บทที่ 188.2 กฎระเบียบใหญ่กับเรื่องหยุมหยิม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 188.2 กฎระเบียบใหญ่กับเรื่องหยุมหยิม โดย ProjectZyphon

จากนั้นก็มาถึงแถบยอดเขาหวงฮวา (ดอกไม้สีเหลือง) พวกเฉินผิงอันเจอกับนักพรตกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังบัญชาการณ์ให้มัลละ *(ภาษาสันสกฤต หนึ่งหมายถึงชายผู้มีพละกำลัง สองหมายถึงเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังมาก)*โพกผ้าเหลืองร่างสูงสองจั้งหลายตนขุดดิน ย้ายหินยักษ์ เปิดทางบนภูเขา

เดิมทีการสร้างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลก็แทบจะหนีไม่พ้นนักพรตพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋า ยันต์แต่ละแผ่นในมือของพวกเขาพอร่วงลงพื้นก็กลายมาเป็นหุ่นเชิด สติปัญญาเปิดกว้าง สามารถรับฟังคำสั่งที่เรียบง่ายและตื้นเขินที่สุดบางส่วนได้ พวกมันจะทำตามคำสั่ง ไม่ต้องพักผ่อนนอนหลับ จนกว่าปราณวิญญาณจะหมดสิ้นถึงจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเถ้ากระดาษกองหนึ่ง

เว่ยป้อพาเฉินผิงอันไปที่ภูเขาอู๋ถง *(ต้นอู๋ถง)*รอบหนึ่ง ต่อให้แค่มองจากตีนเขาไกลๆ ก็ยังคงให้ความรู้สึกที่ใหญ่โตมโหฬารแก่คนมอง เพราะว่าภูเขาทั้งหมดของเทือกเขาเส้นนี้ล้วนถูกตัดให้ราบเรียบ รอจนงูดำพาพวกเขาเลื้อยขึ้นไปบนพื้นราบที่มีฝุ่นคละคลุ้งแล้วได้ยินคนแนะนำ ถึงได้รู้ว่าในอนาคตรัศมีสี่ห้าลี้รอบพื้นที่ราบแห่งนี้จะกลายมาเป็น ‘ท่าเรือ’ แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าท่าเรือของชาวบ้านล่างภูเขาเอาไว้จอดเรือที่แล่นมาตามน้ำ แต่ท่าเรือของนักพรตบนภูเขา ส่วนใหญ่จะเป็นการแล่นมาตามทะเล ทะเลเมฆ ส่วน ‘เรือใหญ่’ นั้นคือวัตถุแบบใด เว่ยป้อกลับเล่นแง่ไม่ยอมบอก

ผ่านภูเขาอู๋ถงมาได้ก็อยู่ห่างจากภูเขาเสินซิ่วไม่ไกลแล้ว ตรงกลางมีภูเขาเป่าลู่ที่เป็นของเฉินผิงอันกั้นขวาง และภูเขาหนิวเจี่ยว (เขาวัว) ที่นักพรตแคว้นหนันเจี้ยนคนหนึ่งซื้อเอาไว้ ภูเขาหนิวเจี่ยวไม่สูงมาก แต่ตัวภูเขาค่อนข้างหนาใหญ่ จากตีนเขาไปถึงยอดเขามีสิ่งปลูกสร้างหลายหลังสลับสล้างทอดยาว

เว่ยป้อกระโดดลงจากหลังงูดำ บอกให้พวกเฉินผิงอันลงมาด้วย จากนั้นก็สั่งความให้งูดำรออยู่ที่ตีนเขา ห้ามเลื้อยไปไหนมั่วซั่ว

ตรงตีนเขาแขวนป้ายสามตัวอักษรว่า ‘ผ้าห่อบุญ’ *(ภาษาจีนคือเปาฝูไจ คือการที่คนสายตาเฉียบแหลม แต่ไม่มีเงินเปิดร้านเป็นของตัวเองเอาผ้าสีฟ้าไปห่อสินค้าตามร้านขายของเก่าต่างๆ แล้วเอาของที่ว่านี้ไปขายต่อ จะเรียกปรากฎการณ์นี้ว่าผ้าห่อบุญ)*ที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับ

