บทที่ 443 การถกเถียงภายในราชสำนัก + บทที่ 444 พำนักอยู่ที่จวนตระกูลเซียว

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 443 การถกเถียงภายในราชสำนัก

เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า แม้พวกเขาจะรู้เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ใครกันที่เกลียดทั้งสองตระกูลมากขนาดนี้ เกลียดถึงขนาดที่ใช้วิธีนี้กำจัดพวกเขา

เฉียวเทียนช่างพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นเซียวจื่อเซวียน”

เซียวชวี่เฟิงตัวแข็ง ก่อนเขาจะส่ายศรีษะ “เป็นไปไม่ได้ เซียวจื่อเซวียนไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้”

“แต่นางยังมีองครักษ์ลับที่ติดตัวมาจากจวนตระกูลเซียวอยู่ ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนหน้านี้เซียวอี้หลินยังหักแขนขาของนางไปอีก” เซียวจื่อเซวียนไม่ใช่คนใจกว้าง เขาไม่นึกแปลกใจเท่าใดนักหากนางจะทำเรื่องเช่นนั้น

เซียวชวี่เฟิงนึกประหลาดใจ เขามองเฉียวเทียนช่าง “เจ้าบอกว่าเซียวจื่อเซวียนถูกหักแขนขาหรือ ทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าเซียวอี้หลินตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับนางแล้วหรอกหรือ”

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดนางจึงต้องลงมือเพื่อจัดการกับทั้งสองตระกูลด้วยเล่า มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

เฉียวเทียนช่างเยาะขึ้น “เขาทำแบบนั้นไปก็เพื่อปกป้องเซียวจื่อเซวียน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาบุกจวนแม่ทัพมิใช่หรือ”

เป็นเพราะเซียวอี้หลินอยากจะบอกเรื่องนี้กับพวกเขา แต่เขากลับไม่สามารถใช้กำลังบุกเข้ามาได้

เซียวชวี่เฟิงยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่ “ในเมื่อเขากับนางตัดความสัมพันธ์กันแล้ว มิหนำซ้ำนางยังไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขาอีก มันมีค่าพอให้เขาทำขนาดนั้นด้วยหรือ”

“ขนาดเจ้าเลี้ยงสัตว์ เจ้าก็ยังมีความรู้สึกผูกพันกับมันหลังจากเลี้ยงไปหลายปีใช่ไหมล่ะ แล้วประสาอะไรกับการเลี้ยงดูคน เขาคงนึกเอ็นดูนางอยู่เหมือนกัน” เฉียวเทียนช่างกล่าวอย่างไม่พอใจ

เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า เขาดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เขานึกสงสัยเสียจริงว่าทั้งสองตระกูลจะมีปฏิกิริยาเช่นใดหากพวกเขามาเห็นของสิ่งนี้เข้า

เช้าวันถัดมา ณ ราชสำนัก เซียวชวี่เฟิงแสดงหลักฐานนั้นให้หลิงอ๋องและเซียวอ๋องดู เสนาบดีและคนอื่นๆ ภายในราชสำนักเองก็เห็นของสิ่งนั้นเช่นกัน

สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นของพวกนั้น โดยเฉพาะสีหน้าของคนจากจวนตระกูลหลิง ข่าวเรื่องป้ายที่พวกเขามีอยู่ในมือและเรื่องที่พวกเขานำมันไปค้นหากองทัพลับแห่งเมืองเซียวก็ถูกเขียนเอาไว้บนนั้น

“ทูลฝ่าบาท ได้โปรดสืบสวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนด้วยพะย่ะค่ะ นี่เป็นการใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”

“ใส่ร้ายรึ แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น” เซียวชวี่เฟิงมองหลิงอ๋องด้วยสายตายากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร

หลิงอ๋องไม่แน่ใจว่าเซียวชวี่เฟิงหมายความว่าอย่างไร แต่เขายังคงกล่าวว่าตนนั้นถูกใส่ร้าย

