ด้วยเหตุนี้ ซูอวี้เสียงยังคิดหาวิธีที่จะให้เหยาเยี่ยนอวี่ที่ไปทางเขตตอนใต้รีบกลับมา สุดท้ายยังคิดวิธีอะไรไม่ทันออก ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานสมรสให้เหยาเยี่ยนอวี่และเว่ยจางแล้ว!
หากเป็นตระกูลซื่อจื่อ คุณชายคุณชายสามซูก็พอยอมรับได้ อย่างไรตนก็เป็นคนที่มีภรรยาแล้ว ซ้ำภรรยายังตั้งครรภ์ ในตอนนี้หากจะเอาน้องสาวของนางมาเป็นอนุภรรยาก็คงไม่ค่อยเหมาะสม
ทว่าเหตุใดคนๆ นั้นต้องเป็นเว่ยจางด้วย พี่ใหญ่ของเขามักจะเอาคนๆ นี้มาเปรียบเทียบกับตนเองแล้วยังด่าทอที่ตนเองไม่เอาถ่าน คุณชายสามซูได้ยินแค่นามของเขาก็รู้สึกโมโหมากแล้ว!
ความโมโหในใจของซูอวี้เสียงจะระงับอย่างไรก็ระงับไว้ไม่อยู่ บังเอิญมาเจอกับช่วงเวลาที่เหยาเฟิ่งเกอใกล้จะคลอดบุตรพอดี เขาจึงทำอะไรนางไม่ได้ ดังนั้นหลายวันมานี้เขาเลยลากตัวสาวใช้หน้าตางดงามเข้าไปในเรือนเงียบๆ เพื่อเสพสังวาส แม้กระทั่งชิวฮุ่ยและตงเหมย สาวใช้ในเรือนลู่ฮูหยินยังไม่ละเว้น
ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจ
ด้วยเหตุนี้ วันนี้ตอนกินมื้อเที่ยง เหยาเฟิ่งเกอแค่ถามขึ้นอย่างผิวเผินเพียงคำเดียวเท่านั้น เขากลับรู้สึกโมโหจนวางตะเกียบอย่างเต็มแรงแล้วจากไป
พอเดินออกจากประตูก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่ในจวนช่วงบ่าย ยังต้องออกไปดื่มสุรากับเหล่าคุณชายชั้นสูง จะสวมใส่เช่นนี้ออกไปได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงสั่งให้สาวใช้ไปเอาเสื้อผ้าของตนเองออกมาเดี๋ยวนี้ แล้วยังขู่สาวใช้ว่าหากนางชักช้าเขาจะถลกหนังนาง
สาวใช้ชั้นล่างคนนี้เดิมทีแค่ทำงานชั้นล่างในโรงครัว แน่นอนว่าต้องไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษหนักหรือเบาเพียงใด นางกลัวว่าจะถูกถลกหนัง นางเห็นว่าคำสั่งของคุณชายสามเป็นเหมือน ‘พระราชโองการ’ จึงวิ่งพุ่งเข้าไปในเรือนอย่างว่องไว นึกไม่ถึงว่านางกลับสร้างปัญหาใหญ่เช่นนี้
เหล่าสาวใช้และผัวจื่อในเรือนฉีเสียงส่งเหยาเฟิ่งเกอไปยังเรือนข้างตะวันตกแล้วเตรียมเตียงฟูกนุ่มไว้ และก็ได้มีคนไปรายงานเรื่องนี้ให้ลู่ฮูหยินและเฟิงฮูหยินน้อยแต่เนิ่นๆ แล้ว ลู่ฮูหยินพลันพาเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยมาที่เรือนฉีเสียงทันที
ซานหูที่กำลังยุ่งวุ่นวายก็เห็นสาวใช้ชั้นล่างที่คุกเข่าร้องไห้กับพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระถา
งและดินจึงอดตวาดไม่ได้ “ยังจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้อีก รอรับรางวัลอยู่หรือไร”
สาวใช้ชั้นล่างลุกขึ้นวิ่งออกไปรายงานคุณชายสามซูทันที
ซานหูเรียกให้คนเข้ามาเก็บกวาดเศษกระถางและดิน และยังมีดอกกล้วยไม้ที่เหยาเฟิ่งเกอโปรดปราน ลู่ฮูหยินพาเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยมาถึงแล้ว
“เมื่อคืนไม่ใช่ว่าหมอตำแยบอกว่ายังต้องรออีกสองสามวันถึงจะมีความคืบหน้าหรือ” เฟิงฮูหยินน้อยเห็นซานหูจึงเอ่ยถามไปโดยตรง
ซานหูร้อนใจจนน้ำตาไหลริน “สาวใช้ชั้นล่างหงจ่าวตาเซ่อแล้ววิ่งชนฮูหยินน้อยสาม ทำให้ฮูหยินน้อยสามเกือบหกล้ม ฉะนั้นเลยเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“ซุ่มซ่ามจริงๆ!” ซุนฮูหยินน้อยสบถหยาบ “ไม่ดูตาม้าตาเรือ! ยังดีที่ใกล้ถึงกำหนดคลอด ไม่เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”
ลู่ฮูหยินถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ถึงเวลานี้แล้วก็พูดน้อยๆ หน่อยเถอะ ไปถามอาการกับหมอตำแยก่อนว่าอันตรายหรือไม่”
