เวลาผ่านไปไวนัก พริบตาเดียวก็ผ่านไปถึงสิบวันแล้ว
เรือนไท่ผิงกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้นานพอสมควรแล้ว ตอนที่พวกสวีเม่าซิวถูกจับตัวเข้าคุก ผู้ดูแลอู๋ที่ดูแลร้านอยู่เพียงคนเดียวก็ปิดร้านไปเพียงสามวันเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกิจการเท่าไรนัก
ในเวลานี้รถและม้าหลั่งไหลมาที่หน้าประตูไม่ขาดสาย ห้องโถงคราคร่ำไปด้วยลูกค้า เหล่าคนที่รอก็นั่งบ้างยืนบ้างอยู่ใต้ซุ้มหน้าประตู บ้างก็กินชาที่ทางร้านจัดมาให้ หรือไม่ก็พูดคุยกันเรื่องตัวอักษรบนประตู ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือนไท่ผิงในสิบวันที่ผ่านมา
สวีเม่าซิวละสายตาจากหน้าต่างอย่างสบายใจ พอสายตาเบนเข้าไปภายในห้องก็เริ่มเป็นกังวลเล็กน้อย
มืออันสั่นเทาข้างหนึ่งกำลังถือตะเกียบหนึ่งคู่ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบอาหารบนจาน แต่เพียงพริบตาตะเกียบก็ร่วงลงบนพื้น มือที่ห่อด้วยผ้าสีขาวแข็งทื่อ นิ่งอยู่กลางอากาศ
สะใภ้ซ่งคุกเข่าอยู่อีกด้าน ปิดหน้าพลางสะอื้น
“อีกครั้ง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
หลี่ต้าเสาตอบ ก่อนจะยื่นมือออกไปอีกครั้ง
เสียงของตะเกียบหล่นลงบนพื้นดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ดูแลอู๋ด้านนอกประตูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ก่อนจะมีเสียงฝีเท้ามาจากข้างหลัง เขาหันกลับไป ก็เห็นฟ่านเจียงหลินเดินมาอย่างรีบร้อน
ฟ่านเจียงหลินชี้นิ้วเข้าไปด้านใน เขามองถามด้วยสายตา ผู้ดูแลอู๋พยักหน้า ก่อนจะโบกมือ
ทั้งสองเดินห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
“บอกเรื่องนั้นหรือยัง” ฟ่านเจียงหลินถาม
ผู้ดูแลอู๋ส่ายหัว
“มาถึงก็ถามหลี่ต้าเสาทันที เถ้าแก่สามก็อยู่ด้านใน ยังไม่ทันได้บอก” เขาพูด
เมื่อเอ่ยถึงหลี่ต้าเสา ใบหน้าของทุกคนก็ดูเศร้าสร้อย พากันถอนหายใจกันอย่างพร้อมเพรียง
แม้ว่าจะต่อมือติดแล้ว แต่ทว่ายังหยิบจับอะไรไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับการใช้มีดทำอาหารในวันหน้า
หากเป็นคนอื่น มีเพียงมือไว้ประดับก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับหลี่ต้าเสา มือที่ใช้เพื่อประดับตกแต่งไม่ต่างอะไรกับการไม่มี
หลังจากเสียงตะเกียบหล่นลงพื้นดังขึ้นอีกครั้ง มือของหลี่ต้าเสาอ่อนแรงตกลงครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น
เสียงสะอื้นไห้ของชายหนุ่มดังขึ้นในห้อง
สวีเม่าซิวไม่อาจทนมองได้ จึงหันออกไปนอกหน้าต่าง
“นายหญิง นายหญิง ท่านบอกว่ารักษาได้ไม่ใช่หรือ”
สะใภ้ซ่งคุกเข่าลงพลางเดินเข้าไปใกล้ นางก้มลงต่อหน้าเฉิงเจียงเหนียงพร้อมกับร้องไห้สะอื้น
“สะใภ้ซ่ง เจ้าหมายความว่าอย่างไร” สาวใช้พูดอย่างไม่พอใจ
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เฉิงเจียวเหนียงตอบรับ ก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องโมโห”
