ขณะเรียกให้เปิดประตู ถ้าหากไม่มีท่านชายโจวหกอยู่ข้างๆ จินเกอร์ก็คงไม่รู้ว่าเป็นนายใหญ่โจว
เขาไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก จินเกอร์ก็ไม่เคยไปบ้านตระกูลโจว อีกทั้งท่านผู้นี้ท่าทางดูสุภาพน่าเคารพ
“แม่นางเฉิงสะดวกให้เขาพบหรือไม่” เขาถาม
นายใหญ่โจวเงยหน้าแล้วพูดขึ้น มองผ่านประตูที่เปิดอยู่เพียงครึ่งบานเข้าไปในลานบ้าน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังมองมาจากระเบียง
ละอองฝนราวกับม่านหมอก ภาพตรงหน้าราวกับความฝัน
สาวใช้ยกน้ำเข้าไปในห้อง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” น้ำเสียงของนายใหญ่โจวแฝงไปด้วยความตระหนก
สาวใช้กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“น้ำชาหนึ่งถ้วย พวกข้าเลี้ยงไหวอยู่แล้ว” นางเอ่ย
นายใหญ่โจวท่าทางกระอักกระอ่วนไม่น้อย ก่อนจะส่งเสียงกระแอมออกมา
“ครั้งนี้ ลำบากเจียวเจียวที่ต้องมาเป็นธุระให้” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างตรงไปตรงมา
เฉิงเจียวเหนียงโค้งศีรษะเล็กน้อยคำนับตอบ
“ข้าทำให้ท่านลุงตื่นตระหนกเสียแล้ว” นางเอ่ย
สิ่งนี้ต่างหากทำให้นายใหญ่โจวตกใจยิ่งกว่า เขาเกือบทำถ้วยชาคว่ำ มองดูหญิงสาวตรงหน้าราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
คำนับหรือ เอ่ยขอบคุณหรือ ขอโทษหรือ
นางต้องการจะทำอะไรกันแน่
ตั้งแต่ตนเข้าประตูมา ก็ยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดหรือทำสิ่งใดที่ผิดไปเลยใช่หรือไม่
หญิงสาวผู้นี้มารยาทงามขนาดนี้เชียวหรือ
“เจียวเจียวร์ ที่เหลือคงไม่ต้องลำบากเจ้าแล้ว” เขารีบพูดขึ้น “ถ้าหากคนแซ่หลิวนั่นหาจุดอ่อนข้าเจอ ข้าก็จับจุดอ่อนเขาให้ได้เช่นกัน จะต้องให้เขาให้รับผลกรรมที่เขาก่อไว้ให้จงได้! ”
“ไม่รู้ว่าฝ่าบาทนิสัยใจคอเป็นเช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม
นายใหญ่โจวชะงักไป แต่ก็เข้าใจในทันที ท่าทางกระอักกระอ่วนจนปัญญา
“ฝ่าบาทใจกว้าง บัดนี้แม้คนผู้นั้นจะเป็นอัมพาตไปแต่ท่านก็ยังเมตตาเขาอย่างเช่นเคย นับประสาอะไรกับเจ้าคนพวกที่แสร้งทำเป็นคนดี” เขาเอ่ยพึมพำ หากครานี้เขาออกมาร้องป่าวประกาศน้อยเนื้อต่ำใจ เรียกร้องให้ไต่สวนโทษ รังแต่จะทำให้ฮ่องเต้ยิ่งเกลียดชัง
“จะปล่อยให้เขาลอยนวลเช่นนั้นหรือ”
“ปล่อยไปตามยถากรรมเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คำพูดตัดพ้อทอดถอนใจที่เคยได้ยินอยู่ทุกวัน แต่พอออกมาจากปากหญิงสาวผู้นี้ ทำเอานายใหญ่โจวสั่นเทิ้มขึ้นมาทั้งกายอย่างห้ามไม่ได้ สายตามองไปยังเฉิงเจียวเหนียงโดยไม่รู้ตัว
เด็กบ้าเจียงโจว…
นางยังคงเงียบเหมือนเคย ท่วงท่าสง่างาม กิริยามารยาทงดงามเสียยิ่งกว่าลูกหลานในตระกูลที่เชิญอาจารย์ชื่อดังมาอบรมสั่งสอนเสียอีก
เยือกเย็น…นับวันยิ่งคล้ายน้องสาวของเขา
ไม่ ไม่เหมือนน้องสาวสักเท่าไหร่ ใบหน้าของนางเรียวกว่าเล็กน้อย ได้มาจากสายเลือดของตระกูลเฉิง
ถ้าเช่นนั้น การกระทำและจิตใจอันน่าสะพรึงกลัวนี้เล่า ได้มาจากที่ใดกัน
คืนนั้นเขานอนไม่หลับทั้งคืน เอาแต่คิดทบทวนเรื่องราวซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายหน ยิ่งคิดยิ่งน่าอกสั่นขวัญแขวน