ซุนฮูหยินน้อยพลันรับคำแล้วเดินไปด้านอก เฟิงฮูหยินน้อยรั้งนางไว้ “เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ก่อนเถอะข้าจะไปดูเอง”
ซุนฮูหยินน้อยคลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ลำบากพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว”
เฟิงฮูหยินน้อยเคยถูกเอารัดเอาเปรียบในเรื่องเช่นนี้ เหตุเพราะนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหยาเยี่ยนอวี่ วันนี้จึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเหยาเฟิ่งเกออย่างมาก นางเข้าไปในเรือนข้างตะวันตกทันที พอเดินผ่านฉากกั้นก็ไปถึงตรงหน้าเตียงนาง เห็นหน้าผากของเหยาเฟิ่งเกอเคล้าด้วยหยาดเหงื่อจึงโน้มตัวลงไปซับเหงื่อให้นางแล้วเอ่ยถาม “น้องสะใภ้สามรู้สึกเช่นไรบ้าง”
เหยาเฟิ่งเกอเห็นเฟิงฮูหยินน้อยจึงจับมือนางไว้ทันที “พี่สะใภ้! ข้าเจ็บจวนตายแล้ว! ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ!”
เฟิงฮูหยินน้อยเปรยอย่างจนใจ “ยัยซื่อบื้อ ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร! เจ้าต้องเข้มแข็งไว้! อย่าเพิ่งตื่นเต้น พยายามเก็บแรงไว้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะเฝ้าอยู่ด้านนอกเอง”
“พี่สะใภ้ใหญ่…เหยาเยี่ยนอวี่กลับมาแล้ว! วันนี้ถึงเมืองหลวงอวิ๋นแล้ว! ท่านส่งคนไปท่าเรือพอเจอนางแล้วก็รีบรับนางมา…นางมาถึงข้าถึงจะอุ่นใจ…”
“จริงหรือ” เฟิงฮูหยินน้อยได้ยินก็รู้สึกร่าเริงนัก “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะสั่งคนไปเดี๋ยวนี้ ต้องรับคุณหนูรองมาให้ได้! เจ้าเองก็เข้มแข็งไว้ เข้าใจหรือยัง”
เหยาเฟิ่งเกอจับมือเฟิงฮูหยินน้อยไว้แน่นๆ แล้วหายใจแรง “พี่สะใภ้ใหญ่…ข้าขอร้องเถอะ!”
เฟิงฮูหยินน้อยตอบแล้วเรียกสาวใช้เอกเฉินซินของตัวเองมาตรงหน้า “เร็วหน่อย รีบนั่งรถม้าไปที่ท่าเรือ คุณหนูรองเหยาขึ้นฝั่งแล้วก็รีบอธิบายให้นางรู้เรื่อง จากนั้นก็เชิญนางกลับมาทันที!”
เฉินซินรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กจึงไม่กล้าชักช้า รีบไปจัดการ
ซุนฮูหยินน้อยที่อยู่ตรงใต้ชายคาระเบียงได้ยินคำพูดของเฟิงฮูหยินน้อยจึงเอ่ยถามยิ้มๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ระมัดระวังเกินไปหรือเปล่า นี่ถึงเวลากำหนดคลอดของน้องสะใภ้สามแล้ว เป็นการคลอดบุตรปกติ คุณหนูรองเหยาเป็นสตรีที่ไม่ได้ออกเรือนแล้วจะทำคลอดให้คนอื่นได้อย่างไร”
เฟิงฮูหยินน้อยแย้มยิ้ม “ใครบอกว่าจะให้คุณหนูรองเหยามาทำคลอดเล่า เวลานี้น้องสะใภ้สามเฝ้าคำนึงถึงคนในตระกูลจึงวานข้าให้ส่งคนไปเร่ง มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ ตอนนั้นที่น้องสะใภ้รองคลอดเซวียนเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าก็มีคนในต้นตระกูลคอยอยู่เคียงข้างหรือ ครอบครัวของน้องสะใภ้สามยังไม่ได้เข้าเมือง เวลานี้บังเอิญถึงพอดี ไม่ควรไปเร่งพวกเขาหน่อยหรือไร”
เฟิงฮูหยินน้อยเป็นถึงฮูหยินซื่อจื่อ แม้นจะฉลาดหลักแหลมทว่าปกติก็ไม่ค่อยมากความ เหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดจาฉีกหน้ากับผู้อื่นมากเช่นนี้ ซุนฮูหยินน้อยจึงค่อนข้างรู้สึกอับอายเลยยิ้มเย้ยหยันแล้วพูดขึ้น “ข้าก็แค่ถามเท่านั้น เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงต้องโมโหด้วยเล่า”
เฟิงฮูหยินน้อยยิ้มจางๆ “ข้าก็ไม่ได้พูดอะไร น้องสะใภ้รองร้อนตัวเกินไปหรือเปล่า”
ซุนฮูหยินน้อยรู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย “พูดเช่นนี้ข้ามีอะไรต้องร้อนตัวด้วย อย่างไรสาวใช้ที่เดินชนน้องสะใภ้สามก็ไม่ใช่คนของข้าเสียหน่อย!”
