หลังจากวาจาแสนโหดเหี้ยมและเด็ดเดี่ยวของฉินอวี้โม่สิ้นสุดลง ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าเปลวเพลิงที่กำลังล้อมกายลิ่วรุ่ยอยู่มีความรุนแรงมากขึ้นจนต้องรีบพากันถอยห่างออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในแววตาของคุณหนูตระกูลฉินแน่วแน่ไร้ความหวาดกลัว และนั่นก็รวมถึงเยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ ด้วย

“ก็แค่ผู้อาวุโสสองแห่งอาราม ถ้าอยากฆ่าเขาก็ฆ่าซะ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นปัญหาสักแค่ไหน”

คำพูดและน้ำเสียงที่แสดงความสนับสนุนอย่างเปี่ยมล้นของเยว่ชิงเฉิงดังมา บุรุษเฒ่าน่ารังเกียจผู้นี้เกือบจะสังหารพวกเขาทั้งหมด ถ้าฉินอวี้โม่จะลงมือฆ่าเขาทุกคนก็พร้อมให้การสนับสนุน หากในอนาคตอารามจะมาล้างแค้นฉินอวี้โม่ พวกเขาก็จะไม่ลังเลที่จะเข้าช่วย

“เหตุใดจะฆ่าไม่ได้เล่า เมื่อใดกันที่จักรวรรดิไป๋อวิ๋นของเราเคยเกรงกลัวอารามอย่างพวกเจ้า !”

บุรุษหนุ่มผู้มีตำแหน่งเป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิ–ฉีอวี้ เอ่ยสนับสนุนเสียงดัง ผู้อาวุโสน่ารังเกียจแห่งอารามตั้งใจจะสังหารฉินอวี้โม่และพวกเขาทั้งหมดมาแต่แรก หากยังเมตตาปล่อยเอาไว้ต่อไปก็ไม่ต่างจากปล่อยสัตว์ร้ายกระหายเลือดให้มีอิสระ ไม่วันใดก็วันที่หนึ่งคนชั่วช้าจะต้องแว้งกลับมากัดอีกแน่ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสในตอนนี้ก็ควรจะรีบฆ่าอีกฝ่ายทิ้งเสียเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ที่สำคัญหากว่าสำเร็จโทษพวกอารามได้ หลังกลับออกไปองค์จักรพรรดิจะต้องชื่นชมและอาจจะมอบรางวัลชิ้นใหญ่ให้เขา

“ใช่ ฆ่าเขาซะ สมาคมโอสถของเราพร้อมสนับสนุนเจ้า !”

แม้แต่เทพธิดาโอสถผู้สง่างามอยู่ตลอดเวลาอย่างเหย่าเซียนเอ๋อร์ก็ยังโพล่งวาจาออกมาอย่างเห็นชอบ ยิ่งกว่านั้นภายในน้ำเสียงไพเราะยังแฝงด้วยเจตจำนงแห่งการเข่นฆ่าอยู่หลายส่วน หลังจากการสอบครั้งนี้เสร็จสิ้น โฉมงามตั้งใจจะไปเล่าให้ท่านปู่ของนางฟังถึงความชั่วร้ายของผู้อาวุโสสองแห่งอารามที่กระทำสิ่งเลวทรามเสียจนฉินอวี้โม่ต้องสังหารเขาเพื่อปกป้องทุกคน หากท่านปู่ของนางได้ทราบเรื่องราวนี้ ด้วยนิสัยของเขา เขาจะต้องสนับสนุนนางแน่ สมาคมโอสถของพวกนางไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว

“อย่านะ อย่าาาาา ! สตรีโสโครก หากว่าเจ้าฆ่าข้า อารามของเราไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ !”