เว่ยป้อเป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินพลางพูดไปด้วย “สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งโรงรับจำนำ แล้วก็เป็นทั้งร้านขายของเก่า มีครบทุกความมหัศจรรย์ ไม่ว่าอะไรก็ขายได้ ไม่ว่าอะไรก็หาซื้อได้ ขอแค่ตกลงราคากันได้ มือหนึ่งส่งเงินมือหนึ่งส่งของ ผู้ก่อตั้งแรกเริ่มสุดคือผู้ฝึกตนอิสระยากจนคนหนึ่ง เขาได้แต่แบกห่อผ้าที่ใส่ของผุๆ พังๆ กองโตวิ่งวุ่นไปทั่วทิศ เดี๋ยวซื้อเดี๋ยวขาย ได้กำไรจากส่วนต่าง หลังจากกิจการรุ่งโรจน์ก็ถือโอกาสตั้งชื่อเป็นผ้าห่อบุญเสียเลย ภูเขาหนิวเจี่ยวคือหนึ่งในสาขาของร้านพวกเขา ของหายากที่ขายในหอเรือนแต่ละหลังมีหลากหลายชนิด ตอนนี้หอเรือนสร้างเสร็จไปพอสมควรแล้ว เพียงแต่ว่าสินค้ายังขนส่งมาได้แค่ส่วนน้อย น่าจะต้องรอให้ท่าเรือบนภูเขาอู๋ถงสร้างเสร็จเสียก่อนถึงจะขนส่งมาเป็นจำนวนมากได้”

ตลอดทั้งบนยันล่างภูเขาหนิวเจี่ยว ไม่ว่าจะเป็นคนคุมงานที่กุมอำนาจ หรือผู้ฝึกตนอิสระที่มาท่องเที่ยวเยี่ยมชมที่แห่งนี้ พอเห็นบุรุษชุดขาวผู้เป็นมหาเทพแห่งขุนเขาของต้าหลีท่านนี้ต่างก็แสดงความเคารพนอบน้อม เกรงใจจนแทบจะใกล้เคียงกับการประจบลดตนให้ต่ำต้อย ดังนั้นตลอดทางจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่น สตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ท่าทางสง่างามคนหนึ่งของร้านผ้าห่อบุญถึงขั้นเดินออกมานำทาง อธิบายถึงความล้ำค่าของหอเรือนที่เก็บสมบัติแต่ละหลังให้พวกเขาฟังโดยเฉพาะ

เฉินผิงอันเหมือนได้เปิดโลกกว้าง ใน ‘หอเรือนแถบหนึ่ง’ มีโถกวีนิพนธ์ที่พิเศษชนิดหนึ่ง สลักบทความคำเขียว (คำอวยพรที่คนลัทธิเต๋าเขียนรายงานแก่สวรรค์เมื่อจัดพิธีกินเจ โดยทั่วไปแล้วจะใช้หมึกสีแดงเขียนลงบนกระดาษที่ทำจากเปลือกเถาวัลย์เขียว) ตามตำราของลัทธิเต๋าเอาไว้ มีทั้งหมดเจ็ดใบ ใบที่สูงก็สูงประมาณครึ่งตัวคน ใบที่ต่ำหน่อยก็ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน ว่ากันว่าด้านในบรรจุน้ำพุเอาไว้ ล้วนเป็นน้ำพุที่เอามาจากบ่อน้ำพุใหญ่ที่มีชื่อเสียงร้อยแห่งในใต้หล้า น้ำพุใสกระจ่างดุจหยก ไหลรินดุจสายรุ้ง เหมาะสมกับการนำมาต้มชารับรองแขกมากที่สุด

“คนเราไม่กินข้าวหนึ่งวันได้ แต่ไม่อาจขาดน้ำได้ถึงหนึ่งวัน น้ำคือแก่นของอาหาร ดังนั้นคำว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามที่พูดกัน การดื่มน้ำจึงเป็นเรื่องแรก”

