ตอนที่ 100 แบ่งชั้นเรียน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

คนรุ่นเยาว์ทั้งหลายที่อยู่ภายในจัตุรัสแห่งนี้ลดน้อยลงไปกว่าจำนวนคนทั้งหมดที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากดินแดนต้องห้ามเกินครึ่ง นั่นเป็นเพราะบางคนที่ไม่ผ่านการสอบจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปยังพื้นที่ด้านนอกประตูโรงเรียน ผู้ที่สอบผ่านเท่านั้นถึงจะถูกส่งตัวมาที่จัตุรัสแห่งนี้

โรงเรียนราชสำนักนั้นถือเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งในแผ่นดินนี้ สถาบันมีชื่อเสียงแห่งนี้ผลิตบัณฑิตที่มีพรสวรรค์และทรงคุณค่ามากมายออกสู่ดินแดนหวนหลิงอันกว้างใหญ่ไพศาล และเวลานี้ฉินอวี้โม่และสหายก็ได้เป็นหนึ่งในนักเรียนหน้าใหม่ในรุ่นที่สามร้อยของโรงเรียนราชสำนักในปีนี้แล้ว

ในขณะที่ยืนอยู่ในจัตุรัสอันกว้างขวาง นักเรียนใหม่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันทรงพลังและมีมนต์ขลังของโรงเรียนแห่งนี้แล้ว บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายของโรงเรียนราชสำนักก็กำลังยืนจ้องมองศิษย์หน้าใหม่รุ่นเยาว์อยู่เช่นกัน ลั่วอวิ๋นและคนอื่น ๆ ยิ้มแย้มกันไม่หุบ ในที่สุดพวกเขาก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักสถานที่ที่เป็นตำนานเล่าขานกันได้เสียที จากนี้ไปอนาคตของพวกเขาจะได้ต้องสดใสอย่างแน่นอน

“แม่นางฉินอวี้โม่”

ฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เขาก็คือสือซานและพรรคพวก ตัวเขาและพี่น้องที่เหลือก็ผ่านการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักเช่นกัน

ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยทักทายคนคุ้นหน้าอย่างชื่นมื่นระหว่างรอคอยให้ทางโรงเรียนราชสำนักจัดแจงเรื่องต่าง ๆ

สำหรับนักเรียนที่เข้าใหม่ของปีนี้ทางโรงเรียนได้จัดหาอาจารย์ที่ปรึกษาเอาไว้สองท่าน ซึ่งแต่ละท่านจะดูแลรับผิดชอบและเป็นผู้สอนในชั้นเรียนของตนเอง ดังนั้นบรรดาศิษย์ใหม่ทั้งหลายจึงจะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มตามจำนวนของอาจารย์ที่ปรึกษาและต้องเข้าเรียนในชั้นเรียนของผู้เป็นที่ปรึกษาของตนด้วย

“สวัสดีทุกคน ข้าคือที่ปรึกษาของนักเรียนใหม่อย่างพวกเจ้ามีนามว่า*–ซ่างกวนซวี่*  พวกเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ซ่างกวนก็ได้ และแน่นอนว่าข้าหวังให้พวกเจ้าเรียกข้าว่า*‘ท่านซ่างกวนสุดหล่อ’*มากกว่า”

บุรุษสวมชุดสีแดงดูหรูหรา ดูจากใบหน้าแล้วคงจะมีอายุไม่เกินยี่สิบแปดปีเอ่ยขึ้น

“อวี้โม่ อย่าได้มองว่าอาจารย์ซ่างกวนเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบปลายเด็ดขาด เพราะความจริงเขาอายุเกือบร้อยปีแล้ว แต่เห็นแบบนี้ ความแข็งแกร่งของเขาจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของโรงเรียนเลยนะ”

เยว่ชิงเฉิงกระซิบข้างหูฉินอวี้โม่ แม้ว่าคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมจะไม่เคยเข้ามาเรียนในโรงเรียนราชสำนัก แต่ด้วยความทันต่อข่าวสารแบบรู้ลึกรู้จริงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใดของนางก็ทำให้เยว่ชิงเฉิงพอจะรู้จักบุคลากรทั้งหลายในโรงเรียนแห่งนี้