สาวใช้ก้าวถอยหลังแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
“แม้ว่าจะต่อได้แล้ว แต่ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะฟื้นตัวได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ทำได้แค่คอยรักษากันต่อไปเท่านั้นล่ะ”
ถ้ารักษาแล้วไม่หายล่ะ หากคาดการณ์จากตอนนี้ วันหน้าคงหยิบจับอะไรขึ้นมาได้บ้าง แต่หากจะใช้มีดให้คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อนคงเป็นไปได้ยาก
ภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงสะอื้นของสะใภ้ซ่ง
“หลี่ต้าเสา เจ้าเริ่มเรียนทำอาหารตั้งแต่ตอนอายุเท่าไร” จู่ๆ เฉิงเจียวเหนียงก็ถามขึ้นอีกครั้ง
เสียงสะอื้นของหลี่ต้าเสาหยุดลง
อายุเท่าไร
เขามึนงงเล็กน้อย
หิวเหลือเกิน
เด็กเล็กตัวผอมยืนอยู่ที่มุมครัว อมนิ้วพลางจ้องมองคนที่กำลังยุ่งอยู่ตรงเตา กลิ่นหอมอบอวลชวนน้ำลายสอ
เรียนทำอาหารแล้วจะมีอาหารกิน…
ข้าจะหัดทำอาหาร ชีวิตนี้จะได้ไม่ทนหิวตลอดไปแล้ว…
แต่เมื่อโตขึ้นก็รู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น
“ผู้ที่สวมเสื้อไหม มิได้ลำบากเช่นคนที่เลี้ยงไหม” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สาวใช้ส่งเสียงสงสัย
“นายหญิงบอกว่าเขียนบทกวีไม่ได้ แต่นี่เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ นะเจ้าคะ” นางพูด
“ข้าไม่ได้แต่งเอง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เช่นนั้นใครกันเจ้าคะ” สาวใช้ถาม
เฉิงเจียวเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่รู้ นึกไม่ออก” นางหันไปหาสาวใช้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
แล้วจำบทกวีได้อย่างไรเล่า ฟ่านเจียงหลินและผู้ดูแลร้านอู๋มองหน้ากันอยู่ด้านนอกประตู โชคดีที่ไม่นานหัวข้อสนทนาในห้องก็กลับมาที่เรื่องเดิม
“เจ้าช่วยงานพ่อครัวตั้งแต่อายุหกขวบ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “แล้วใช้เวลากี่ปีถึงจะเรียนจบ”
อาจจะเป็นเพราะการสูญเสีย ทำให้หลี่ต้าเสาหวนนึกถึงอดีตได้ง่ายขึ้น
“ข้าโง่ เรียนไม่เก่ง” เขาพูดด้วยเสียงขึ้นจมูก “กว่าจะได้ทำอาหารเองจริงๆ ก็ยี่สิบสามปี ต้องขอบคุณท่านชายโต้วที่ชื่นชมฝีมือของข้า…”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้หัวใจก็ปวดร้าวอย่างหาที่สุดไม่ได้
คนตระกูลโต้วที่ชื่นชมเขาหนักหนาในตอนนั้น ก็คือคนตระกูลโต้วที่ทำลายเขาในวันนี้
สำเร็จก็เพราะตระกูลโต้ว ล้มเหลวก็เพราะตระกูลโต้วเช่นกัน หากพูดเช่นนี้แล้ว อันที่จริงก็เท่ากับว่าทุกอย่างนั้นสูญเปล่าหรือ
“เจ้าใช้เวลาสิบเจ็ดปี” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ถึงจะฝึกทำอาหารได้เช่นวันนี้ คิดว่านานไหม”
หลี่ต้าเสาส่ายหัว
“ตอนนั้นเจ้าเรียนทำอาหารด้วยมือขวาใช่ไหม” เฉิงเจียวเหนียงถาม