“ร้านผ้าห่อบุญของพวกเรามีนักพรตคอยไปชั่งน้ำหนักน้ำพุของแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะ จะใช้โต่ว (เครื่องตวงข้าวของจีน เป็นรูปสี่เหลี่ยม บางครั้งเป็นรูปกลอม ส่วนมากจะทำด้วยแผ่นไม้หรือแผ่นไม้ไผ่) สี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ทำจากเงินกับตาชั่งขนาดเล็กอันหนึ่งมาใช้ชั่งน้ำหนัก น้ำพุต้องมีครบทั้งสามอย่างคือเบา สะอาดและหวาน ถึงจะเก็บเอามาไว้ในโถคำเขียวเหล่านี้ได้ ไม่กล้าพูดว่าเป็นน้ำทิพย์เลิศรส แต่ก็รับรองได้ว่าเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ น้ำพุทุกจินล้วนไม่ไหลผ่านโลกมนุษย์”

แม้ว่าสตรีที่เป็นสาวสะพรั่งคนนี้จะไม่มีรูปโฉมงามล้ำ แต่เสียงพูดกลับนุ่มนวล ประหนึ่งเสียงน้ำพุไหลริน ไพเราะชวนฟัง

ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะข้ามธรณีประตูเข้ามาใน ‘หอตระการตา’ ก็เห็นฉากกันลมที่เป็นม้วนภาพวาดสูงเท่าตัวคนแถบหนึ่ง ด้านบนวาดโฉมสะคราญสิบสองคน ทุกคนล้วนเป็นหญิงงามที่เลือกมาจากหนึ่งทวีปหรือไม่ก็จากหนึ่งแคว้น เป็นฝีมือการวาดของจิตกรเอกตันชิง ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นก็คือสาวงามเหล่านี้ต่างก็มีชีวิตชีวาเสมือนจริง บ้างก็ก้มหน้าดีดพิณ ชายแขนเสื้อพลิ้วไหวดุจน้ำไหลริน บ้างก็เท้าแก้มมองจ้องมา บ้างก็ถือพัดไล่จับผีเสื้อ ท่วงท่าเย้ายวนชวนให้คนหวั่นไหว

ทอดสายตามองไปเห็นแต่ความงดงามอันมีเอกลักษณ์แตกต่างเฉพาะตัว สวยเกินคำบรรยาย

และยังมีฉากกันลมที่เป็นสภาพอากาศยี่สิบช่วง หากเป็นช่วงแมลงตื่นจากการจำศีลก็จะเป็นภาพของสายฟ้าแลบปลาบ ช่วงเชงเม้งมีฝนปรอยบางๆ ช่วงจงชิวเป็นจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่กลางนภา ส่องแสงพิสุทธิ์กระจ่างตา

ความคิดอันอัศจรรย์หลากหลายทำให้คนมองอดตบโต๊ะร้องชื่นชมไม่ได้

เพราะมีเว่ยป้ออยู่ด้วย สตรีวัยสาวเต็มตัวจึงพาพวกเฉินผิงอันไปดูสวนวิเศษอันเป็นสถานที่ส่วนตัว ตอนนั้นยังมีนักพรตสำนักเกษตรบ้างหอบบ้างถือดอกไม้ใบหญ้าแปลกตาหลากหลายวุ่นอยู่ในแปลงดิน จัดทำสวนพืชวิเศษประเภทนี้ นอกจากจะสามารถขายดอกไม้ใบหญ้าที่มีชื่อเสียงราคาแพงได้แล้ว ยังสามารถกักเก็บโชคชะตาของแม่น้ำและภูเขาไว้ได้ ขณะเดียวกันก็สวยงามน่ามอง ดังนั้นจึงเป็นที่โปรดปรานของตระกูลเซียนมาโดยตลอด

ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้แล้ว เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามีเงินอย่างแท้จริง

เอ่ยขอบคุณและบอกลาสตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวที่ไม่บอกชื่อแซ่ของตน ลงจากเขาเดินออกจากซุ้มประตูหิน เว่ยป้อก็บอกให้เฉินผิงอันหันไปมองทางภูเขาหนิวเจี่ยว แล้วยื่นมือมาดีดนิ้วตรงหน้าเขาพลางพูดยิ้มๆ “ลองมองใหม่สิ มีอะไรต่างไปจากเดิม”

