ท่านชายโจวหกลุกยืนอย่างยากลำบาก มองเฉิงเจียวเหนียง สีหน้าทั้งโกรธทั้งตกใจ

“เจ้า เจ้า” เขาเอ่ยตะกุกตะกักแทบจะไม่เป็นภาษา

เฉิงเจียวเหนียงมองเขา กลั้นเสียงหัวเราะ ทว่าเสียงกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องปาก

แต่ก่อนรอยยิ้มของนางเป็นเพียงแค่ยิ้มบาง มองจากใบหน้าก็พอจะรู้ได้ว่ายิ้มอยู่ แต่ทว่าดวงตากลับไร้อารมณ์

แต่ในยามนี้ดวงตาของนางยิ้ม แววตาคู่นั้นที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะมอง ก็ดูอ่อนโยนขึ้นต่างจากเมื่อก่อน  ทั้งยังทำให้ขาตางอนยาวเด่นชัดขึ้นเป็นเท่าตัว ขยับไหวไปตามแรงหัวเราะ ราวกับปีกผีเสื้อ

ใบหน้าของท่านชายเปลี่ยนสีระเรื่อไปตามจังหวะพลิ้วไหวของปีกผีเสื้อหลากสี เขารู้สึกถึงเพียงว่าหัวใจที่เต้นราวกับกลองรัว

แต่น่าเสียดายหัวเราะนั้นกลับไร้เสียง ยังคงรักษาไม่หายดีสินะ

ยังไม่หายดีก็ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้แล้ว วันหน้าจะไม่กลายเป็นปีศาจเลยหรือ

ท่านชายโจวหกสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไป

พอได้ยินคำของท่านชายโจวหก ท่านชายฉินก็หัวเราะเสียงดัง

เสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งห้องโถง

รอยยิ้มของนางดั่งธารน้ำใส ไม่รู้ว่าหากนางรักษาหายดีแล้วเสียงหัวเราะจะเป็นเช่นไร

เสียงของนางแหบแห้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะป่วยตั้งแต่เกิดถึงได้เป็นเช่นนี้ หรือว่าอาจจะรักษาหายได้กันแน่

หากอาการบ้ารักษาให้หายได้ เสียงก็ต้องรักษาได้อย่างแน่นอน เฉกเช่นคนที่แทบจะเดินไม่ได้ บัดนี้กลับค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว

รอหายดีแล้ว เสียงจะเหมือนท่านอาหญิงหรือไม่นะ

เขาไม่มีความทรงจำของรอยยิ้มท่านอาหญิงเลย เสียงของนางเป็นเช่นไรกันนะ…

‘ชายหก มาหาอาทางนี้…’

เมื่อแขนถูกตีเบาๆ ท่านชายโจวหกก็ได้สติกลับมา เขามองไปยังท่านชายฉินที่อยู่ตรงหน้า

“ข้าถามเจ้าอยู่นะ” ท่านชายฉินเอ่ย

“เจ้าว่าอะไรนะ” ท่านชายโจวหกเอ่ย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ท่านชายฉินเหลือบมองเขา ก่อนจะยิ้มบางออกมา

“จะไปหรือไม่ ลองไปถามดูว่านางใส่ยาอะไรลงไปให้เจ้ากันแน่” เขาเอ่ยด้วยสีหน้ามีเลศนัย

หลังจากออกจากเรือนเฉิงเจียวเหนียง นายใหญ่โจวก็ไม่ได้ตรงกลับเรือน แต่กลับมาที่เรือนของราชเลขาหลิวแทน

เรือนหลังน้อยของบ้านตระกูลหลิวมีคนมาเยี่ยมเยียนมิขาดสาย ภายในเรือนค่อนข้างวุ่นวาย

“รีบร้อนอะไรกันนักหนา วุ่นวายได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ราวกับฟ้าถล่มก็ไม่ปาน”

“ก็ฟ้าถล่มลงมาจริงๆ แล้วไม่ใช่หรือ”

“เมื่อวานหมอหลวงหลี่นำเรื่องบ้านตระกูลหลิวไปรายงานไทเฮา บอกว่าพวกเขาดูหมิ่นหมอหลวง ดึงดันจะกลับบ้านเกิดให้ได้ ไทเฮาไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงเรียกฮ่องเต้มา”

“ฝ่าบาทว่าอย่างไร”

