บทที่ 189.1 คุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องกระบี่นอกเรือนเหมิ่งจื่อ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 189.1 คุยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องกระบี่นอกเรือนเหมิ่งจื่อ โดย ProjectZyphon

น้ำเสียงแก่ชราดังมาจากด้านหลังของหร่วนซิ่ว “จะตีพวกนางตายไปทำไม ไม่รังเกียจว่ามือจะสกปรกรึ?”

เหล่าสตรีแต่งงานแล้วที่เพิ่งเคยเห็นแม่นางซิ่วซิ่วโมโหเป็นครั้งแรกก็ตกใจไม่น้อย แต่พอพวกนางมองเห็นโฉมหน้าของผู้เฒ่าคนนั้นก็พากันถอนหายใจโล่งอก จะอย่างไรซะก็เป็นใบหน้าของคนที่ชาวบ้านในเมืองเล็กคุ้นเคยเป็นอย่างดี หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวคนรวยหรือคนจนก็ต้องเคยไปมาหาสู่ หรือไม่ก็เคยพูดคุยกับผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางมาก่อน เพราะต่อให้พญายมราชจะมารับตัวคน ก็ต้องถามเหล่าแพทย์ในร้านยาตระกูลหยางก่อนว่ายินยอมหรือไม่ เพียงแต่ว่าเก็บเงินแพงไปหน่อย คนจึงไม่ค่อยชอบนัก

หร่วนซิ่วหันไปมองผู้เฒ่า ไม่ได้พูดอะไร

หยางเหล่าโถวสูบยาคำใหญ่ มองพวกสตรีปากยื่นปากยาวที่อาจไม่ถึงขั้นใจดำอำมหิต แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจเมตตาก็ยังห่างไกลนัก ตอนยังเล็กเฉินผิงอันมีชีวิตยากลำบาก ขาดทั้งพ่อและแม่ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เพื่อนบ้านที่ยื่นมือมาช่วยเหลือมีไม่น้อยจริงๆ เพราะอย่างไรซะพ่อแม่ของเฉินผิงอันก็เป็นคนดี ใจคนก็เป็นแค่เนื้อก้อนหนึ่ง อย่างมารดากู้ช่าน และพวกผู้เฒ่าอีกหลายคนที่ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วต่างก็มักจะพาเด็กชายไปกินข้าวที่บ้านตัวเองบ่อยๆ หากเป็นช่วงอากาศหนาวเหน็บก็มักจะเอาเสื้อผ้าเก่าๆ มาให้ แม้จะต้องปะชุนเพิ่ม แต่ดีๆ ชั่วๆ ก็ช่วยต่อชีวิตให้เด็กชายมาได้

เพียงแต่จุดที่ทำให้คนหวนกลับมานึกถึงเรื่องราวต่างๆ ก็อยู่ตรงนี้ ให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจไปแล้ว หลังจบเรื่องก็ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบแทน เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มได้ดิบได้ดีก็รู้สึกยินดีด้วยจากใจจริง จึงเอาไปเล่าให้เด็กรุ่นหลังของครอบครัวตัวเองฟังว่าคนดีต้องได้ดี บอกว่าเห็นไหม สวรรค์ลืมตาแล้ว วันนี้บุตรชายของสองสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นถึงได้รับโชควาสนาตอบแทน

และนี่ก็ทำให้พวกเขามีความคาดหวังต่อชีวิตมากขึ้น คิดอยากให้วันหน้าตระกูลตัวเองโชคดีแบบนี้บ้าง