เซียวฉีเทียนมีรอยยิ้มชั่วร้ายเมื่อเขามองหลิงอ๋อง “ข้าได้ข่าวมาพักหนึ่งแล้วว่าตอนช่วงปีใหม่หลิงอ๋องปลอมตัวและเดินทางไปยังเมืองหลิง ข้าสงสัยว่าจริงหรือไม่”

หนังตาของหลิงอ๋องกระตุก เขามองเซียวฉีเทียนด้วยท่าทีไม่มั่นใจ “ข้าสงสัยว่าองค์ชายฉีไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหนกันหรือ ช่วงนั้นกระหม่อมอยู่ที่จวนตลอดพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าอยู่ที่จวนหรือ แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น เรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ จากประวัติของด่านตรวจคนเข้าเมืองนี่ หลิงอ๋อง เจ้าบอกว่าเจ้าอยู่ที่จวนหรือ เจ้าอยากให้พวกเราตรวจสอบเรื่องนั้นดูไหม” เซียวฉีเทียนหรี่ตาขณะเอ่ยขึ้น ดูท่าทางเป็นกันเอง

สีหน้าของหลิงอ๋องเปลี่ยนไป เขาคุกเข่าลงกับพื้นในทันที “ฝ่าบาท ได้โปรดตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในเวลานั้นกระหม่อมอยู่ที่จวนจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวชวี่เฟิงมองหลิงอ๋อง “ที่จวนหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เฉียวเทียนช่างทอดสายตามองหลิงอ๋องที่มีเหงื่อเย็นๆ ท่วมตัว

“หลิงอ๋องคงจะร้อนน่าดู ทั้งที่เพิ่งจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ท่านกลับเหงื่อออกเสียขนาดนี้”

หลิงอ๋องเผลอยกมือขึ้นจับใบหน้าของตน มือของเขาเปียกชุ่ม

เซียวฉีเทียนเดาะลิ้นขณะมองหลิงอ๋อง “จริงด้วย ทั้งที่อากาศยังไม่ทันร้อนแต่ท่านกลับเหงื่อออกมากเหลือเกิน มิหนำซ้ำยังตัวสั่นด้วย ท่านตื่นเต้นหรือ”

เซียวฉีเทียนกับเฉียวเทียนช่างผลัดกันพูด ทำให้หลิงอ๋องหาช่องทางในการตอบโต้ไม่เจอ เขามองทั้งสองก่อนเอ่ยขึ้นอย่างอับจนหนทางว่า “องค์ชายฉี กระหม่อมสงสัยว่ากระหม่อมทำอะไรให้ท่านมีโทสะหรือ เหตุใดจึงจ้องเล่นงานกระหม่อมเช่นนี้”

เซียวฉีเทียนรู้สึกขบขันกับท่าทีของหลิงอ๋อง “ข้าจ้องเล่นงานเจ้ารึ เจ้ามีค่าพอที่ข้าจะต้องเล่นงานด้วยหรือ”

ชายผู้นี้กำลังพูดโกหกทั้งที่มีหลักฐานอยู่ตรงหน้า เซียวฉีเทียนรู้สึกนับถือเขายิ่งนัก

เซียวชวี่เฟิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ในตอนนั้น จู่ๆ เซียวอ๋องกลับพูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นการสร้างหลักฐานเท็จพ่ะย่ะค่ะ”

เฉียวเทียนช่างทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่เซียวชวี่เฟิงส่งสายตาเป็นสัญญาณไปให้เขาก่อน เฉียวเทียนช่างเข้าใจ เขาพยักหน้า “สร้างหลักฐานเท็จหรือ เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อส่งคนไปสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดก่อน”

“พูดเช่นนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับท่านแม่ทัพเป็นผู้จัดการเรื่องนี้” เซียวชวี่เฟิงไม่สนใจสีหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของเซียวอี้หลินและออกคำสั่งโดยตรง

“กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เฉียวเทียนช่างและเฉินเฟิงคุกเข่าลงพร้อมกัน