เฉินผิงอันเพ่งสายตามองไปก็ค้นพบว่าตลอดทั้งภูเขาหนิวเจี่ยวถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางไอหมอกสีเขียวอมเทาชั้นหนึ่ง บางครั้งก็มีสายฟ้าสีขาวจ้าเปล่งวูบวาบ

เว่ยป้อจึงพูดอธิบาย “นี่ก็คือค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่เขาเรียกกัน ค่ายกลนี้ของภูเขาหนิวเจี่ยวมาจาก ‘เมฆหมอกแห่งฝันละล่องเหนือหนองน้ำ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพค่ายกลที่มีชื่อเสียง เดิมทีเป็นภาพวาดภูเขาและแม่น้ำของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่ง ภายหลังถูกคนนำมาอนุมานและปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ สุดท้ายจึงกลายเป็นภาพค่ายกลภาพหนึ่ง นอกจากจะมีประโยชน์ในการปกป้องภูเขา ต้านทานและโจมตีศัตรูแล้ว ยังมีมีประสิทธิภาพในการจัดวางหินฮวงจุ้ย ป้องกันไออัปมงคลและสิ่งชั่วร้าย เปลี่ยนลมปราณขุ่นมัวให้ใสสะอาด”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ร้ายกาจจริงๆ”

เว่ยป้อพูดยิ้มๆ “รู้สึกว่าตัวเองยากจนขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้รู้สึกว่าจน แต่รู้สึกว่าไม่รวยสักเท่าไหร่”

เว่ยป้อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คนทั้งกลุ่มกลับขึ้นไปบนหลังงูดำ มุ่งหน้าไปยังภูเขาเสินซิ่วอีกครั้ง

เว่ยป้อบอกกับเฉินผิงอันว่า การแลกเปลี่ยนบนภูเขาใช่ว่าจะไม่มีการใช้เงินทองที่แท้จริง แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นแค่การบอกจำนวนตัวเลขเท่านั้น เพราะหากทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีวัตถุฟางชุ่นหรือวัตถุจื่อชื่อ *(วัตถุฟางชุ่นคือวัตถุชิ้นเล็กที่เก็บของได้มาก วัตถุจื่อชื่อมีหลักการใช้เหมือนกันแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าวัตถุฟางชุ่น)*ก็ยุ่งยากเกินไป ถ้าสมบัติอาคมชิ้นนี้มีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึงทอง จะทำอย่างไร? และถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินขาวก็ยิ่งหนักกว่าเดิม ดังนั้นการซื้อขายของสำนักใหญ่บนภูเขาจึงต้องมี ‘เงิน’ ให้ใช้โดยเฉพาะ

เพียงไม่นานพวกเขาก็สามารถมองเห็นภูเขาเสินซิ่วในระยะประชิด

ภูเขาเสินซิ่วสูงอย่างยิ่ง

หากไม่เป็นเพราะยังมีภูเขาพีอวิ๋นอยู่ ภูเขาลูกนี้ก็คงเป็นภูเขาที่สูงตระหง่านงดงามมากที่สุด มากพอจะสยบหมู่ภูเขาที่รายล้อมได้

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “แม่นางหร่วนอยู่บนภูเขาหรือไม่?”

เว่ยป้อส่ายหน้า “ไม่อยู่”

ภูเขาเสินซิ่วมีหน้าผาแคบชันอยู่แถบหนึ่ง ตรงตำแหน่งที่ถูกบดบังด้วยทะเลหมอกสลักตัวอักษรใหญ่สี่คำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’

เว้นจากบังคับลมทะยานกลางอากาศ ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณเงยหน้ามอง เกรงว่าก็คงไม่อาจมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมันได้

เพราะตอนนั้นอาจารย์หร่วนได้ตั้งกฎไว้ว่า หากอยู่ในขอบเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียน ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดก็ห้ามบินกลางอากาศโดยพลการ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกลมปราณที่อยู่รอบๆ ต้าหลีเจอปัญหากันเยอะมาก หากจะบอกว่าความคับแค้นใจระบือไปทั่วก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด

ตอนนั้นทางทิศเหนือห่างไกลไปจากแจกันสมบัติทวีปมีผู้ฝึกกระบี่พากันมุ่งลงใต้อย่างยิ่งใหญ่ ตอนที่บินผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองเล็กก็ยังลดระดับความสูงลงเพื่อแสดงความเป็นมิตร