“จะว่าอย่างไรได้เล่า จู่ๆ ก็ป่วยหนักเช่นนั้น จิตใจคงรุ่มร้อนกระวนกระวายกันไปหมด จะพลาดพลั้งทำอะไรมิควรไปก็คงไม่แปลก ขอให้หมอหลวงหลี่อย่าได้ถือโทษ”

“แล้วหมอหลวงหลี่ยอมหรือ”

“ก็ไม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้หมอหลวงหลี่เป็นอะไรไป ถึงได้กล้าขัดใจฝ่าบาทเช่นนี้ แถมยังบอกว่าจะไม่ยอมรักษาให้ราชเลขาหลิว”

“แล้วฝ่าบาทไม่โกรธเอาหรือ”

“ฝ่าบาททรงกริ้วมาก แต่เห็นว่าไทเฮาดูเหมือนจะเข้าข้างหมอหลวงหลี่อยู่ไม่น้อย บอกว่าถึงแม้โรคจะร้ายแรง แต่ไม่ควรจะใส่อารมณ์กับหมอหลวงเช่นนี้…”

นายใหญ่โจวฟังถึงตรงนี้ก็ส่งเสียงฮึดฮัดอยู่ในใจ ท่าทางราชเลขาหลิวคงโชคไม่ดีจริงๆ

เขาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ กล่าวทักทายเหล่าขุนนางที่กำลังสนทนากันอยู่ที่นั่น ก่อนจะไปหาราชเลขาหลิวที่อยู่อีกทาง

เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ สองวัน  ภายในเรือนของราชเลขาหลิวก็เริ่มมีกลิ่นตุๆ ลอยออกมา

แต่สำหรับคนที่ไร้สติ มีเพียงแค่ลำคอที่พอขยับได้ คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

นายใหญ่โจวยืนอยู่หน้าเตียง มองดูราชเลขาหลิวที่นอนอยู่บนเตียง

 เขาเป็นขุนนางบู๊ ไม่ค่อยได้พบปะกับขุนนางบุ๋นสักเท่าไร ยิ่งคนถ่อมตนเช่นราชเลขาหลิวแล้ว จะเรียกว่าอยู่คนละวงโคจรกับส่านโจวผู้นี้ก็ยังได้ ยิ่งไม่มีทางได้พบเจอกัน

นายใหญ่โจวจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแต่ก่อนราชเลขาหลิวหน้าตาเช่นไร แต่ก็รู้ว่าคงไม่ได้หน้าตาเหมือนคนที่อยู่บนเตียงนี้แน่ๆ

เขาสีหน้าซีดเซียว ใบหน้าที่ผอมซูบอยู่แล้วยิ่งดูแห้งเหี่ยวยิ่งกว่าเดิม ราวกับหนังหุ้มกระดูก แก้มทั้งสองตอบจนลึกลงไป หนวดเคราแห้งกร้าน แววตาล่องลอย แม้น้ำลายจะไม่ได้ไหลย้อย แต่ในลำคอยังเหมือนมีเสียงลมลอดออกมา

ในใจของนายใหญ่โจวเย็นวาบ

ตั้งแต่รู้ว่าราชเลขาหลิวคิดลงมือกำจัดเขา นางใช้เวลาเพียงแค่สิบวันเท่านั้น

เวลาเพียงแค่สิบวัน หากเป็นเขา หากต้องจัดการกับราชเลขาผู้หนึ่ง เพียงแค่คิดคงต้องใช้เวลาเป็นสิบวัน ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องวางแผนจนทำสำเร็จว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไร หากทำสำเร็จได้ในหนึ่งปีก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว

อย่างที่ฮูหยินกล่าว ได้พบนาง ไม่เคยก็เกิดเรื่องดีเลยจริงๆ

ยังดี ยังดีที่ตนไม่เคยไปแย่งชิงของมีค่าของนาง

ยังดี ยังดีที่ทำทุกอย่างทันเวลา

จังหวะนั้นราชเลขาหลิวก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าจึงพยายามเหลียวหน้ามามอง แววตาของเขาดูสับสน

เขาความทรงจำเสื่อมไปแล้วจริงๆ หรือ เหตุใดจำไม่ได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือใคร

“ใต้เท้าหลิว” นายใหญ่โจวมองไปที่ชายสูงวัยตรงหน้า โค้งคำนับแสดงความเคารพ แล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าคือโจวเยว่”