บทที่ 444 พำนักอยู่ที่จวนตระกูลเซียว

สีหน้าของเซียวอี้หลินเปลี่ยนไป เขาอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เขาเห็นสายตาที่เซียวชวี่เฟิงมองตนด้วยความเย็นชาและแฝงด้วยคำเตือนเข้าเสียก่อน

หลังจากการประชุมภายในราชสำนักสิ้นสุดลง เฉินเฟิงจึงไปหาเฉียวเทียนช่าง “ท่านแม่ทัพ มาหารือกันเถิดว่าขั้นต่อไปควรทำเช่นไรดี”

“ไปคุยกันที่จวนแม่ทัพดีกว่า”

“เอาสิ”

หลังจากที่ทั้งสองกลับไป หลิงอ๋องและเซียวอี้หลินจึงเดินออกไป “ดูเหมือนมีคนไม่ต้องการให้พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุข”

“จริงดังนั้น” เซียวอี้หลินมองตรงไปข้างหน้าอย่างใจเย็น ภายในใจมีความคิดบางอย่างอยู่ เซียวชวี่เฟิงและพรรคพวกสืบหาของพวกนั้นมาได้เอง หรือว่ามีใครตั้งใจทำเช่นนั้น

“พวกเราควรหารือกันเรื่องวิธีรับมือ” มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าของพวกนั้นเป็นของจริงหรือไม่

ทั้งสองแยกกันกลับ ไม่ได้มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ทว่าจุดหมายที่แท้จริงที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนั้นคือจวนตระกูลเซียว

เฉินเฟิงเดินตามเฉียวเทียนช่างไปยังจวนแม่ทัพ หนิงเมิ่งเหยาและข้ารับใช้ของนางกำลังอาบแดดกันอยู่ในสวน ท้องของนางโตขึ้น ใบหน้าของนางเองก็กลมขึ้นกว่าครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ดูมีรัศมีแห่งความเป็นแม่ครอบคลุมอยู่ทั่วทั้งร่าง

“คารวะฮูหยิน”

แม้เขาจะเป็นเสนาบดีของเมือง แต่หากเทียบกับเฉียวเทียนช่างแล้ว เขารู้ดีว่ายศถาบรรดาศักดิ์ของตนนั้นถือว่าต่ำกว่า

“เทียนช่าง คนผู้นี้คือ..” นางรู้จักคนผู้นี้ ก่อนหน้านี้เขาเคยไปที่หมู่บ้านไป๋ซานเพื่อจัดการโจรพวกนั้น

“ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย นามว่าเฉินเฟิง”

หนิงเมิ่งเหยาตัวแข็ง นางไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นถึงเสนาบดี “คารวะท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย พวกท่านคุยกันเถิด ข้ากำลังจะไปพักผ่อนพอดี”

“ไปเถอะ เดินระวังๆ ด้วยล่ะ” เฉียวเทียนช่างพยักหน้า เขามองส่งหนิงเมิ่งเหยากลับเข้าจวนก่อนจะหันหน้าไปมองเฉินเฟิง

เฉินเฟิงมองเฉียวเทียนช่างแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

“ท่านแม่ทัพ ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หรือ”

“ท่านคิดว่ามันเป็นของปลอมรึ”

“ไม่เลย เมื่อเห็นท่าทางของท่านแม่ทัพ องค์ชายฉีและฮ่องเต้แล้ว ข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นของจริง” เฉินเฟิงส่ายหน้า หากหลักฐานเหล่านั้นเป็นของปลอม เซียวชวี่เฟิงก็คงจะไม่เอามันออกมาแสดงเป็นแน่

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาตอบสนองของหลิงอ๋องและเซียวอ๋องแล้ว ของพวกนั้นก็น่าจะเป็นของจริง สองคนนั้นเพียงแค่บิดเบือนวาจาและยัดเยียดตรรกะของตนเท่านั้น