กลับเป็นพวกคนที่ตอนนั้นไม่ได้ช่วยออกเงินหรือออกแรงที่พูดจาแดกดันไม่หยุดปาก หลังจากที่เด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงเกิดร่ำรวยเป็นเศรษฐี ก็พยายามเรียกร้องเป็นสิงโตอ้าปากสวาปามอย่างสุดชีวิต แต่ละคนยกตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยเหลือคนยาก ยกตัวอย่างเช่นสามคนตรงหน้านี้ที่มักจะไปกินไปหยิบของในร้านตรอกฉีหลงมาโดยไม่จ่ายเงินเป็นประจำ แถมยังพาคนที่บ้านไปด้วย เด็กสาวหร่วนซิ่วอดทนข่มกลั้น ด้วยไม่อยากให้เฉินผิงอันถูกคนเอาไปนินทาลับหลัง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้บัญชีของร้านเกิดข้อผิดพลาดจึงได้แต่เอาเงินของตัวเองเติมเข้าไปในช่องโหว่ จำนวนนั้นไม่ถือว่ามาก นับรวมตลอดทั้งปีก็ประมาณสี่ห้าร้อยตำลึงเงิน

ทว่าหากเอาเงินก้อนนี้มาใช้กับคนระดับชาวบ้านที่มีชีวิตยากจนข้นแค้น ปีๆ หนึ่งได้จับเศษเงินแค่ไม่กี่ก้อนอย่างคนในตรอกหนีผิงหรือตรอกซิ่งฮวา ก็เรียกว่าไม่น้อยเลยจริงๆ

หยางเหล่าโถวมองไปยังสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่ไม่ได้พาลูกมาด้วยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไปบอกกับบุรุษของเจ้าที่ทำงานในที่ว่าการอำเภอว่า ถ้าเขายังกล้าเอาคนไปนินทาลับหลังอีกแม้แต่คำเดียว คนกระทำ สวรรค์กำลังมอง เรื่องชั่วช้าที่ชอบทำบ่อยๆ ควรหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร ระวังวันหน้ามีลูกชาย ลูกชายจะไม่พกความเป็นชายมาไว้สืบสกุล ถึงเวลาเกิดหายนะขึ้นมา ใครก็ช่วยไม่ได้”

สตรีผู้นั้นรีบพูดเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง “หยางเหล่าโถว ท่านพูดอะไรน่ะ? ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“ไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ”

ผู้เฒ่าพ่นควันสีเทาลอยคลุ้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดประโยคที่พวกเจ้าฟังเข้าใจก็แล้วกัน วันหน้าไปซื้อยาที่ร้าน คิดเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่าตัว หากเป็นโรคร้ายแรงถึงตาย หมอที่ร้านตระกูลหยางจะไม่ไปที่บ้านพวกเจ้าสามคน พวกเจ้าก็เตรียมโลงรอไว้ได้เลย”

เหล่าสตรีแต่งงานแล้วตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด

หยางเหล่าโถวปรายตามองเด็กชายผู้มีหน้าตาเกลี้ยงเกลาใสซื่อ ฐานกระดูกแข็งแรงที่ยืนอยู่ด้านหลังมารดาของเขาด้วยท่าทางขลาดกลัว แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “น่าเสียดาย ให้เงินแม่เจ้าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน นางก็ตัดขาดเส้นทางแห่งความเป็นอมตะของเจ้าทันที วันหน้าเจ้าไม่อาจหยัดยืนอยู่ในภูเขาทางทิศตะวันตกนี้ได้แล้ว ยามที่จากบ้านเกิดไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก จงนึกถึงประโยคที่ข้าพูดในวันนี้ให้มาก”

ผู้เฒ่าพูดจบก็เดินจากไปทันที “แม่นางซิ่วซิ่ว หากหลังจากนี้พวกนางยังไม่ยอมไสหัวไปอีก เจ้าก็ตีพวกนางให้ตายจริงๆ ได้เลย เพราะถือว่าสมเหตุสมผลสอดคล้องกับกฎเกณฑ์แล้ว ไม่ว่าใครก็หาข้อตำหนิเจ้าไม่ได้ พอพวกนางตายแล้วก็ไม่ต้องเก็บศพ แค่โยนออกไปนอกตรอกหนีผิงก็พอ หากรู้สึกว่ามือสกปรกก็ไปล้างมือที่ลำคลองหลงซวี”