ยิ่งได้ยินเสียงสนับสนุนให้ฆ่ามากเท่าไหร่ใบหน้าของลิ่วรุ่ยก็ยิ่งซีดลงเรื่อย ๆ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือในตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าความรุนแรงเกินต้านทานของเปลวเพลิงที่อยู่รอบตัวนั้นกำลังพุ่งสูงขึ้น และมันก็สามารถเผาร่างของเขาให้มอดไหม้ได้ทุกเมื่อ

แรกเริ่มฉินอวี้โม่มีความลังเลอยู่บ้างเพราะนางยังไม่ต้องการสร้างปัญหาหรือทำให้มันกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของลิ่วรุ่ยที่แม้ใกล้จะตายก็ยังโอหังอย่างน่ารังเกียจ ในที่สุดนางก็ตัดสินใจได้

อีกสิ่งหนึ่งที่ฉินอวี้โม่รังเกียจมากที่สุดก็คือการข่มขู่ คนผู้นี้ไม่เพียงแต่หยิ่งยโสโอ้อวดว่าเป็นอารามที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดแต่ยังมองผู้อื่นต่ำต้อยกว่าเสมอ ทั้งยังกดข่มผู้อื่นไม่ไว้หน้า ถ้าลิ่วรุ่ยกล้าขู่นางก็อย่ากล่าวโทษในสิ่งที่นางจะทำหลังจากนี้ก็แล้วกัน …อารามแล้วอย่างไร ? นางก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าอารามจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ?

“อ๊ากกกก~”

ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่ล้อมรอบร่างของลิ่วรุ่ยก็ลุกโชนขึ้นก่อนจะโถมเข้าใส่ร่างของผู้อาวุโสสองแห่งอารามในชั่วพริบตา !  ทุกผู้คนในที่แห่งนั้นมองเห็นลิ่วรุ่ยบุรุษจากอารามถูกเปลวเพลิงร้อนแรงแผดเผาจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

“ซี้ดดดดด~”

นอกเหนือจากเยว่ชิงเฉิงและสหายในกลุ่มแล้ว ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึกและส่งเสียงซี้ดกันอย่างตื่นตระหนก ลำคอของหลายคนแห้งผาก ภาพเหตุการณ์ในวันนี้คงยากที่จะลบเลือนออกไปจากความทรงจำของผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ ความโหดเหี้ยม ความเด็ดเดี่ยว ความน่าสะพรึงกลัว รวมไปถึงความน่าชื่นชมของสตรีตระกูลฉินผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้

ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะทำให้ชื่อเสียงของนางกลายเป็นตำนานโจษขานกันไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างยากจะหาผู้ใดมาเทียบเทียม อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้

“คุณหนูทำสำเร็จแล้ว !”

เสี่ยวโร่วยิ้มร่าและโผเข้ากอดฉินอวี้โม่

“อวี้โม่ เจ้าทำได้ดีมาก !”

เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เผยรอยยิ้มกว้างและเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่เช่นกัน

“ตอนนี้ก็เก็บกวาดสถานที่กันเถอะ”

หลิงเฟิงเดินไปยังจุดที่ลิ่วรุ่ยถูกเผาแล้วเก็บแหวนมิติของเขาขึ้นมาก่อนจะนำมาส่งให้ฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่รับมันมาด้วยรอยยิ้มขอบคุณพลางกล่าว “ไม่ต้องห่วงข้าจะจัดแจงแบ่งของที่ได้กับทุกคน”

พวกเขาทุกคนพยักหน้าและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในตอนนี้นับว่าเรื่องร้าย ๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

“จริงสิ จะทำอย่างไรกับเจ้าตัวใหญ่นั่นดีล่ะ ?”

ในจุดที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ลิ่วรุ่ยตาย อสูรสวรรค์ตัวหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นด้วยใบหน้าแสนเศร้าสร้อย

ถึงอย่างไรอสูรสวรรค์ตัวนั้นก็ต้องรับคำสั่งจากลิ่วรุ่ยเพราะว่ามันคืออสูรในพันธสัญญา ตอนนี้เมื่อลิ่วรุ่ยตายไปแล้วตัวมันจึงจะต้องหายไปเช่นกัน ดูไปแล้วมันก็น่าเห็นใจและน่าสงสารไม่น้อย

‘นายหญิง ท่านทำพันธสัญญากับมันดีหรือไม่ ?’

เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่

‘ข้าทำพันธสัญญากับมันได้อย่างนั้นหรือ ?’

ฉินอวี้โม่ถามด้วยความฉงน อีกฝ่ายเป็นอสูรที่มีพันธสัญญาผูกพันอยู่แถมยังเป็นถึงอสูรสวรรค์ เมื่อครั้งที่รับเสี่ยวเยี่ยมาเป็นเพราะคำสาบานของลิ่วเยว่ทำให้พันธสัญญาของเจ้าเสือน้อยกับนายเก่าของมันสิ้นสุด แต่ในกรณีของเจ้าตัวนี้ต่างออกไปมาก เช่นนั้นนางจะทำพันธสัญญากับมันได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ ?