เขาใช้ชีวิตมาจนอายุมากขนาดนี้ ไม่ใช่ผู้เยาว์ที่ไร้เดียงสา คนอำมหิต คนเหี้ยมโหดพบเจอมาก็มากมาย แต่คนที่ทั้งโหดเหี้ยมทั้งรอบจัด ทำการใดไม่ทิ้งร่องรอย ฆ่าคนโดยไร้คราบเลือด คร่าชีวิตคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นนี้ เขาเพื่อเคยพบเจอเป็นครั้งแรก
แถมนางยังเป็นเพียงเด็กสาว เป็นเพียงแค่เด็กสาววัยเยาว์เท่านั้น
นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร
หรือเพียงแค่นางเอ่ยปากยอมแพ้หรือว่ายกยอ ก็ทำให้อีกฝ่ายเป็นอัมพาตไปได้เลยหรือ เช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว วันๆ ก็ออกไปยกยอปอปั้นคนที่ขวางหูขวางตาก็พอ
นางช่ำชองวิชาแพทย์ หรือว่านางจะวางยาพิษ
ทว่าบรรดาหมอหลวงก็มาวินิจฉัยโรคแล้ว ราชเลขาหลิวเส้นเลือดอุดตันเพราะตื่นเต้นดีใจจนเสียสติ จนกลายเป็นอัมพาตไป
มีพิษใดกันที่ทำให้คนเป็นอัมพาตแต่ไม่ถึงตาย ไม่น่าจะเป็นไปได้
ทว่าหญิงสาวผู้นี้มีวิชาชุบชีวิตคนตายอันน่าเหลือเชื่อ เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้
คิดได้เช่นนี้ สายตาของท่านชายโจวหกก็มองลงไปยังถ้วยชาที่วางอยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะครุ่นคิดอีกต่อไป
ไร้รูปไร้ร่องรอย เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา…
“เจียวเจียวร์ เจ้าวางใจเถิด ที่เหลือข้าจัดการเอง ไม่ต้องลำบากเจ้าอีก” เขารีบหันหน้าพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “แน่นอน เรื่องใดที่ข้าทำผิดไป เจ้าก็พูดมาได้เลย เอาเป็นว่าครอบครัวเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีทางให้ใครมากลั่นแกล้งได้อย่างแน่นอน ส่วนคนที่คิดจะวางแผนคิดร้ายคนของเรานั้น จะไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง ก้มหัวคำนับกลับ
“ขอบคุณท่านลุงที่ดูแล” นางเอ่ย
“มิกล้าหรอก มิกล้าหรอก” นายใหญ่โจวรีบโบกมือ “ข้าทำให้เจ้า …ทำให้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว”
สาวใช้ที่นั่งอยู่ข้างประตูห้องโถงเม้มปากกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
ท่าทางนายใหญ่โจวคงตกใจมิใช่น้อย
“อีกอย่าง เจียวเจียวร์ บ้านตระกูลเฉิงนั่นก็เอาแต่จะหาคนมาแต่งงานกับเจ้าให้ได้ ข้าเองก็พยายามช่วยอย่างสุดกำลัง แต่รู้ข่าวจากในเมืองหลวงก็จึงจำต้องปล่อยเรื่องไว้ แล้วรีบกลับมา” นายใหญ่โจวนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง วางมือตั้งท่าเอ่ยอย่างจริงจัง “แต่ว่าเจียวเจียวร์ เจ้าวางใจเถิด เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจ ตราบใดที่มีข้าอยู่ พวกเขาคงไม่สมปรารถนาง่ายๆ หรอก”
“เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“ได้ ไม่ว่าเรื่องใดก็สุดแล้วแต่เจ้า เจ้าว่าอย่างไร พวกข้าก็ว่าอย่างนั้น” นายใหญ่โจวก็เอ่ยรับคำในทันที
เฉิงเจียวเหนียงโค้งคำนับอีกครั้ง