โจวเยว่หรือ คือใครกัน

นายใหญ่โจวก้มหน้าอีกครั้ง นอกจากราชเลขาหลิวก็ไม่มีใครมองเห็นสีหน้าของเขา

“กุ้ยเต๋อหลางเจียง โจวเยว่ ที่ท่านเคยดูแลมาเป็นอย่างดี” เขาเอ่ยพลางยิ้มมุมปาก

ราชเลขาหลิวถลึงตาทั้งยังส่งเสียงฮึดฮัดออกมาทันที

“ใต้เท้า ใต้เท้า” นายใหญ่โจวจึงกุมมือของราชเลขาหลิวไว้ เค้นเสียงเอ่ย “ท่านไม่ต้องร้อนใจ แล้วก็ไม่ต้องกังวลใจ ท่านเคยดูแลข้าอย่างดี ข้าจำได้ขึ้นใจ ท่านวางใจเถิด รีบรักษาโรคให้หาย”

เขากุมมือที่ขยับไม่ได้ของราชเลขาหลิวเอาไว้

คนในเรือนเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งทั้งรู้สึกโศกเศร้าไปด้วย ไม่มีใครสังเกตแววตาของราชเลขาหลิวที่แฝงไปด้วยความโกรธ ความหวาดกลัว และความสิ้นหวัง จนกระทั่งนายใหญ่โจวเดินตามคนอื่นออกไป

“ทำไมนายท่านหมดสติไปอีกแล้วล่ะ”

พวกสาวใช้ร้องตะโกนไม่หยุด

คนในบ้านตระกูลหลิวห้อมล้อมเข้ามา ทั้งร้องไห้ทั้งร้องตะโกน ผ่านไปสักพักราชเลขาหลิวก็ฟื้นขึ้นมา ก่อนจะรีบร้อนเอ่ยขึ้น แต่ก็ยังเปล่งเสียงได้อย่างยากลำบาก ตั้งใจฟังไปสักพักจึงรู้เรื่อง

“เร็วเข้า ไป”

 ไปไหนหรือ

ญาติทั้งหลายสีหน้าไม่เข้าใจ

ทำไมต้องไป ไปที่ไหนหรือ

คงเป็นเพราะว่าเป็นโรคนี้แล้วจึงรู้สึกสิ้นหวัง เป็นห่วงอนาคตของลูกหลานและคนรุ่นหลัง

คนป่วยมักชอบคิดฟุ้งซ่าน

“นายท่านวางใจเถิด ท่านไม่ต้องรีบร้อน” เหล่าฮูหยินยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเอ่ย “ครอบครัวเราไม่เป็นไร ชายใหญ่กับชายรองทราบข่าวแล้วกำลังรีบกลับมา ชายสามและชายสี่ล้วนอยู่ใต้ร่มบารมีของราชสำนัก ท่านขยันเอาการเอางานมาหลายปี มาล้มป่วยที่ท้องพระโรง ฝ่าบาทมีเมตตา ไม่ทอดทิ้งตระกูลเราแน่”

ราชเลขาหลิวยิ่งฝืนมากขึ้น ก็ยิ่งพูดไม่รู้เรื่อง

ไม่ต้องกลับมา รีบหนีไป รีบหนีไปให้หมด!

ด้านท่านชายโจวหกที่เทียวกลับไปกลับมาอยู่หลายหน เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้แปลกใจ แต่ก็อาจจะมีบ้าง

ถึงอย่างไรก็ดูสีหน้านางไม่ออกอยู่ดี

สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาสองถ้วย

“ท่านชายหก รับชาแบบเดิม หรือว่าท่านจะดื่มน้ำเปล่าดี” นางเอ่ยถาม

ท่านชายโจวหกยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย

ท่านชายฉินดื่มยิ้มพลางดื่มชาอย่างเชื่องช้า

“นี่คือชาอะไร” เขาถาม

“ช่วยให้มีสมาธิและบำรุงสมอง จิตใจปลอดโปร่ง ลมปราณสมดุล” เฉิงเจียวเหนียงตอบ

ท่านชายโจวหกทำหน้าสงสัย เพียงแค่นี้หรือ

“อ๋อ เช่นนั้นก็เป็นชาที่ดีมาก” ท่านชายฉินยิ้มเอ่ย “ชีวิตคนเราไม่ง่าย หากคิดมากเกินไป ก็ควรบำรุงอย่างดี มีสมาธิทำให้จิตใจสงบ

“พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องมาตั้งปริศนากับข้า ของบ้าๆ พวกนี้ตกลงคือยาพิษใดกันแน่” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงหงุดหงิด แล้ววางถ้วยชาลง