หลี่ต้าเสาตะลึง ก็ต้องใช่อยู่แล้ว
“มือขวาของเจ้าไม่ดีเหมือนเดิม แต่เจ้ายังมีมือซ้าย” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาและพูดว่า “ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสิบเจ็ดปี เจ้าเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เป็นอย่างไร”
มือซ้ายหรือ เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรกเนี่ยนะ
หลี่ต้าเสามองเฉิงเจียวเหนียงอย่างตกตะลึง และคนอื่นๆ ก็มองมาที่นางเช่นกัน
“ผู้ดูแลอู๋ พี่ใหญ่” ทว่าเฉิงเจียวเหนียงไม่ได้พูดอะไรอีก นางมองประตูพลางเอ่ยตะโกนขึ้น
ผู้ดูแลร้านอู๋และฟ่านเจียงหลินขานรับก่อนจะเดินเข้ามา
“พี่สามบอกว่าเจ้ามีธุระจะพูดคุยกับข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เปลี่ยนเรื่องไปเช่นนี้เลยหรือ หลี่ต้าเสาที่อยู่อีกข้างมึนงง ผู้ดูแลร้านอู๋และสวีเม่าซิวมองตากัน ก่อนที่สวีเม่าซิวจะพยักหน้าให้เขา
“ใช่ขอรับ โต้วชีมาหาหลายครั้งแล้ว” ผู้ดูแลอู๋นั่งลงและพูดว่า “ทั้งสั่งให้คนมาและมาด้วยตัวเอง คุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าข้าและเถ้าแก่ บอกว่าจะยกเรือนนางฟ้าให้เราให้ได้”
“เรือนไท่ผิงเป็นของเรา หากจะเอาคืนมาก็ไม่มากเกินไป ทว่าเรือนนางฟ้าไม่ใช่ของเรา จู่ๆ จะมาอยากได้โดยไม่มีเหตุได้เช่นไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เขาบอกว่าเดิมทีร้านก็เกิดขึ้นจากนางฟ้าผ่านทางของนายหญิง วันนี้ก็ถือว่าได้คืนสู่เจ้าของเดิม” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ยพลางยิ้ม “นายหญิง เขาตกใจจนขวัญเสียไปแล้ว บอกว่าไม่ต้องการสิ่งใดเลย ขอแค่มีชีวิตอยู่ต่อ”
“น่าขำเสียจริง ไร้เหตุไร้ผล ใครที่ไหนจะไปอยากได้ชีวิตเขากัน” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัวพลางเอ่ย ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง
ต้องมีเหตุผลสินะถึงจะอยากได้ชีวิตผู้อื่น
คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างคิดในใจ
“แน่นอนว่าไม่ได้ให้เปล่า” ผู้ดูแลร้านอู๋เอ่ย “ทว่าขายให้”
สวีเม่าซิวหัวเราะอยู่ด้านข้าง
“สักวันเรื่องนี้ก็ต้องเกิดขึ้นสินะ” เขาเอ่ย
พอคนที่คอยอุปถัมภ์ค้ำชูอย่างราชเลขาหลิวล้มลงแล้ว โต้วชีคิดว่าเรือนนางฟ้ายังจะเปิดต่อไปได้หรือ
ไม่ช้าก็เร็วต้องขายไปอยู่ดี ยามนี้ทำทีมาขอโทษแล้วยกร้านให้เองเพื่อประจบสอพลอ จะดูถูกกันเกินไปแล้ว
“ในเมื่อเป็นเรื่องการซื้อขาย เช่นนั้นก็ให้ผู้ดูแลร้านอู๋ตัดสินใจเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ตอบรับแล้วหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าจะวางมือจากโต้วชีแล้วหรือ สวีเม่าซิวตกใจเล็กน้อย
“น้องสาว เช่นนั้นโต้วชีก็ได้เปรียบน่ะสิ” เขาขมวดคิ้วเอ่ย “แต่เขาเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นนะ!”