นอกจากจะแสดงถึงการยอมรับในตัวของช่างหลอมกระบี่หร่วนฉงแล้ว ที่มากกว่านั้นคือเคารพสองคำในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ คำว่ากฎระเบียบ

นี่เป็นการเพิ่มพลานุภาพที่มองไม่เห็นให้กับหร่วนฉงอีกชั้นหนึ่ง ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่มากมายที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัวกลุ่มนั้น มีเซียนกระบี่พสุธาไม่ใช่แค่หนึ่งท่าน แล้วก็ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งฐานะของหร่วนฉงในราชสำนักต้าหลีถึงได้เป็นดั่งเรือลอยสูงเมื่อน้ำขึ้น ความเห็นต่างที่เดิมทีไม่ดังพออยู่แล้วก็หายวับไปอย่างสิ้นเชิง

ในใต้หล้าแห่งนี้ หากบำเพ็ญตนจนกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาได้สำเร็จ แน่นอนว่าสามารถมีชีวิตได้อย่างอิสระเสรี ไม่จำเป็นต้องเคารพมารยาทพิธีการมากมายบนโลกใบนี้

แต่อย่าลืมว่ายังมีสถาบันศึกษาใหญ่สามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อ รวมไปถึงหอพิทักษ์เมืองใหญ่มโหฬารอีกเก้าแห่ง

มารปีศาจแห่งทะเลและขุนเขา เซียนกระบี่ ไม่มีอะไรที่หอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งสยบไม่ได้

กฎที่หร่วนฉงตั้งขึ้นมาเอง ต่อให้เขาจะมาจากศาลลมหิมะ ไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ แต่ขอแค่เป็นกฎระเบียบที่สอดคล้องกับกฎใหญ่ เหมาะสมกับหลักธรรมแห่งมหามรรคาของลัทธิขงจื๊อ ถ้าเช่นนั้นด้วยพลังการปกครองของลัทธิขงจื๊อก็จะกลับกลายมาช่วยส่งเสริมหร่วนฉง สุดท้ายช่วยให้กฎระเบียบเล็กๆ ของหร่วนฉงกลายมาเป็นพลานุภาพสยบที่ไม่ต้องบรรยายเป็นคำพูด ทั้งสองฝ่ายต่างเกื้อหนุนกัน สุดท้ายต่างคนก็ต่างได้รับผลประโยชน์

นี่ก็คือกฎระเบียบใหญ่แห่งฟ้าดินที่หลี่เซิ่งเป็นผู้ตั้งไว้ด้วยตัวเอง

มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ แต่กลับมีอยู่ทุกหนแห่ง

เว่ยป้อไม่ได้เดินขึ้นเขา แต่ให้งูดำย้อนกลับไปทางเดิม เขาที่นั่งขัดสมาธิทอดถอนใจกล่าวว่า “ก็เหมือนกับที่นี่ ไม่ว่าจะอยู่บนดินแดนของราชวงศ์ใดก็ตาม จวนตระกูลเซียน สำนักพรรคต่างๆ ที่เมื่อมาอยู่บนภูเขาก็เป็นเจ้าขุนเขา อยู่ในน้ำก็เป็นราชามังกร กษัตริย์บางคนมองมันเป็นแนวป้องกันของราชวงศ์ ฮ่องเต้บางคนก็คิดในใจว่ากองกำลังที่แบ่งแยกดินแดนซึ่งฟังคำสั่งแต่ไม่ปฏิบัติตามนั้น อ๋องต่างแซ่ หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพียงแต่ติดอยู่ที่กองกำลังบนภูเขามีมาก จึงจำต้องแสร้งประณีประนอม ทว่าเมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว การที่ทั้งบนและล่างภูเขาสามารถรักษาสภาพสงบสุขไว้ได้ก็ล้วนเป็นคุณความชอบของหลี่เซิ่งผู้นั้น”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างกายเว่ยป้อ เอ่ยเบาๆ “เรื่องพวกนี้ห่างไกลกับข้าเกินไป”

เว่ยป้อยิ้ม “จะบอกว่าไกลก็ไกล บอกว่าใกล้ก็ใกล้”