“มิต้องเกรงใจ มิต้องเกรงใจ เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว ควรอย่างยิ่ง” นายใหญ่โจวเอ่ย รีบร้อนลุกขึ้น ทว่าลุกขึ้นยืนยังไม่ทันเต็มตัวก็นึกอะไรขึ้นมาได้อีก จึงรีบคุกเข่านั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง “เจียวเจียวร์ ยังมีอะไรจะบอกหรือไม่”
“ไม่มี ข้ามิกล้าหรอก” เฉิงเจียวเหนียงคำนับอีกครั้งพลางเอ่ย ก่อนจะลุกขึ้นยืน
ตอนนั้นเองนายใหญ่โจวจึงรีบลุกขึ้นเช่นกัน
“ช้าก่อน ช้าก่อน” เขาเอ่ย เขาเดินไปข้าหน้า ทว่าเหลียวหลังกลับมามอง “เจียวเจียวร์ หากเจ้าอยากกลับบ้าน ก็ตามใจเจ้าเลย อย่าได้นึกเกรงใจ”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มตอบพลางคำนับอีกครั้ง
นายใหญ่โจวยิ้มตาม หันหลังกลับแล้วรีบเดินไป คงเพราะเป็นครั้งแรกที่เข้ามาจึงไม่คุ้นเคย ถึงได้สะดุดธรณีประตูจนเกือบล้ม
สาวใช้กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง
เฉิงเจียวเหนียงกับสาวใช้เดินมาส่งถึงหน้าประตู มองนายใหญ่โจวนั่งรถม้าออกไป
“ท่านชายหก” สายตาของสาวใช้มองไปอีกทาง
ท่านชายโจวหกที่เพียงสวมหมวกใบไผ่ยืนถือแส้ม้าอยู่ในมือ ร่างกายเปียกปอนเพราะสายฝนปรอย ดูท่าคงยืนอยู่นานแล้ว
“ท่านชายหก ทำไมท่านถึงไม่เข้ามา” สาวใช้ยิ้มถาม “หรือท่านกลัวท่านพ่อของท่าน”
ท่านชายโจวหกมองนาง
“ใช่” เขาเอ่ย
เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา สาวใช้ถึงกับทำอะไรไม่ถูก แต่ทันใดนั้นก็เข้าใจอะไรขึ้นมา
ในสายตาของลูกชายคนเป็นพ่อย่อมน่าเกรงขามอยู่เสมอ แต่ยามนี้กลับถูกสาวน้อยผู้หนึ่งทำให้ตกใจจนตื่นกลัว ถึงแม้จะรู้อยู่แล้ว ก็ไม่อยากเห็นภาพนั้นด้วยตาของตนเอง
“ถ้าเช่นนั้นคงต้องพูดว่า” สาวใช้หัวเราะแล้วหัวเราะอีก “ท่านชายหก ข้าเองก็อยากให้คนเกรงกลัวข้าบ้าง ถึงแม้ความจริงแล้วจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก”
ตอนแรกถูกคนรังเกียจราวกับเป็นสิ่งปฏิกูล แต่ต่อมากลับถูกคนกลัวราวกับเป็นอสรพิษ บนโลกนี้ก็คงจะไม่มีผู้ใดปรารถนาจะเป็นเช่นนี้หรอกกระมัง
ที่หน้าประตูเงียบไปชั่วขณะ ไร้เสียงฝนปรอย
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา นางเดินหันหลังกลับไปตั้งนานแล้ว จนกระทั่งทรุดลงที่กลางลานบ้าน ราวกับถูกใจสายฝนพรำนัก นางยื่นมืออกไปแล้วเงยหน้าขึ้น
“ข้าบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่ เจ้าว่าควรหรือไม่” ท่านชายโจวหกเดินตามเข้ามาถาม เขาไม่รอคำตอบ แล้วพูดขึ้นเองอีกครั้ง “ข้าคิดว่าถูกคนกลัว ก็ยังดีกว่าถูกคนดูถูกเหยียดหยาม ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าจะกลัว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนในครอบครัว เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปหรอก”
เฉิงเจียวเหนียงหันกลับไปมองเขา
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” นางพูด “ข้าไม่คิดปิดบังตั้งแต่แรก พวกท่านจะรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ควร”
ดูถูกก็ดี เกรงกลัวก็ดี สำหรับนางแล้วไม่เห็นจะเป็นอะไร
ท่านชายโจวหกถอนหายใจ
เมื่อเข้ามานั่งในเรือนเรียบร้อยแล้ว สาวใช้จึงยกน้ำชาเข้ามา ปั้นฉินนำผ้าสะอาดมาเช็ดมือให้เฉิงเจียวเหนียง ท่านชายโจวหกก็ได้มาหนึ่งผืน แต่ทว่าไม่มีสาวใช้คอยปรนนิบัติ เขาจึงเช็ดไปสองทีแล้ววางลง