สวีปั้งฉุยและคนอื่นๆ ต่างเตรียมพร้อมที่จะยัดโต้วชีใส่กระสอบแล้วโยนลงแม่น้ำในตอนกลางคืนแล้ว
“รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่ายอดเยี่ยมนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คำพูดนี้ไม่ว่าจะชายหรือหญิงใดเอ่ย ล้วนแต่ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยทั้งนั้น ในยามนี้คนในห้องกลับรู้สึกแปลกประหลาดที่ได้ยิน
ที่แท้แม่นางผู้นี้มีใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์อย่างนั้นหรือ แต่เหตุใดการกระทำถึงเหมือนปีศาจเสียมากกว่า
แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่สวีเม่าซิวก็ไม่ได้ถามต่อ ได้แต่พยักหน้า
“ได้ เช่นนั้นก็ว่าตามที่น้องสาวบอก” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลร้านอู๋ขานรับด้วยความดีใจ ในมุมมองของเขา การค้ายิ่งใหญ่เท่าไรก็ยิ่งดี อีกอย่างพวกเขาก็พบเจอเรื่องยากลำบากมามากพอแล้ว จึงสมควรได้รับรางวัลตอบแทน
เฉิงเจียวเหนียงมองหลี่ต้าเสาอีกครั้ง ส่วนหลี่ต้าเสายังคงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดังเดิม
“เห็นไหม ข้ามีร้านอาหารเพิ่มขึ้นอีกแล้ว” เฉิงเจียวเหนียง “หอจุ้ยเฟิ่งของตระกูลโต้วให้เวลาเจ้าสิบเจ็ดปี ร้านอาหารทั้งสองร้านของข้าก็ให้ได้เช่นกัน เหลือก็แต่ว่าเจ้าจะกล้าหรือไม่”
เหตุใดถึงถามเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่ถามเขาว่าอยากหรือไม่อยาก
ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครเข้าใจ
หลี่ต้าเสามองเฉิงเจียวเหนียง ริมฝีปากกระตุกสั่นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เจ้าลำบากมามาก แต่อีกสิบเจ็ดปีข้างหน้า เจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขาก่อนจะพูด “แต่แตกต่างจากความทุกข์ทรมานในอดีต ความลำบากเมื่อสิบเจ็ดปีนั้นคือความทุกข์ภายนอก
ไม่มีจะกิน ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ชีวิตลำเค็ญ แต่ในอีกสิบเจ็ดปีข้างหน้าเจ้าจะไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ของภรรยา ลูกและแม่ของเจ้าเลย แต่เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานกว่าสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ความทุกข์นั้นเรียกว่าความทุกข์ใจ เจ้าต้องแบกรับความกดดันและความสิ้นหวัง เสียงเยาะเย้ย ความคลางแคลงใจและการเลือกปฏิบัติของผู้อื่น และความเสื่อมโทรมทางกายและจิตใจจากความไร้กังวลนั้น…”
ใช่แล้ว ได้เงินค่าแรง มีข้าวปลาอาหารที่คนหามาให้ แต่ว่าตัวเองกลับทำงานใดไม่ได้เลย ไม่สามารถตอบแทนได้อย่างเท่าเทียม วันสองวันคงไม่มีใครว่าอะไร ทว่าหนึ่งปีสองปี สามปีสี่ปีเล่า
แรงกดดันเช่นนั้นอาจทำให้คนเราเสียสติไปเลยก็ได้
ร่างของหลี่ต้าเสาสั่นเทาไปหมด
“ความลำบากเช่นนี้ ทรมานเสียยิ่งกว่าความลำบากทางกายเสียอีก เช่นนั้นแล้วเจ้ากล้าแบกรับความทุกข์นี้หรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงถาม
ทั้งห้องเงียบไปชั่วขณะ ทุกคนต่างดูเหมือนกำลังตรึกตรอง หากเป็นตัวเอง จะกล้าแบกรับไหม จะทนทุกข์ทรมานจากสิ่งนี้ได้หรือไม่
“อาการเจ็บป่วยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรักษา ชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับยา” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “อันที่จริงทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวเจ้า เจ้าคิดอย่างไร ข้าก็จะให้สิ่งนั้น ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าคิดอย่างไร”
หลี่ต้าเสาสูดหายใจลึกแล้วมองเฉิงเจียวเหนียง
“ขอบคุณนายหญิงมาก” เขาพูดพร้อมโค้งคำนับ “ข้าน้อยยินดี”
เขาเคยมีโอกาสพลิกชีวิตถึงสองครั้งและล้มลงสองครั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่าชีวิตของเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือรักษาให้หายได้ แค่สิบเจ็ดปีเองมิใช่หรือ เจออีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป!
