ถูกส่งไปที่วัดเต๋าสักแห่งกระมัง” บ่าวรับพูดเสียงเบา

ก็อาจเป็นได้

ท่านชายเฉิงสี่ถอนหายใจ มองยังประตูบ้านตระกูลโจว

“ไปเถิด พวกเราค่อยๆ สอบถามไปเรื่อยๆ ” เขาพูด

นายและบ่าวทั้งสองได้ออกไปแล้ว ขณะเดียวกันนายใหญ่โจวก็มาถึงหน้าประตูเรือนสะพานอวี้ไต้แล้ว

รถม้าหยุดลง เขานั่งอยู่ในรถไม่ขยับ มองเรือนตรงหน้าผ่านม่านหน้าต่างพลางกลืนน้ำลาย

ครั้งนี้น่าจะมาเป็นครั้งที่สามแล้ว ครั้งแรกตนไล่แม่นางน้อยออกจากเรือน จึงต้องมาส่งตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้เข้าไปในเรือน ครั้งที่สองเขามาบอกเรื่องที่บ้านตระกูลฉินมาสู่ขอนางอย่างน่าชื่นตาบาน แต่กลับถูกปฏิเสธต่อหน้า ทั้งยังถูกกันไม่ให้เข้าไปในเรือนอีก

“ท่านพ่อหรือ” ท่านชายโจวหกร้องทักจากด้านนอก

นายใหญ่โจวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดผ้าม่านรถลงมา

…………………..