ก่อนหน้านี้หร่วนซิ่วก็มีความรู้สึกที่ไม่เลวต่อหยางเหล่าโถว แต่ก็ไม่เรียกว่าดีอะไรนัก เพราะนางรู้สึกว่าเหมือนมีเมฆหมอกบดบังทำให้มองแก่นแท้ของอีกฝ่ายไม่ออก ดังนั้นจึงรู้สึกกริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความรู้สึกดีกลับเพิ่มทบทวี จึงยิ้มตอบ “ครั้งหน้าข้ากับเฉินผิงอันจะไปสวัสดีปีใหม่ที่ร้าน”

หยางเหล่าโถวอืมรับพลางพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ ผู้เฒ่าเดินอยู่ในตรอก ผ่านบ้านเก่าโทรมหลังแล้วหลังเล่า บ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหมือนบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาที่ทรุดโทรมไม่มีคนอยู่อาศัย แต่บ้านที่สุดท้ายแล้วเป็นดั่งไม้เหี่ยวแห้งได้เจอฤดูใบไม้ผลิอย่างบ้านตระกูลเฉากลับมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วลูกหลานในตระกูลจะกระจัดกระจายกันไป ควันธูปขาดสาย แต่ละตระกูลนึกจะล่มจมก็ล่มจมไปเลย

พอผู้เฒ่านึกถึงภรรยาปากร้ายแสบสันต์ของหลี่เอ้อร์ แล้วหันมาเห็นแม่นางน้อยที่รู้มารยาทเข้าใจเหตุผลแบบหร่วนซิ่ว อารมณ์ก็ให้ซับซ้อน ทั้งดีและเลวปะปนกัน

ในเมืองเล็กแห่งนี้เกรงว่าคงมีสตรีโง่ไร้ไหวพริบผู้นั้นคนเดียวที่มีความสามารถ และมีความกล้ามากพอจะเถียงผู้เฒ่าฉอดๆ ที่สำคัญคือผู้เฒ่ายังด่าสู้นางไม่ได้

มีครั้งหนึ่งผู้เฒ่าถูกนางที่มายืนดักอยู่หน้าประตูด่าซะไม่เหลือชิ้นดี เพราะทนไม่ไหวจริงๆ จึงบอกให้หลี่เอ้อร์จัดการกับภรรยาตัวเองที่ปากคอเราะร้ายเสียบ้าง ผลคือหลี่เอ้อร์เงียบไปนานกว่าจะตอบด้วยประโยคระยำที่ทำให้ไฟโทสะของหยางเหล่าโถวพุ่งสูงสามจั้ง ‘อาจารย์ หากท่านโกรธจริงๆ ก็ตีข้าเถอะ แต่อย่าตีโดนหน้านะ ไม่อย่างนั้นพอข้ากลับไปบ้านแล้วเมียเห็นเข้า นางต้องกลับมาด่าท่านอีกแน่ๆ’

หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่บุตรสาวของหลี่เอ้อร์ หยางเหล่าโถวก็อยากจะตบให้สตรีผู้นั้นเละเป็นเนื้อบดด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ

สตรีแต่งงานแล้วสามคนที่ยืนในตรอกไม่กล้าอยู่ต่ออีก มาอย่างฮึกเหิม กลับอย่างห่อเหี่ยว ตอนออกจากตรอกยังหันมาทะเลาะกันเอง ต่างฝ่ายต่างโทษอีกฝ่าย สบถด่าทอ ผลักๆ ดันๆ กันเอง

ตอนที่มารดาแผดเสียงด่ากับคนอื่น เด็กคนที่หยางเหล่าโถวพูดด้วยมีสีหน้านิ่งสนิทตลอดเวลา เด็กชายหันกลับไปมองในตรอกแคบลึกด้วยความรู้สึกวูบโหวงในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ เหมือนว่าได้สูญเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญมากไป จะให้ยกตัวอย่างก็คงเหมือนสตรีทำอาหารแต่ลืมใส่เกลือ คนตัดต้นไม้ขึ้นภูเขาแต่ลืมเอามีดผ่าฟืนไป

หลังจากสตรีกลุ่มนั้นเผ่นแนบไปแล้ว หร่วนซิ่วก็ค้นพบว่าเทพทวารบาลสีสันสดใสสององค์หน้าประตูบ้านเฉินผิงอันสูญเสียปราณวิญญาณที่แท้จริงไป