‘แน่นอน ขอเพียงถอนพลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้าของเดิมที่อยู่ในจิตของมันออกให้หมด ท่านก็จะสามารถทำพันธสัญญากับมันได้’

ซิวอธิบายกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มภาคภูมิ

‘ท่านลองเดินเข้าไปถามมันก่อนว่ามันอยากจะติดตามท่านหรือไม่ เช่นนั้นน่าจะง่ายกว่า’

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเดินตรงไปหาอสูรสวรรค์ผู้ซึมเศร้า

“เจ้าอยากจะเป็นอสูรของข้าหรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยปากถามด้วยเสียงอ่อนโยนพลางจ้องตาเจ้าตัวใหญ่เพื่อแสดงความจริงใจ

อสูรสวรรค์คล้ายจะลังเลอยู่ชั่วขณะ มันหลบสายตาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

ฉินอวี้โม่ยิ้มและเริ่มกระบวนการทำพันธสัญญาตามที่ซิวสอนให้ในทันที

ในเวลาไม่นานนักการทำพันธสัญญากับอสูรสวรรค์ก็สำเร็จลุล่วง แน่นอนว่าแสงแห่งการเลื่อนระดับพลังทั้งหมดยังคงถูกซิวกางเขตอาคมปกปิดเอาไว้ให้

“ยินดีที่ได้พบเจ้านาย”

อสูรสวรรค์ในตอนนี้ได้กลายเป็นชายหนุ่มสูงใหญ่รูปลักษณ์งดงามหล่อเหลา อีกทั้งน้ำเสียงของเขาก็ยังนุ่มลึกชวนฟัง

“ต่อไปนี้ข้าขอเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเหมิง”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม รูปร่างของมันดูคล้ายกับปี่เหมิง* นางจึงเรียกมันว่าเสี่ยวเหมิง

*比蒙 ปี่เหมิง คือ เบเฮโมท (Behemoth) ในภาษาจีน สัตว์อสูรซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลฉบับของโยบ มันเป็นสัตว์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างช้าง, ฮิปโป, แรด และควาย

“ขอบคุณนายหญิง”

เสี่ยวเหมิงพยักหน้าก่อนจะเข้าไปอยู่ในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่

“พวกเจ้ามีแผ่นป้ายอยู่มากแค่ไหน ?”

หลังจากเรื่องเลวร้ายจบลง ฉินอวี้ก็หันไปมองเหล่าสหายและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสดใส

“คิดว่าน่าจะเพียงพอที่จะสอบผ่าน”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวก่อนที่ทุกคนจะเอาแผ่นป้ายออกมารวมกันแล้วแบ่งสันปันส่วนกันอย่างเท่าเทียม พวกเขาทั้งหมดล้วนอยากจะให้สหายสอบผ่านกันทั่วหน้า

“แล้วเราจะเอายังไงกับคนพวกนั้นดี ?”

เมื่อเหลือบไปเห็นคนของอารามที่ถูกซัดจนหมอบนิ่งกองกันอยู่ไม่ไกล โอวหยางชิงเฟิงจึงเอ่ยปากถามออกมา

“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา คนพวกนั้นถูกชิงป้ายไปแล้วอีกไม่นานก็คงจะถูกพาตัวออกไป”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ นางไม่คิดจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด คนพวกนี้แม้ว่าจะกระทำชั่วช้าแต่ก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับลิ่วรุ่ยที่เป็นผู้ชักจูงให้พวกเขามา อีกทั้งเพียงแค่นางสังหารลิ่วรุ่ยเพียงคนเดียวก็คงจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นในอนาคตอย่างไม่น้อยแล้ว หากลงมือสังหารหมู่ที่นี่คำร่ำลือและชื่อเสียงในเรื่องความโหดเหี้ยมของคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็คงแพร่กระจายไปไกล ซึ่งก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีนักเป็นแน่

ฉินอวี้โม่ไม่ได้สนใจคนพวกนี้มากนัก ที่สำคัญครั้งหน้าทางอารามคงไม่ส่งพวกอ่อนหัดเช่นนี้มาอีกแน่

ภายในห้องลับของโรงเรียนราชสำนัก หนึ่งบุรุษชราและหนึ่งบุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงินกำลังนั่งมองฉินอวี้โม่และเหล่าสหายของนางผ่านจอภาพมายาขนาดใหญ่

“ท่านอธิการ เหตุใดท่านถึงไม่หยุดพวกเขาเอาไว้ล่ะ ?”

บุรุษชราเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หึ ๆ หลายปีมานี้อารามยโสโอหังมากเกินไป ที่สำคัญผู้อาวุโสสองนั่นก็แหกกฎปกปิดพลังและอำพรางตัวตนเพื่อเข้าไปร่วมสอบ แม่นางอวี้โม่ทำได้ดีแล้ว ถ้ามีโอกาสฆ่าก็ฆ่าซะ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรต้องเข้าไปหยุด”

บุรุษหนุ่มผมสีมหาสมุทรเอ่ยขึ้น คนผู้นี้ก็คืออธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก*–มู่อวิ๋น*

“แต่ว่า—”

“หยุดพูดเถอะ ท่านไม่เห็นพลังแห่งความมืดที่แฝงอยู่ในกระบี่ของผู้อาวุโสแห่งอารามนั่นเลยหรือ ?”

บุรุษชราที่กำลังจะเอ่ยบางอย่างถูกมู่อวิ๋นขัดขึ้นเสียก่อน ก่อนที่ท่านอธิการจะกล่าวต่อไป

“เรื่องนี้แปลกประหลาด หากว่าข้ามองไม่ผิดมันน่าจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘ดินแดนหนเหนือ’ ดูเหมือนว่าอารามจะมีเบื้องลึกบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ในเมื่อแม่นางอวี้โม่สังหารลิ่วรุ่ยไปแล้ว หากว่าอารามต้องการจะมาล้างแค้นก็ให้พวกเขามา ถึงตอนนั้นข้าจะถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้เห็นพลังอันจริงแท้ของอาราม”

“ดินแดนหนเหนือ ?”

บุรุษชราตกตะลึงไปชั่วขณะ เขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก ยิ่งครุ่นคิด ความกังวลบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ‘หากว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับดินแดนหนเหนือจริง ๆ แล้วมันจะไม่….’

“เอาล่ะ อย่าเพิ่งรีบกังวลไปนักเลย ตอนนี้เราสนใจแค่เรื่องการสอบก่อนก็พอ เหลือเวลาอีกสิบห้าวันกว่าผลการทดสอบจะออก”

มู่อวิ๋นยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องลับนั้นไป กล่าวตามตรงคือมู่อวิ๋นกำลังสงสัยเกี่ยวกับอสูรมายาของฉินอวี้โม่ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะมีอสูรมายาที่ทรงพลังจนถึงกับเมื่อใช้ทักษะอสูรเสริมร่างแล้วจะสามารถเอาชนะจอมยุทธ์มายาบรรพชนได้ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากทีเดียว

บุรุษชราที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวในห้องมองแผ่นหลังที่หายลับไปของมู่อวิ๋นเงียบ ๆ ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา แล้วเขาก็ค่อย ๆ เดินออกจากห้องลับนั้นไปเช่นกัน

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องราวที่บุรุษผู้มีตำแหน่งสูงในโรงเรียนราชสำนักสนทนากันแม้แต่น้อย ในตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งรวมตัวกันเพื่อแบ่งปันสิ่งของที่ได้มาและวางแผนขั้นต่อไป

ต้องกล่าวเลยว่า ด้วยฐานะผู้อาวุโสสองแห่งอารามของลิ่วรุ่ยนั้นทำให้เขามีของดีติดตัวอยู่ไม่น้อยเลย และเพราะเหตุนี้ทำให้ทุกคนดีใจกันมากที่ได้สมบัติชั้นยอดติดมือกลับไปคนละชิ้นสองชิ้น

ฉินอวี้โม่ขอเสียมารยาทโดยการขอเอาวัตถุดิบเกี่ยวกับการหลอมทั้งหมดมา อย่างไรตอนนี้นางก็เป็นช่างหลอมคนหนึ่งแล้ว หากว่ามีวัตถุดิบดี ๆ อยู่ตรงหน้าอดีตนักฆ่าสาวก็จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไป

เยว่ชิงเฉิงไม่สนใจวัตถุดิบในการหลอม ส่วนสหายคนอื่น ๆ ก็ไม่ใช่ช่างหลอม แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคิดจะแย่งวัตถุดิบนั้นกับฉินอวี้โม่

“ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งเดือนกว่าการสอบจะจบลง พวกเราจะทำอะไรต่อไป ?”