สะใภ้ซ่งป้องปากก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้แววตาของนางไม่ได้ดูสิ้นหวังหรือเศร้าสร้อยอีกต่อไป แต่แฝงไปด้วยความปิติ
ในช่วงบ่าย เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยลา สวีเม่าซิวจึงออกไปส่ง
“ต่อไปท่านพี่จะได้อยู่ใกล้บ้านมากขึ้นแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เมื่อครู่ได้เจรจาเรื่องการจัดการและการตกแต่งเรือนนางฟ้าไปคร่าวๆ แล้ว ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวร่วมกับบรรดาพี่น้องจะแบ่งกันดูแลคนละที่
เพราะที่เรือนไท่ผิงมีโรงงานเต้าหู้อยู่ จึงต้องมีคนอยู่มากกว่าเล็กน้อย สวีเม่าซิวจึงมาที่เรือนนางฟ้าในเมืองหลวงกับคนอีกสองคน
“ใช่แล้ว” สวีเม่าซิวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“อาการบาดเจ็บของพี่ๆ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“ไม่เป็นอะไร แผลฟกช้ำนิดหน่อย เพียงแค่ภายนอกดูน่ากลัวเท่านั้นเอง” สวีเม่าซิวเอ่ยพลางยิ้ม
“กลัวไหม” เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางถาม
สวีเม่าซิวยิ้ม
“น้องสาวบอกเองไม่ใช่หรือว่า” เขาเอ่ย “ลำบากใจนั้นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลำบากกาย เช่นเดียวกัน แม้จะพบเจอเรื่องราวภายนอกที่แสนน่ากลัวเช่นไร ก็ไม่อาจเทียบได้กับความหวาดกลัวในจิตใจ หากมีน้องสาวอยู่ พวกเราไม่มีอะไรต้องกลัว”
เฉิงเจียวเหนียงอมยิ้มพลางคำนับ
“รีบไปเถิด อย่าคิดมากเลย” สวีเม่าซิวยิ้มพลางเอ่ย ก่อนจะเอื้อมมือไปปล่อยผ้าม่านให้ตกลงมา
รถม้าเคลื่อนผ่านถนนอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ หายไปทางทิศตะวันตก บนท้องถนนยังคงคึกคัก เมื่อเข้าใกล้ศาลาว่าการเมืองจิงเจ้า ถนนกลับถูกปิดกั้นโดยฝูงชน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
สาวใช้เอี้ยวตัวออกมาถาม
“เกิดอะไรขึ้น” คนขับรถม้ารีบตะโกนถามผู้คนที่สัญจรไปมา
ชาวเมืองดูท่าทางตื่นเต้นกันเหลือเกิน
“แม่นางจูคุกเข่าร้องไห้อยู่หน้าประตูศาลาว่าการ ร้องขอความยุติธรรม!”
แม่นางจูอย่างนั้นหรือ
สาวใช้คุ้นเคยกับเมืองหลวงดี แต่ไม่คุ้นชื่อนี้เอาเสียเลย
“นางโลมของหอเต่อเซิ่งเมื่อปีก่อน!” คนขับรถม้ายังอุทานด้วยความตื่นเต้นว่า “เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ หาได้ยากนัก! กลับมาคุกเข่าร้องขอความยุติธรรม! หญิงเช่นนางจะได้รับอยุติธรรมเรื่องใดกัน”
ที่เรียกว่านางโลมเพราะมิใช่โสเภณี แต่เป็นนางคณิกา ในเมื่อเป็นนางคณิกา ส่วนใหญ่ย่อมเป็นคนของกองสังคีต
แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ขายตัวให้กับกองสังคีต ส่วนใหญ่ทำงานหาเงินไถ่ตัวเสียมากกว่า
ยามคนในบ้านกระทำความผิด คนในตระกูลย่อมพลอยโดนหางเลขไปด้วย ในใจของนางย่อมรู้สึกไม่เป็นธรรมไม่มากก็น้อยกระมัง