นี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก เพราะต่อให้จะเป็นเทพทวารบาลกระดาษธรรมดาซึ่งซื้อมาจากตลาด ขอแค่เทพทวารบาลที่ถูกวาดยังไม่หายไปจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา ร่างทองคำยังอยู่ ควันธูปยังอยู่ ก็จะต้องมีปราณวิญญาณส่วนหนึ่งซุกซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณอันน้อยนิดนี้จะถูกลมฝนพัดพาหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจต้านทานความชั่วร้ายไออัปมงคลได้นานนัก ดังนั้นการที่ทุกๆ ปีใหม่ต้องมีการเปลี่ยนภาพเทพทวารบาล เหตุผลจึงไม่ได้เรียบง่ายแค่เพราะต้องการเพิ่มความเป็นมงคลในวันปีใหม่อย่างเดียวเท่านั้น

แต่ภาพวาดของปราชญ์บุ๋นบู๊สององค์ที่หร่วนซิ่วเห็นอยู่ตอนนี้คือภาพผู้สร้างสกุลหยวนและเฉา สองสกุลใหญ่อันเป็นเสาเอกของราชวงศ์ต้าหลี ปัจจุบันทั้งสองตระกูลต่างเจริญรุ่งเรือง ควันธูปลอยขโมงไม่ขาดสาย ตามหลักแล้วเพิ่งจะเอาภาพมาติด ปราณวิญญาณก็ไม่ควรหายไปเร็วขนาดนี้ หร่วนซิ่วขมวดคิ้วเดินขึ้นหน้า ยื่นฝ่ามือไปปัดผ่านบนกระดาษสีหยาบระคายมือเบาๆ เพียงไม่นานบนกระดาษก็มีแสงสีทองไหลริน เปี่ยมไปด้วยปณิธานแห่งความซื่อตรง เพียงแต่ว่าสายตาของคนธรรมดาไม่อาจมองเห็น

ทำทุกอย่างนี้เสร็จเด็กสาวชุดเขียวถึงได้จากมาอย่างพึงพอใจ ส่วนสภาพของเทพทวารบาลหน้าประตูบ้านซ่งจี๋ซินที่อยู่ติดกันจะเป็นอย่างไร นางไม่แม้แต่จะปรายตามอง

นางเดินเนิบช้าไปตลอดทางจนถึงตรอกของบ้านหลิวเสี้ยนหยาง ผิวปากหนึ่งครั้ง เพียงไม่นานหมาบ้านตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาอย่างลิงโลด มันเข้ามาวิ่งวนพัวพันอยู่รอบกายเด็กสาว นางยิ้มแล้วโยนโอสถสีแดงเพลิงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเม็ดหนึ่งให้มัน หมาแก่กลืนลงท้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหางเดินตามหลังเด็กสาวผู้มัดผมหางม้า ฝีเท้าของมันเบาและไวแต่ไร้เสียง

หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมาและไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์

แม้จะชอบพูดกันว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น อาจโมโหจนตายได้ แต่หากผู้ฝึกลมปราณมาเห็นภาพนี้ก็ต้องพูดว่า หากเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับหมาตัวหนึ่ง คงทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ

ไม่ได้เจอกับคนที่อยากเจอ เดิมทีหร่วนซิ่วยังรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางกลับเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง

ดูเอาเถอะ สิ่งที่เขาต้องการให้ตนดูแล ไม่ว่าจะเป็นไก่เล้านั้นหรือหมาตัวนี้ นางก็ล้วนดูแลได้เป็นอย่างดี

เด็กสาวชุดเขียวเดินอยู่บนถนนปูแผ่นหินสีเขียว ผมยาวดำขลับรวบมัดด้วยเชือกสีเขียวเป็นผมหางม้า ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล แต่ทัศนียภาพของที่แห่งนี้งดงามเป็นเอกลักษณ์