เยว่ชิงเฉิงมองทุกคนก่อนเอ่ยคำถาม

“เรามาใช้เวลาที่เหลือในการฝึกฝนและออกสำรวจหาอสูรมายาที่ทรงพลังในดินแดนแห่งนี้ดีหรือไม่ หากได้เจอข้าจะช่วยพวกเจ้าสยบมันเอง”

ฉินอวี้โม่เสนอความคิดเห็น หากใช้ที่นี่เพื่อฝึกฝนก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการฝึกข้างนอกมากมาย ภายในครึ่งเดือนนี้หากทุ่มเทฝึกฝนอย่างจริงจังก็อาจจะมีใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มของพวกเขาสามารถก้าวข้ามขอบเขตได้เลยทีเดียว หรือหากออกเดินทางตามล่าอสูรมายาก็เป็นไปได้ว่าจะได้เจอกับอสูรมายาระดับเทวะราชันดาราสูงและใช้โอกาสนั้นสยบมันได้

“ข้าจำได้ว่าระหว่างทางจากสถานที่ที่พวกเราไปปรากฏตัวจนมาถึงที่นี่ มีพื้นที่ที่มีอสูรมายาทรงพลังอยู่เยอะมาก แต่ข้ากับโอวหยางชิงเฟิงมีพลังไม่พอเลยไม่กล้าอยู่นาน อีกอย่างเพราะกังวลกับสถานการณ์ของคนอื่น ๆ พวกเราเลยรีบออกเดินทางทันที ตอนนั้นก็เลยไม่ได้สำรวจอะไรมาก ในเมื่ออวี้โม่เสนอให้ล่าอสูรมายา ข้าว่าเราก็ควรจะไปดูที่นั่นกันสักครั้ง”

เยว่ชิงเฉิงกล่าว

ก่อนมาถึงยังจุดนัดพบ นางและโอวหยางชิงเฟิงเดินทางผ่านป่าในบริเวณที่มีอสูรมายาชุกชุม พื้นที่บริเวณนั้นมีอสูรเทวะราชันอยู่มาก และจากกลิ่นอายแล้วดูเหมือนจะมีแม้กระทั่งอสูรสวรรค์อยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่กล้าจะรั้งรออยู่ในป่าบริเวณนั้นนานนักบวกรวมกับความเป็นห่วงพวกพ้อง ทั้งสองจึงรีบเดินทางมาที่นี่อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วเยว่ชิงเฉิงก็รู้สึกว่าป่าบริเวณดังกล่าวน่าสนใจไม่น้อย และเมื่ออยู่รวมกันทั้งกลุ่มเช่นนี้แล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ควรจะเดินทางไปดู

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักหน้า อย่างไรเสียเมื่อการสอบเสร็จสิ้นทุกคนก็จะถูกส่งตัวออกไปด้านนอก และคงไม่มีใครจะได้เข้ามาอีก ในเมื่อตอนนี้ก็เหลือเวลาอยู่พวกเขาทั้งหมดก็ควรจะลองไปดู

เยว่ชิงเฉิงเดินนำเหล่าสหายมุ่งไปยังจุดที่นางเคยเดินทางผ่านมาก่อนหน้านี้

ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่แห่งนั้นได้แต่มองฉินอวี้โม่และเหล่าสหายคุณหนูคุณชายจากหลายตระกูลของนางเดินจากไปด้วยสายตาหวาดหวั่น ไม่มีพวกเขาคนใดอาจหาญคิดติดตามไปด้วย

หลายวันหลังจากนั้นฉินอวี้โม่และพวกพ้องของนางต่างก็ใช้เวลาในการจับอสูรและฝึกฝนพลังมายา แน่นอนว่าพวกนางพบอสูรเทวะราชันหลายตัว ซึ่งผลลัพธ์คือพวกเขาหลายคนได้รับอสูรเทวะราชันกันอย่างถ้วนหน้าจากความช่วยเหลือของสหายโฉมงามตระกูลฉิน