“สิ่งนี้ไม่มีพิษ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“แล้วเช่นนั้นเหตุใดถึงทำให้เขาเป็นอัมพาตไปได้เล่า” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม

“เช่นนั้นต้องถามตัวเขา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “โรคภัยที่มาจากใจ มีเพียงแค่ตัวเขาเองที่ทำร้ายตัวเองได้”

“ใต้เท้าหลิวระวังตัวมากเกินไป อันที่จริงตอนคนเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควรใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล อยากหัวเราะก็หัวเราะ อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ สุข ทุกข์ โกรธได้ตามใจ ว่ากันว่าร้องไห้ให้พอ หัวเราะให้เต็มที่ก็รักษาโรคได้ไม่ใช่หรือ แต่ใต้เท้าหลิวนั้นเข้มงวดกับตัวเองจนกินไป หลายปีมานี้ คงมีเรื่องทุกข์ใจบ้างเป็นแน่” ท่านชายฉินพูดพลางยิ้ม

จิตใจที่เศร้าหมอง แม้จะใช้กลิ่นหอมของชาและน้ำหมึกผ่อนคลายจิตใจ หากตึงเครียดหรือหย่อนยานเกินไป ดีใจหรือตกใจเกินเหตุ เปิดเผยหรือปิดบัง สิ่งใดถ้าไม่พอดีก็เหมือนดั่งเชือกที่ตึง สุดท้ายขาดก็ขาดลง

ทำได้ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ

คนหนึ่งพูดเสียง่ายดาย คนหนึ่งพูดเสียซับซ้อน พอได้ยินดังนั้นท่านชายโจวหกกลับไม่เชื่อ

“นี่คือชาชั้นดี เพื่อไปสืบถามเรื่องท่านพ่อของเจ้า ข้าเลยซื้อไว้เยอะเชียวล่ะ ตั้งใจจะเอาไปเป็นของกำนัลให้เหล่าขุนนางทั้งหลายที่กรมขุนนาง” ท่านชายฉินพูด “ข้าตั้งใจเหลือไว้เล็กน้อย เจ้าเอากลับไปกินดูสักหน่อยไหม”

ท่านชายโจวหกถลึงตามองเขา

“เจ้าไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัว คนเลือดร้อนเช่นเจ้า อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องแหกปากลั่นแล้ว ไม่แปลกที่ทุกคนจะรับรู้อารมณ์ของเจ้า ชาตินี้คงไม่เป็นอัมพาตหรอก” ท่านชายฉินยิ้มตอบ

สาวใช้ป้องปากกลั้นหัวเราะไม่อยู่

ท่านชายโจวหกสะบัดแขนเสื้อแล้วลุกขึ้น

“ข้าไปก่อน” เขาเอ่ย ไม่รอเสียงตอบก็สาวเท้าออกไปแล้ว

ท่านชายฉินยิ้มพลางลุกขึ้นยืน เดินมาถึงประตูแล้วจึงขึ้นรถม้า แต่พบท่านชายโจวหกพอดี จึงหยุดม้าไว้ก่อน

“เป็นอะไรหรือ” ท่านชายฉินถามขึ้น

ท่านชายโจวหกมองประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงที่ปิดสนิทลงแต่กลับไม่พูดไม่จา

“ไม่รีบ ไม่รีบ” ท่านชายฉินเข้าใจในทันที เขายิ้มพลางเอ่ย แล้วจึงปล่อยม่านรถม้าลง

รถม้าเคลื่อนเข้ามาสู่ถนนที่แสนคึกคัก

บนถนนยังมีผู้คนมากมายไม่เปลี่ยน เสียงคนพูดคุยกันดังไปทั่ว สำหรับเมืองหลวงที่มีผู้คนมากมาย

ใครล้มป่วยใครตายใครมาใครไป ก็เหมือนกับหยดน้ำที่ไหลลงสู่กลางแม่น้ำ แม้ละอองน้ำก็ยังไม่กระเซ็นขึ้นมา

เทียบกับความครึกครื้นของถนนเส้นใหญ่นี้ หอเต๋อเซิ่งยามนี้กลับเงียบเหงานัก

บนสะพานโค้งไม่มีนางโลมแต่งกายสวยงามมาคอยต้อนรับพูดคุยกับแขกที่มาเยือน ไม่มีคนเดินขวักไขว่ขายสุราให้แขกประจำ ความคึกคักของหอเต๋อเซิ่งมีให้เพียงในช่วงค่ำคืนเท่านั้น