……

หลังส่งเฉินผิงอันกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อก็หายตัวไปอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่ได้ย้อนกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋น แต่ตรงดิ่งไปที่ยอดเขาลั่วพั่ว ในสายตาของเขามองเห็นศาลเทพภูเขาที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่าแห่งหนึ่ง ลานหน้าศาลกว้างขวาง ปูด้วยหินประหลาดหรูหราที่มีคุณสมบัติคล้ายหยกขาว คล้ายเหล็กชั้นเยี่ยม รูปปั้นร่างทองในศาลสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เปิดให้ชาวบ้านเข้ามากราบไหว้อย่างเป็นทางการ

ชายแขนเสื้อกว้างของเว่ยป้อพลิ้วไหวดุจสายน้ำ เขาเดินไปด้านหน้าอย่างสง่างาม หลังจากได้ยินข่าวการมาเยือนของเขา รองเจ้ากรมโยธาธิการของต้าหลีคนหนึ่งที่ร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นก็เร่งรุดมาทักทาย เว่ยป้อเห็นว่าใบหน้าขุนนางน้ำดีของต้าหลีเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นิ้วมือทั้งสิบมีแต่แผลผุพองก็สาวเท้าเดินเล่นพลางสอบถามความคืบหน้าของงานก่อสร้างจากเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทว่าในใจกลับอดปลงอนิจจังไม่ได้ สกุลซ่งต้าหลีสามารถเปลี่ยนจากแคว้นเล็กๆ ใต้ปกครองของราชวงศ์สกุลหลู เดินทีละก้าวจนผงาดเป็นผู้พิชิตแถบทิศเหนือได้ ย่อมไม่ใช่แค่อาศัยโชควาสนาที่เป็นมายาล่องลอยอย่างเดียวเท่านั้น

รองเจ้ากรมไม่ได้เดินเข้าไปในศาลเทพภูเขา เขาหยุดอยู่แค่นอกธรณีประตูเท่านั้น พอส่งให้เว่ยป้อเดินเข้าไปข้างในเพียงลำพังแล้ว ขุนนางผู้นี้ก็รีบก้าวเร็วๆ จากไปทันที เพราะต้องควบคุมงานก่อสร้างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กใหญ่ก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเองทั้งหมด

ในวงการขุนนางของต้าหลี คำว่าสองแขนเสื้อมีแต่ลมเย็น ชีวิตอิสระเสรีดุจเทพเซียน มีใช้บรรยายขุนนางฝ่ายกรมพิธีการที่มีฐานะสูงศักดิ์

คำว่ากินเนื้อชิ้นโต ชักมีดฆ่าคนว่องไว ควบม้าเหล็กทลายค่ายกลบุกเบิกดินแดน คือการพูดถึงชาวบู๊กรมกลาโหม

กินดินกินฝุ่น ดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ พูดถึงขุนนางกรมโยธาธิการ

แต่ในฐานะรองเจ้ากรมที่กุมอำนาจแท้จริงอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดจากตระกูลชนชั้นสูง กลับลงมือทำงานอย่างมานะบากบั่นขนาดนี้ นับว่าเป็นภาพที่ราชวงศ์อื่นยากจะจินตนาการได้ถึง

เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อเบาๆ ประตูใหญ่ของศาลก็ปิดลง ในศาลเทพภูเขามีกลิ่นหอมเย็นจากเนื้อไม้ชั้นเยี่ยมโชยกรุ่นพาให้ใจคนสงบ

ศีรษะที่ทำมาจากทองแท้ของรูปปั้นเทพภูเขาลั่วพั่วซึ่งตั้งบูชาไว้ในห้องโถงใหญ่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย

บุรุษผู้หนึ่งที่สวมชุดขงจื๊อปรากฏกายลอยพลิ้วออกมาจากรูปปั้น ใบหน้าเหนือลำคอขึ้นไปมีแสงสีทองอ่อนจางรางๆ  แต่ไม่สะดุดตาเท่ารูปปั้น