เฉียวเทียนช่างพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลิงอ๋องเอาราชโองการลับไปและออกตามหากองทัพพวกนั้นจริง สิ่งที่องค์ชายฉีพูดนั้นเป็นเรื่องจริงเช่นกัน เขามุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงช่วงปีใหม่และทำข้อตกลงกับหนานกงเยว่ ทั้งสองวางแผนจะลงมือในช่วงพระราชพิธีเสกสมรสขององค์ชายฉี”

ในเวลานั้นสายตาของทุกคนจะต้องจับจ้องอยู่ที่พิธีแต่งงานเป็นแน่ จะมีผู้ใดสนใจเรื่องนี้กันเล่า

เฉินเฟิงมองเฉียวเทียนช่างด้วยความตกใจ “ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงยังยอมให้พวกเขาทำตามใจกันอีกเล่า”

ดูท่าว่าพวกเขาทั้งสามจะรู้เรื่องนี้นานแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพวกเขาจึงปล่อยทั้งสองตระกูลให้อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้

“ทำไมน่ะหรือ เพราะพวกข้าตั้งใจจะรวบพวกมันพร้อมกันในครั้งเดียวน่ะสิ ยิ่งกว่านั้นเราสามารถยกเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลที่จะส่งกองทัพไปยังเมืองหลิงได้ด้วย ไม่ดีหรือ” สำหรับเมืองอื่นๆ ที่ไร้ความทะเยอทะยาน แน่ล่ะว่าพวกเขาสามารถปรองดองและอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ แต่ไม่ใช่กับเมืองหลิงแน่

เมืองหลิงวางแผนเล่นงานพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยไป

เฉินเฟิงครุ่นคิดอย่างรอบคอบ และคิดว่าแผนการนี้เป็นไปได้จริง “ถ้าเป็นเช่นนั้น ขั้นต่อไปเราควรทำเช่นใดหรือ”

“ต้องสืบดู”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น ชิงเซวียนก็เดินเข้ามา “ท่านแม่ทัพขอรับ ฮูหยินบอกให้ข้านำเรื่องนี้มาบอกกับท่านขอรับ เป็นข่าวล่าสุดที่พวกเราเพิ่งได้รับมา”

เฉียวเทียนช่างรับจดหมายมาอ่าน พออ่านจบเขาก็หัวเราะเยาะ “หนานกงเยว่คงไม่กลัวตายจริงๆ”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร” เฉินเฟิงรู้สึกงุนงง เขาจึงถามขึ้น

“หนานกงเยว่ องค์ชายแห่งเมืองหลิงเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองเซียวเมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้เขากำลังพักอยู่ที่จวนตระกูลเซียว” ไม่แปลกใจเลยที่ตอนอยู่ในราชสำนักนั้นเซียวอี้หลินกล้าเผชิญหน้ากับเซียวชวี่เฟิงตรงๆ เช่นนั้น ดูเหมือนเขาคงตัดสินใจร่วมมือกับหนานกงเยว่แล้ว

เป็นเช่นนี้ก็ดี จะได้กำจัดพวกมันไปพร้อมๆ กัน และเมื่อถึงเวลานั้น คงมีผู้อยู่เบื้องหลังคนอื่นโผล่หัวมาอีกแน่

สีหน้าของเฉินเฟิงเปลี่ยนไป “เซียวอ๋องกล้ารึ”

“เหตุใดเขาจะไม่กล้า”

“เราต้องนำเรื่องนี้ไปทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ เขาจะได้เตรียมตัวเอาไว้”

เฉียวเทียนช่างส่งตราประจำตัวของตนให้กับชิงเซวียน “เอาตราของข้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ส่งจดหมายนี้ให้กับพระองค์ พระองค์จะรู้เองว่ามันหมายความว่าอย่างไร”

“ขอรับ”

หลังจากชิงเซวียนออกไป เฉินเฟิงจึงเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำโหว่า “ท่านแม่ทัพ เราจะไม่ปล่อยพวกมันไปเด็ดขาด”