เฉินผิงอันหันกลับไปมองภูเขาเสินซิ่ว พูดพึมพำ “แบบนี้เองหรือ”

……

ตรอกหนีผิง เด็กสาวชุดเขียวคนหนึ่งยืนอยู่นอกบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน เห็นภาพประตูบ้านที่ปิดสนิท นางก็มองประเมินกลอนปีใหม่และภาพเทพทวารบาลสองสามครั้งแล้วเตรียมจะหมุนกายกลับบ้านตัวเอง

ทว่ากลับมีสตรีแต่งงานแล้วสามคนเดินเร็วๆ ตรงมา ข้างกายยังลากเด็กอายุสิบกว่าขวบมาด้วยสองคน พอพวกนางเห็นเด็กสาวก็ถามยิ้มๆ “แม่นางซิ่วซิ่วก็มาด้วยหรือ”

หร่วนซิ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ให้ความสนใจ แต่ลึกๆ ในใจนางรู้สึกรำคาญไม่น้อย

เหล่าหญิงชาวบ้านไม่ถือสา แม้พวกนางจะไม่รู้ว่าช่างหร่วนที่ร้านตีเหล็กซึ่งเป็นบิดาของเด็กสาวคือเทพเซียนจากฝ่ายไหน แต่ก็พอจะรู้ถึงความร้ายกาจของช่างหร่วนอยู่บ้าง ข่าวลือเล็กๆ ที่ลึกลับบางส่วนอย่างเช่นท่านนายอำเภอยังต้องนั่งในระดับเดียวกับชายฉกรรจ์คนนั้น ใช่ว่าพวกนางจะไม่เชื่อ แต่ก็ยอมเชื่อแค่ครึ่งเดียว

เพียงแต่ว่าไปที่ร้านทั้งสองในตรอกฉีหลงหลายครั้ง ได้รู้จักกับเด็กสาวมากขึ้น จากความกระวนกระวายเมื่อแรกเริ่มก็เปลี่ยนมาเป็นความสบายใจ ไม่ได้รู้สึกว่านางมีนิสัยร้ายกาจของคุณหนู ก็แค่ไม่ชอบยิ้มเท่านั้น

หร่วนซิ่วอยากจะอดทนไม่พูดอะไรเหมือนเวลาปกติ แต่วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็อดไม่ไหว จึงมองพวกนางแล้วพูดเสียงเย็น “พวกเจ้าไปเอาของที่ร้านมาโดยไม่จ่ายเงินก็ช่างเถอะ ข้าจะไม่บอกเฉินผิงอันก็ได้ และจะช่วยพวกเจ้าคิดไว้ในบัญชีของข้าเอง แต่ทำไมพวกเจ้าถึงยังมาก่อเรื่องที่บ้านเฉินผิงอันอีก?”

“โธ่เอ้ย แม่นางซิ่วซิ่วของข้า เจ้าไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเรากับเสี่ยวผิงอัน หญิงแต่งงานแล้วอย่างพวกเรา ตอนยังสาวสนิทกับแม่ของเขานักล่ะ ดังนั้นหลังจากที่พ่อแม่ของเสี่ยวผิงอันจากไป ไม่พูดเรื่องอื่น เอาแค่พิธีฝังศพสองครั้ง พวกเรามีใครบ้างที่ไม่ออกเงิน ออกแรงช่วยเหลือ? ภายหลังเสี่ยวผิงอันอยู่ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว หากไม่ใช่เพื่อนบ้านที่มีน้ำใจอย่างพวกเราคอยช่วยเหลือ เด็กตัวโตแค่นั้นคงหิวตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังกลายเป็นคนร่ำคนรวยอย่างทุกวันนี้ได้อีก…”