“พอเถอะ!” ลู่ฮูหยินเดินออกจากในเรือนอย่างทนดูไม่ได้แล้วด่าทออย่างไม่พอใจ “นี่มันเวลาไหนแล้ว พวกเจ้าสองคนยังมาทะเลาะถกเถียงกันที่นี่อีก? ยังมีท่าทีที่ผู้อาวุโสพึงกระทำหรือไม่ ไม่คิดแม้แต่จะทำตามกฎระเบียบและมารยาทหน่อยเลยหรือ”
เฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยพลันก้มหน้าลงต่ำพลางยืนตัวตรงแล้วไม่ได้มากความอะไรอีก
ลู่ฮูหยินเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “เจ้าสามล่ะ”
ผัวจื่อที่อยู่ข้างๆ ตอบกลับ “คุณชายสามกินมื้อเที่ยงเสร็จก็ออกไปแล้วเจ้าค่ะ บอกว่ามีธุระเร่งด่วนเจ้าค่ะ”
“รีบส่งคนไปตามเขา!” ลู่ฮูหยินน้อยเอ่ยวาจาไม่เสนาะหู “เอาแต่ใช้ชีวิตเสเพลและไร้สาระไปวันๆ! ภรรยาของเขาคลอดบุตรแล้วเขายังไม่สนใจคนในครอบครัวอีก! มีแต่พวกที่ไม่ได้เรื่อง ทำแต่เรื่องที่ทำให้คนอื่นกังวลใจ!”
คำพูดนี้กล่าวถึงวงกว้างเกินไป เฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยก็ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
ทันทีที่เรือของสองพี่น้องตระกูลเหยาเทียบท่า พวกเขาต่างก็สะดุ้งตกใจกับขบวนม้าที่มารับพวกเขาบนฝั่ง หลี่จงพารถม้าคันใหญ่หลายคันรออยู่ทางโน้นแล้วมองไปด้านหลัง ก็เห็นเฝิงโหย่วฉุนพาข้ารับใช้ยืนอยู่หนึ่งแถว ด้านหลังยังมีรถม้าอีกหลายสิบคัน
“เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” ถังเซียวอี้ลงจากรถม้าก่อน นัยน์ตากวาดมองคนขับรถม้าและรถม้าที่จอดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังจากที่กวาดสายตามองเสร็จจึงอดถอนหายใจไม่ได้ “เฮ้อ! อย่างไรเมืองหลวงอวิ๋นก็ดีที่สุดแล้ว!”
เว่ยจางกลับไม่พูดไม่จา แค่สั่งคนของตัวเอง “เก็บข้าวของของตัวเองเสร็จแล้วก็ลงเรือ ไปรวมตัวกันที่ใต้ต้นหลิ่ว”
ตอนไปมีทหารติดตามยี่สิบนาย ตอนกลับกลับเพิ่มมาเป็นสี่สิบนาย แม้นเขาจะเลือกทหารมาไม่เยอะ ทว่าน้อยครั้งที่จะเจอทหารมากฝีมือเช่นนี้ สำหรับคนพวกนี้ เว่ยจางก็รู้สึกหวงแหนจากลึกๆ ในใจ
เหล่าข้ารับใช้ชายลงจากเรือ เหล่าสตรีถึงจะเริ่มทยอยกันออกมา
เฉินซินเห็นคุณหนูรองสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวเข้มกำลังลงจากเรือพร้อมสตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่งแต่ไกล ด้านหลังยังมีแม่นมคนหนึ่งอุ้มเด็กน้อยที่ดูน่าเกลียดน่าชังคนหนึ่งไว้ นางจึงรีบเข้าไปต้อนรับอย่างปิติยินดี