เทพภูเขาท่านนี้ก็คือซ่งอวี้จาง

เขาก็คืออดีตผู้ตรวจการงานเครื่องปั้นของหลงเฉวียน ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กมายี่สิบกว่าปี ซ่งจี๋ซินเด็กหนุ่มในตรอกหนีผิงเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุตรนอกสมรสของเขา สะพานแบบคานที่แขวนป้ายด้านหน้าว่า ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ แห่งนั้นก็เป็นซ่งอวี้จางที่ควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวเอง สุดท้ายซ่งอวี้จางไปจากที่นี่ กลับไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง และช่วงเวลาที่กลับคืนมายังเมืองหลงเฉวียนอีกครั้งก็ได้ถูกเหนียงเนียงผู้นั้นของต้าหลีส่งคนมาหักคอ เก็บศีรษะใส่กล่องไว้อย่างลับๆ ฆ่าคนปิดปาก เลิกโม่แป้งฆ่าลา ก็เป็นเช่นนี้เอง

ซ่งอวี้จางรู้เรื่องภายในที่ฉาวโฉ่ของสกุลซ่งต้าหลีมากเกินไป อันที่จริงเขาก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าตนต้องตายอย่างแน่นอน ตอนที่เดินทางกลับเมืองหลวงครั้งนั้น ขุนนางฝ่ายบุ๋นต้าหลีที่คู่ควรกับคำว่าซื่อสัตย์ภักดีผู้นี้ถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าตนอาจตายเฉียบพลันระหว่างเดินทาง ผู้มีใจจงรักภักดี ยอมตายอย่างกล้าหาญก็เป็นเช่นนี้เอง

ดังนั้นหวังอี้ฝู่ แม่ทัพใหญ่แห่งสกุลหลูผู้สิ้นชาติที่ถูกเหนียงเนียงต้าหลีส่งมาฆ่าคนปิดปาก ถึงได้พูดประโยคสรุปที่ออกมาจากใจจริงว่า

‘ที่แท้บัณฑิตก็มีหัวที่ยอดเยี่ยมนี่เอง’

ในฐานะเทพภูเขาลั่วพั่ว ซ่งอวี้จางต้องคารวะทวยเทพขุนเขาเหนือในอนาคตที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เทพน้อยคารวะท่านเทพใหญ่”

เว่ยป้อหลุดหัวเราะ ขยับเท้าเบี่ยงกายหลบ โบกมือพูด “ท่านซ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”

ซ่งอวี้จางหันตัวคารวะตามไป “กฎระเบียบเป็นเช่นนี้ ไม่มีข้อยกเว้น”

เว่ยป้อจึงได้แต่รับการคารวะนี้อย่างเต็มพิธีการ แล้วกล่าวด้วยความจนใจ “บัณฑิตอย่างพวกเจ้านี่โง่จริงๆ จะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็เป็นเหมือนกันหมด”

ซ่งอวี้จางยืดตัวขึ้นตรง ยิ้มกว้างเปิดเผย

เว่ยป้อถามยิ้มๆ “คนของกรมพิธีการและสำนักโหราศาสตร์ได้บอกกับเจ้าเรื่องที่เทพภูเขาต้องให้ความสนใจหรือไม่?”

ซ่งอวี้จางพูดเยาะตัวเอง “พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรมาก หลังจากเสร็จพิธีแต่งตั้งเทพก็รีบร้อนลงจากภูเขาไป ไม่เหมือนเห็นข้าเป็นเทพภูเขา แต่เหมือนเห็นเป็นเทพแห่งโรคระบาดเสียมากกว่า คงต้องขอรบกวนให้ท่านเทพแห่งขุนเขาเหนือช่วยไขความกระจ่างแก่เทพน้อยแล้ว”

เว่ยป้อผงกศีรษะรับ บอกให้ซ่งอวี้จางมายืนข้างกายตน จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง ไอหมอกผุดพุ่งขึ้นมาในห้องโถงใหญ่แล้วแผ่ปกคลุมไปรอบด้าน