“นั่นสิๆ เสี่ยวผิงอันเจอข้ายังต้องเรียกว่าอาซ้อสองเลยนะ ปีนั้นเขามาขอข้าวที่บ้านข้า เนื้อชิ้นโตปลาชิ้นใหญ่ ข้าตัดใจกินไม่ลง ตัดใจให้ลูกข้ากินไม่ลง ล้วนคีบใส่ถ้วยเสี่ยวผิงอันไปหมด บุญคุณนี้ไม่มีค่ามากพอ แต่วันนี้เสี่ยวผิงอันรวยแล้ว ไม่เพียงแต่มีร้านค้าใหญ่ตั้งสองร้าน ได้ยินว่ายังมีภูเขาอีกหลายลูก ข้ามแม่น้ำไปแล้วก็ไม่ควรรื้อสะพานกระมัง? จะไม่นึกถึงความดีของป้าๆ น้าๆ อย่างพวกเราบ้างเลยหรือ? แบบนั้นต้องใจดำขนาดไหนกัน…”

“แม่นางซิ่วซิ่ว พวกเรารู้ว่าเจ้าเป็นคนตระกูลใหญ่ พวกเราเองก็เกรงใจเจ้ามาโดยตลอด เจ้าคงปฏิเสธไม่ได้หรอกกระมัง? แต่แม่นางซิ่วซิ่ว เจ้าไม่รู้ถึงความลำบากของคนยากจนอย่างพวกเราจริงๆ ลูกต้องเรียนหนังสือ งานที่เตาเผามังกรกลับหยุดชะงัก พวกเราลำบากยิ่งนัก อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้จะมาขอเงินหลายพันหลายหมื่นตำลึงจากเสี่ยวผิงอันสักหน่อย นี่ก็วันปีใหม่ไม่ใช่หรือ ขอเงินยาสุ้ยไม่กี่สิบตำลึงให้พวกเด็กๆ จากเสี่ยวผิงอันที่เป็นพี่ชาย แม่นางซิ่วซิ่ว เจ้าลองถามใจตัวเองดู ไม่มีอะไรเกินกว่าเหตุไม่ใช่หรือ?”

 หร่วนซิ่วตอกกลับไปตรงๆ สีหน้าเย็นชา “ข้ารู้สึกว่าเกินกว่าเหตุอย่างมาก”

บรรยากาศในตรอกเล็กเปลี่ยนมาเป็นกระอักกระอ่วนทันควัน

สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งตบขาตัวเองฉาดใหญ่ “แม่นางซิ่วซิ่ว จะพูดแบบนี้ไม่ถูก คราวก่อนหลังจากที่เสี่ยวผิงอันไปจากเมืองเล็ก แม่นางซิ่วซิ่ววานให้คนเอาของขวัญขอบคุณมามอบให้พวกเรา พวกเราก็ขอพูดกันตรงๆ ใช่ เรารับของไปก็จริง แต่ของเล่นพวกนั้นแลกเงินมาไม่ได้นี่นา คนยากจนไม่มีเงินซื้อข้าว เปิดฝาหม้อก็ไม่มีข้าวให้กิน จะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ก็ช่างเถอะ แต่เด็กๆ ยังเล็กแค่นี้ แม่นางซิ่วซิ่ว เจ้าดูสิ แขนข้างนี้ของลูกชายข้าไม่ได้ดีไปกว่าเสี่ยวผิงอันในอดีตเลย เจ้าจะทนมองได้อย่างไร?”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับสีหน้านิ่งตึง “ข้าทนมองได้”

เหล่าสตรีแต่งงานแล้วพากันอึ้งงันเป็นไก่ไม้

แต่แล้วสตรีคนหนึ่งคืนสติ พูดเสียงเบา “พวกเราอย่าไปพูดกับนาง ไปหาเฉินผิงอันกันเถอะ หากเขากล้าทำตัวขี้เหนียว พวกเราก็จะประณามเขา ดูสิว่าเขายังจะต้องการชื่อเสียงอยู่อีกไหม”

สตรีแต่งงานแล้วสองคนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย วิธีนี้ต้องได้ผลแน่นอน คนผู้หนึ่งกดเสียงหัวเราะแผ่วต่ำหน้าบานเป็นกระด้ง “เฉินผิงอันกลัวคนอื่นพูดถึงพ่อแม่เขาในทางที่ไม่ดีมากที่สุด วิธีนี้ได้ผลที่สุด”

“ไสหัวไป!”

หร่วนซิ่วชี้นิ้วไปทางปลายฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิง กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่อย่างนั้นข้าจะตีพวกเจ้าให้ตาย”

—————————-