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน” เขาเอ่ย
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ท่านก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด
“หรือเพียงแค่เจ้าให้ของแก่เขา ยอมก้มหัวยอมแพ้ให้เขา ให้ชายสิบสามปล่อยข่าวออกซุบซิบออกมา เขาก็ดีใจจนเป็นลมล้มชักได้เลยหรือ” เขาเอ่ย “เขาก็ไม่ใช่คนโง่เขลาเสียหน่อย! ”
“เขาไม่ใช่คนโง่เขลา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด มีไหวพริบดี ซื่อสัตย์ เป็นคนมีปัญญาที่รอบคอบนัก”
“เจ้าวางยาพิษเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” ท่านชายโจวหกไม่สนใจคำพูดของนาง ก่อนจะถามออกไปตามตรง
ปากก็ถามอยู่ ขณะที่สมองก็นึกย้อนไปอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เขาก็คิดเสมอว่าต้องวางยาพิษ แต่หากจะวางยาเขาก็ต้องใกล้ชิด ตอนที่พบกับราชเลขาหลิวเขาเองก็อยู่ในเหตุการณ์ อีกทั้งยังเป็นอาณาเขตของราชเลขาหลิว หากจะวางยาในของที่กินที่ดื่มคงไม่มีโอกาสแน่นอน นางทำได้แยบยลไร้ร่องเช่นนั้นเลยหรือ
ท่านชายโจวหกมองเฉิงเจียวเหนียง เฉิงเจียวเหนียงเอียงคอเล็กน้อย มีปั้นฉินคอยเช็ดผมยาวสลวยให้ ยิ่งทำให้ลำคอขาวผ่องดูยาวระหง
เขารีบหลบสายตา หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยใช้เครื่องหอมมาก่อน
ภายในห้องก็ปลอดโปร่งไร้กลิ่น
สัมผัสได้ ทว่าไร้รูป
ตกลงมันคืออะไรกันแน่
“ข้าไม่มีทางวางยาพิษใครแน่นอน วิชาแพทย์ใช้รักษาคน จะเอาไปทำร้ายคนได้อย่างไร”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะค่อยๆ ยกชาขึ้นดื่ม
กลิ่นชาหอมละมุน ยามลิ้มรสทำให้จิตใจเบิกบาน
ในทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“ร้านยาอย่างนั้นหรือ!” เขาเอ่ย ถือถ้วยชาไว้ในมือแน่น หันมองไปยังเฉิงเจียวเหนียง ท่าทางเบิกบานที่เดาออก “สูตรยาที่เจ้าให้ ถุงเครื่องหอม เจ้าวางยาในถุงเครื่องหอมใช่ไหมใช่หรือไม่”
“ท่านชายหก อย่าโง่นักเลย” สาวใช้เอ่ย “ท่านไม่เห็นหรือว่าใต้เท้าหลิวไม่แม้แต่จะจับถุงเครื่องหอมด้วยซ้ำ คนเช่นนั้น จะยอมใช้ของที่คนอื่นให้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว
ของที่ไม่ได้เอาออกมาใช้เรื่อยเปื่อย ของที่ทิ้งไม่ลง ก็มีแค่อย่างเดียว…คือสูตรยา!
กระดาษที่เขียนสูตรยา
กระดาษไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นก็มีเพียง…
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นน้ำหมึก!” เขาเงยหน้ามองยังเฉิงเจียวเหนียง แววตาเป็นประกาย ในที่สุดก็คิดออกแล้ว “วันนั้นเจ้า ตอนที่เขียนอักษร ให้สาวใช้ใส่อะไรลงไปตอนฝนน้ำหมึกหรือไม่”
ได้ฟังคำพูดของเขา เฉิงเจียวเหนียงมองเขา ก็หยุดเช็ดลงทันที
พอเห็นสีหน้าของนาง ท่านชายโจวหกก็มั่นใจขึ้นมาในทันที
“ก็ไม่มีอะไรนี่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย สายตามองลงไปในถ้วยชาที่เขาถืออยู่ในมือ “ก็แค่เป็นชาชนิดนั้นที่เจ้าดื่ม”
มีเสียงเพล้งดังขึ้น ถ้วยชาร่วงลงพื้น สิ่งที่อยู่ในน้ำชาก็หกกระจายออกมา
………………………..