สาวใช้กลับลงไปนั่งที่เดิม แม้คนขับรถม้าอยากจะทิ้งรถแล้วเข้าไปมุงด้วยแค่ไหน แต่ก็ต้องจำใจขับอ้อมไปอีกทาง
“นี่ไม่ใช่ธุระของเรา” นางพูด
แต่คราวนี้สาวใช้คิดผิด เรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกนางจริงๆ
ห้าวันต่อมา นายใหญ่โจวมาขอพบอีกครั้ง ท่าทางแสนนอบน้อมเหมือนดั่งคราวก่อนไม่มีผิด แถมคราวนี้ท่าทางยังดูลำพองใจยิ่งนัก
เขาเข้ามานั่งนิ่งอยู่ในห้อง ก่อนจะยื่นหนังสือสัญญาฉบับหนึ่งมาให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
“นี่คืออะไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
“นี่คืออี๋ชุนถังของแม่นาง” นายใหญ่โจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงเอื้อมมือไปหยิบ ก่อนจะมองสัญญาในมืออย่างละเอียด
“เร็วขนาดนี้เชียว” นางเอ่ย แม้สีหน้าจะเป็นปกติ ทว่าน้ำเสียงเผยความตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้นางเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน “ผู้คนเริ่มแย่งชิงตำแหน่งกันเร็วขนาดนี้เชียวหรือ แถมยังแย่งได้สำเร็จอีกด้วย”
“เป็นสมาชิกในตระกูลขุนนางผู้หนึ่งที่ถูกราชเลขาหลิวใส่ร้ายสมัยก่อน ตอนนั้นถูกเขาปรักปรำว่ามีความผิด จนโดนส่งไปหนานโจว แต่ก็ตายระหว่างทาง ทั้งยังโดนข่มขืน…อีก แค่กๆ… จากนั้นก็กดดันจนหญิงสาวในตระกูลในตรอมใจตายกันไปหมด เหลือเพียงเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบเพียงหนึ่งคน แต่ก็ถูกขายให้กับกองสังคีต ตอนนั้นฮูหยินของขุนนางผู้นั้นกัดลิ้นฆ่าตัวตาย นางได้ซ่อนบันทึกความอยุติธรรมนองเลือดและหลักฐานไว้กับเด็กหญิงผู้นั้น ถือได้ว่าเป็นความประมาทของราชเลขาหลิวที่ไม่ได้กำจัดให้สิ้นซาก หลายปีที่ผ่านมาหญิงนางนี้ฝังใจกับความเกลียดชังนี้มาโดยตลอด เมื่อได้โอกาสนี้ก็ตีกลองร้องทุกข์
แม้ฝ่าบาทจะเห็นใจที่ราชเลขาหลิวป่วยอยู่ ทว่าก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะหออาลักษณ์หลวงกัดไม่ปล่อย” นายใหญ่โจวเผยสีหน้าลำพองใจ เลิกคิ้วสูงพลางเอ่ย
“อ๋อ ข้ารู้แล้ว แม่นางจูที่เป็นนางโลมของหอเต๋อเซิ่งที่อยู่บนถนนวันนั้น ที่แท้ก็เป็นนางเองหรือ” ครั้นสาวใช้นึกถึงเรื่องบนถนนวันนั้นก็เอ่ยขึ้นทันใด
“ใช่แล้ว ตอนแม่นางจูอยู่ในกองสังคีตไม่เคยโกรธเกลียดผู้ใด เชื่อฟังและฉลาดเฉลียว ทั้งเรียนดีดเครื่องสาย หมากรุก คัดลายมือ วาดภาพ ร้องเพลงและเต้นรำหนักกว่าผู้ใด นางร้องไห้พลางก่นด่าที่ศาลาว่าการในวันนั้น เพียงต้องการที่จะป่าวประกาศเรื่องราว เพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น และล้างแค้นให้กับบิดามารดา” นายใหญ่โจวเอ่ยพร้อมทอดถอนใจด้วยความหดหู่ “ช่างเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งเสียจริง”
“มีเพียงความแข็งแกร่งอย่างเดียวไม่ได้กระมัง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ท่านลุงก็คงช่วยเหลือไม่น้อยเลยใช่ไหม”