ในเวลานี้ฉินอวี้โม่อยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดาราแล้ว ทว่าแม้จะสยบอสูรมายาระดับสูงไปหลายตัวก็ยังไม่เห็นสัญญาณแห่งการข้ามผ่าน คุณหนูคนงามจึงต้องการโอกาสครั้งสำคัญที่จะช่วยให้ก้าวข้ามไปยังขอบเขตถัดไป

ในวันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการสอบ หลังจากสยบอสูรมายาตัวล่าสุดเสร็จสิ้น พวกเขาทุกคนก็นั่งลงและรอคอยให้ทางโรงเรียนส่งตัวกลับออกไป

ตอนนั้นเอง เสียงของซิวก็ดังขึ้นในห้วงจิตของอดีตนักฆ่า

‘นายหญิง ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากทางตะวันตกเฉียงใต้’

ฉินอวี้โม่ประหลาดใจและเตรียมพุ่งตรงไปยังทิศทางดังกล่าวเพื่อตรวจสอบ ทว่าก็มีแสงปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของนางไว้เสียก่อน บัดนี้ผู้เข้าสอบทุกคนกำลังจะถูกส่งตัวออกไปนอกดินแดนต้องห้ามแล้ว

‘ซิว ข้าต้องขอโทษด้วยตอนนี้ข้ากำลังจะถูกส่งตัวออกไปแล้ว’

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นในห้วงจิตอย่างหมดหนทาง นางรู้ว่าซิวต้องการจะไปดูกลิ่นอายคุ้นเคยที่มันสัมผัสได้ให้เห็นกับตา ทว่าเวลานี้การสอบสิ้นสุดลงแล้วไม่มีข้อแม้ใดที่โรงเรียนจะปล่อยผู้เข้าสอบเช่นนางเอาไว้ที่นี่

‘ไม่มีปัญหา ไว้เราค่อยมาดูทีหลังก็ได้’

ซิวกล่าวเพื่อปลอบใจสตรีผู้เป็นนาย

แม้ว่ากลิ่นอายนั้นจะทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยอย่างเหลือล้นจนอยากจะไปดูให้เห็นในทันที แต่ในเมื่อนายหญิงของมันกำลังจะถูกส่งตัวออกไปด้วยข้อจำกัดของการสอบ มันก็ไม่อยากให้ฉินอวี้โม่ต้องคิดมากในเรื่องนี้

‘ได้ ไว้ข้าจะพาเจ้ามาที่นี่หลังจากนี้’

ฉินอวี้โม่เอ่ยคำให้สัญญาอย่างหนักแน่น อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูปฏิญาณกับตนเองว่า *‘สิ่งที่ซิวต้องการก็คือสิ่งที่นางต้องทำ’*ไว้รอให้นางเข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักได้อย่างเป็นทางการเสียก่อนนางจะกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน หานโม่ฉือมนุษย์น้ำแข็งผู้แข็งแกร่งเหนือจินตนาการเคยบอกนางว่าดินแดนต้องห้ามแห่งนี้เป็นสถานที่ที่อันตรายมาก ทว่าเมื่อได้เข้ามาจริง ๆ หากไม่นับรวมลิ่วรุ่ยแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไม่พบความอันตรายใด ๆ นั่นแสดงว่าที่ผ่านมากว่าสามสิบวันนางยังเข้าไปไม่ถึงจุดที่มีความอันตราย   และเป็นไปได้อย่างสูงยิ่งว่าสถานที่แห่งนี้ยังมีความลับซ่อนเร้นอยู่อีกมากนัก

“ฮ่า ๆ ๆ ยินดีกับผู้สอบผ่านทุก ๆ คน จากนี้ไปพวกเจ้าจะกลายเป็นนักเรียนของโรงเรียนราชสำนัก ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะทำความเข้าใจกฎของโรงเรียนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตั้งใจศึกษาเหล่าเรียนและฝึกฝนให้หนัก อีกไม่นานพวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่ทำให้ทุกคนในแผ่นดินต้องตกตะลึง”

ในตอนที่ได้ยินเสียงของอธิการมู่อวิ๋นทุกคนก็พบว่าตนเองถูกเคลื่อนย้ายออกมายังจัตุรัสแห่งหนึ่งภายในโรงเรียนราชสำนักแล้ว

.