ภายในห้องห้องหนึ่ง ด้านหลังม่านมีหญิงร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังอยู่ ท่าทางคงยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัว ผมเผ้ารุงรัง ใส่เพียงชุดชั้นใน เผยให้เห็นไหล่ขาวที่ซูบผอมอย่างชัดเจน หากเห็นเพียงแค่แผ่นหลังก็ทำให้คนรู้สึกสงสารได้

ในยามนี้ร่างกายของนางก็สั่นเทิ้ม

“ที่แท้ ที่แท้ เป็นเรื่องจริงหรือ” เสียงราวกับนกขมิ้นก็ดังขึ้นภายในห้อง

“ท่านพี่ เป็นความจริงเจ้าค่ะ! นายท่านแซ่หลิวผู้นั้นเป็นอัมพาต รักษาไม่ได้ เพียงแค่รอวันตาย”

เสียงของสาวใช้ดังออกมาจากในห้อง ในมือถือกระจกทองสัมฤทธิ์ นางคุกเข่าลงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก กัดฟันพูดออกมา

ในกระจกสะท้อนใบหน้าอ่อนเยาว์อันงดงามออกมา หญิงสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี ผิวพรรณผุดผ่องเต่งตึง ยามนี้ไร้เครื่องสำอางแต่งแต้ม นัยน์ตาสองข้างสุกสกาวราวกับน้ำใส เพียงแค่นี้ก็ชวนให้คนหลงใหลแล้ว

“โธ่…”

สาวงามยกมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้ออกมา

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึงแล้ว”

เสียงร้องไห้ดังออกไปนอกประตู สาวใช้นางหนึ่งอายุราวสิบห้าปีในมือถืออ่างสัมฤทธิ์หยุดฝีเท้าลง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ในห้องที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่กลับร้องดังยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นเสียงร้องไห้เศร้าโศกของคนสองคน

สาวใช้เอียงคอราวกับสงสัย นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอาหูแนบใกล้บานประตู ทันใดนั้นก็มีเสียงคนตะโกนเรียกจากด้านหลัง

“ชุนหลิง! ”

สาวใช้ตกใจรีบหันหลังกลับ ก็เห็นนางโลมสาวเสื้อผ้าหลุดลุ่ยกำลังอ้าปากหาววอด

“ท่านพี่ มีอะไรจะใช้ข้าอย่างนั้นหรือ” นางยิ้มถามอย่างนอบน้อม

“แม่นางจูอาบน้ำเรียบร้อยแล้วหรือ” นางโลมเอ่ยถาม

“ยังเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยตอบ ไม่รีรอให้นางโลมเอ่ยซ้ำ ก็รีบพูดขึ้น “ท่านพี่เหมย ข้าจะรีบไปตักอีกกะละมังมาให้ท่าน”

นางโลมสาวพยักศีรษะอย่างพอใจ

“ดีมาก เจ้ารีบไปเถิด ข้าชอบนักคนฉลาดเช่นเจ้า ถึงเวลาถ้าจะบอกท่านแม่ให้ เจ้าตามข้ามาสิ” นางพูด พลางอมยิ้มดูเชิงสาวรับใช้ “เจ้าหน้าตาสะสวย สอนงานอีกสักหน่อย ก็ใช้ได้แล้ว”

สาวใช้ซาบซึ้งพลางเอ่ยขอบคุณ พานางโลมที่กำลังหาวเข้าห้องไป พอนางเงยหน้าขึ้นกลับไม่มีรอยยิ้มบนหน้าแล้ว กลายเป็นสีหน้าเหยียดหยามแทน

“ตามท่านอย่างนั้นหรือ…” นางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง เบะปาก สายตามองไปที่ประตูห้องที่มีเสียงร้องไห้ลอยออกมา

ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด หากจะตาม ก็ต้องตามให้ทันเขา หากจะทำ ก็ต้องทำให้ได้เหนือกว่าเขา

เช่นนี้ถึงจะมีโอกาสทำให้พวกที่เคยดูถูกตน เหยียดหยามตนนั้นได้รับผลกรรม ทำให้พวกเขาเสียใจภายหลัง

ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อน้องสาวด้วย

สาวใช้กัดริมฝีปากแน่น แววตาเป็นประกาย

……………..