สมาชิกในตระกูลอวี๋ซึ่งเป็นทายาทของขุนนางผู้มีความผิด ได้ชื่อว่าเป็นนางโลมอาจดึงดูดความสนใจได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนความสงสารของฮ่องเต้หรอก
นายใหญ่โจวหัวเราะและอดไม่ได้ที่จะภูมิใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ราชเลขาหลิวเล่นตุกติก ข้าจะทำบ้างไม่ได้เลยหรือ มีใครบ้างไม่ช่วยเหลือคนของตัวเอง ค้นหาความผิดบางประการที่ฝ่าบาทไม่ชอบ ยิ่งไปกว่านั้นใต้เท้าที่เป็นอัมพาตเช่นนั้น ไม่มีใครต้องการอีกต่อไป ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะไม่มีใครใช้งานเขาอีก” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มและไม่พูดอะไร
“แม้ว่าฝ่าบาทจะอดสงสารเขาไม่ได้ แถมเขายังป่วยจึงไม่สามารถรับโทษได้ ลูกชายของเขาหลายคนถูกจับเข้าคุกเพื่อสอบสวน ทรัพย์สินในตระกูลก็ถูกตรวจสอบ อ๋อ คิดไม่ถึงเลยว่าชายผู้นี้จะมีที่ดินซ่อนอยู่มากมายขนาดนี้…” สายตาของนายใหญ่โจวเป็นประกาย พลางเอ่ยต่อ
ทรัพย์สมบัติและเงินทองมากมายเช่นนี้ คนที่ได้ยินแล้วตาเป็นประกายเช่นเขาย่อมมีไม่น้อย
และคนเหล่านี้จะทำให้สถานการณ์ที่ราชเลขาหลิวประสบอยู่แย่ลงอีกแน่นอน
“เพียงแต่ สุดท้ายแล้วตำแหน่งของข้าก็ต่ำต้อย คงไม่ต้องถึงมือข้าจัดการ ทว่าข้าไปเอาอี๋ชุนถังมาให้แม่นางแล้ว” นายใหญ่โจวละอายใจขึ้นมาอีกครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านลุงมากที่ยอมเป็นธุระให้” นางเอ่ยพลางคำนับ
“หามิได้ หามิได้ เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว” นายใหญ่โจวรีบเอ่ยพร้อมกับคำนับ “แม่นางได้รับสิ่งนี้ถือว่าสมควรยิ่ง”
เฉิงเจียวเหนียงคารวะอีกครั้ง ก่อนจะมอบสัญญาตรงหน้าให้สาวใช้ สาวใช้รับไว้อย่างดีใจ
“คราวนี้ดีจริงๆ ส่งเรือนไท่ผิงออกไป กลับได้เรือนนางฟ้ามา แถมยังมีร้านยาอีก” นางเอ่ยอย่างสุขสม พร้อมกับเอียงคอครุ่นคิด “ไม่รู้ว่าจะยังมีคนอยากได้เรือนไท่ผิงของเราอีกหรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับอะไรดีๆ ก็เป็นได้”
นายใหญ่โจวได้ยินก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ ก่อนจะเดินออกมาจากบ้านของเฉิงเจียวเหนียง เขายกม่านขึ้นอีกครั้ง มองไปยังประตูเรือนที่ปิดลงอย่างช้าๆ ด้านหลัง แผ่นหลังของนางช่างผอมบางและสง่างาม ข้างกายมีสาวใช้พูดคุยหัวเราะรายล้อม ช่างดูผ่อนคลายยิ่งนัก
ช่างสบายใจเหลือเกิน คนที่ผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้กลับได้ทุกสิ่งโดยที่ไม่มีใครรู้
ไม่ใช่แค่เรือนนางฟ้าหรือร้านขายยา แต่ยังเป็นการล่มสลายของตระกูลขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงมานานร่วมทศวรรษ หากไม่เรียกว่าล้างชั่วโคตร ก็ไม่ต่างอะไรกับล้างชั่วโคตรสักเท่าไหร่
ใครจะรู้ว่า และใครจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้ต่างเป็นฝีมือของเด็กบ้าแห่งเจียงโจวผู้นี้!
เด็กบ้าแห่งเจียวโจว!
……………………..