เพียงไม่นานบนพื้นดินก็มีภาพพื้นที่โดยรอบภูเขาลั่วพั่วทั้งหมดปรากฏขึ้น ไม่แยกน้ำและภูเขาออกจากกัน แม้ว่าเทพภูเขาจะมีหน้าที่ปกครองแค่ในภูเขาอย่างเดียวเท่านั้น แต่หากเป็นลำธารที่มีต้นกำเนิดมาจากบนภูเขาหรือเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านตีนเขา เทพภูเขาก็มีสิทธิ์การดูแลในระดับที่แตกต่างกันออกไป เทพแห่งน้ำในโลก โดยเฉพาะพ่อปู่ลำคลอง แม่ย่าลำคลองที่มีระดับชั้นต่ำ มักจะเสพสุขได้ไม่มากเท่าเทพภูเขา ฝ่ายแรกจำเป็นต้องเป็นฝ่ายตีสนิทกระชับความสัมพันธ์กับฝ่ายหลังก็ด้วยสาเหตุนี้

เว่ยป้อชี้ไปยังศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนยอดเขาลั่วพั่วที่เห็นจากภาพบนพื้น “คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน อันที่จริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างพวกเราไม่ค่อยมีความหมายเท่าใดนัก ก็แค่นอนเสวยสุข กินควันธูปอยู่ในตำราผู้สร้างคุณูปการเท่านั้น ไม่ต้องฝึกบำเพ็ญกำลัง ไม่ต้องบำเพ็ญจิตใจ แค่สั่งสมกุศลธรรมไปทีละนิด ช่วยราชสำนักรักษาโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่แถบหนึ่งไว้ก็พอ เมื่อเปรียบเทียบกับสิบปีก่อนหน้านี้แล้ว ภัยธรรมชาติหรือภัยจากมนุษย์ที่เกิดขึ้นในเขตการปกครองมีเพิ่มขึ้นหรือน้อยลง ประชาการมีมากขึ้นหรือถดถอย มีคนที่สอบติดเป็นจิ้นซื่อหรือไม่ มีนักพรตย้ายเข้ามาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่หรือไม่ แน่นอนว่าหากมีลางมงคลอะไรปรากฏขึ้นก็ยิ่งดีเข้าไปอีก นี่ก็คือคุณความชอบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือผลงานของเหล่าขุนนาง”

ซ่งอวี้จางเคยเป็นขุนนางมาก่อน เมื่อเว่ยป้อยกเรื่องในวงการขุนนางมาเปรียบเทียบกับเรื่องขององค์เทพ เพียงไม่นานซ่งอวี้จางก็กระจ่างแจ้ง เข้าใจได้ในทันที

เว่ยป้อพูดยิ้มๆ “สรุปก็คือความชอบและความผิดพลาดทั้งหมดล้วนถูกบันทึกไว้ในบัญชีที่ว่าการของราชสำนักอย่างชัดเจน แค่มองปราดเดียวก็เข้าใจ อย่าคิดว่าเป็นเทพภูเขาแล้วก็แค่ต้องมาทักทายข้าคนเดียวเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วคนที่เจ้าต้องให้ความสนใจยังคงเป็นราชสำนักต้าหลี ศาลเทพภูเขาทั้งหมดสามแห่งในเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าได้ครอบครองตำหนักใหญ่บนภูเขาพีอวิ๋น เจ้าอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่สร้างไว้ทางแถบทิศเหนือ หากเป็นพื้นที่แห่งอื่น น้อยนักที่จะมีศาลเทพภูเขามากเท่านี้ ดังนั้นที่นี่จึงเรียกว่าโจ๊กน้อยพระมาก วันหน้าเจ้าต้องปวดหัวมาก เพราะต้องช่วงชิงควันธูปจากชายหญิงผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าไม่มีทางแข่งกับข้าได้…”

ซ่งอวี้จางพูดหยอก “ข้าหรือจะกล้า นั่นเท่ากับล่วงเกินผู้ใหญ่ เมื่อก่อนตอนมีชีวิตอยู่ยังบอกตัวเองได้ว่าจะไปกลัวกะผีอะไร อย่างมากก็แค่ลาออกไม่ต้องเป็นขุนนางแล้ว หรืออย่างมากที่สุดก็แค่ตาย แต่ตอนนี้จะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะแค่คิดจะตายก็ยังยาก”

 —–