ซ่างกวนซวี่เป็นคนที่มีนิสัยเป็นเอกลักษณ์ เขามีความเป็นตัวของตัวเองสูง เชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ค่อยเชื่อฟังใคร อาจจะนับว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนค่อนข้างแปลกประหลาดก็ว่าได้ แต่ที่น่าหวาดระแวงคือบุรุษผู้เป็นถึงอาจารย์ผู้นี้ชื่นชอบการกลั่นแกล้งศิษย์ใหม่เป็นที่สุด บางครั้งเขาจะสอนบทเรียนแสนหฤโหดหรือการฝึกฝนที่ยากลำบากจนหืดขึ้นคอ อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนซวี่ก็ถือเป็นอาจารย์ที่หวังดีกับเหล่าศิษย์ทั้งหลายมาก อีกทั้งยังมากด้วยฝีมือและความแข็งแกร่ง แม้ว่าวิธีการสอนของเขาจะดูทารุณหรือแปลกประหลาดไปสักหน่อยแต่มันก็นับว่าได้ผลดีอยู่ไม่น้อย

“สวัสดีนักเรียนทุกคน ข้ามู่โหยงเซียว ข้าเองก็เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของเด็กใหม่เช่นกัน พวกเจ้าสามารถเลือกที่ปรึกษาที่พวกเจ้าชอบเพื่อเข้าร่วมชั้นเรียนได้เลย”

ผู้ที่กำลังกล่าวคือสตรีในชุดสีขาวที่ดูสุภาพ บุคลิกและกลิ่นอายรอบตัวนางดูเป็นมิตรและดึงดูดจนทำให้ทุกคนอยากเข้าใกล้ เมื่อดูจากภายนอกอายุของอาจารย์สาวผู้นี้ก็น่าจะไม่เกินสามสิบ ซึ่งเมื่อดูโดยรวมนางก็นับว่าเป็นสตรีที่งดงามมากผู้หนึ่งทีเดียว

ความแข็งแกร่งของมู่โหยงเซียวก็ถือว่าไม่ธรรมดา อย่างน้อย ๆ นางก็น่าจะเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนดาราสูงแล้ว แต่ที่น่าสนใจคือในความเป็นจริงอายุของสตรีผู้นี้ไม่ต่ำกว่าสี่สิบปี ทว่าระดับพลังของนางล้ำหน้าอายุไปไกลมาก แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้การที่รูปลักษณ์ของมู่โหยงจะยังดูเยาว์วัยอยู่มากจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

“อวี้โม่ เจ้าอยากจะเลือกใครเป็นที่ปรึกษา ?”

ฉินอวี้โม่รู้สึกประทับใจในความเสรีของทางโรงเรียนราชสำนัก แม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาพวกเขายังให้นักเรียนมีโอกาสได้เลือกด้วยตัวเอง เยว่ชิงเฉิงกระซิบถามความเห็นของฉินอวี้โม่ด้วยเสียงที่เบาราวกับเกรงว่าผู้อื่นจะได้ยิน

“ข้าจะเลือกอาจารย์ซ่างกวน”

ฉินอวี้โม่นางเอ่ยตอบสหายอย่างไม่ลังเล นางชมชอบผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและนางชื่นชอบในความท้าทาย  ดังนั้นความเข้มข้นของการฝึกฝนตามแบบฉบับของอาจารย์ซ่างกวนซวี่ก็น่าจะถูกใจอดีตนักฆ่าสาวมากกว่า นอกจากนั้นการเรียนรู้เช่นนี้ ฉินอวี้โม่คิดว่ามันจะช่วยให้เกิดการพัฒนาพลังที่รวดเร็วกว่าด้วย

“ถ้างั้นข้าก็จะเลือกเหมือนเจ้า”

เยว่ชิงเฉิงพยักหน้า นางมีแผนที่จะอยู่ชั้นเรียนเดียวกับฉินอวี้โม่และยังตั้งใจจะอยู่ในหอพักเดียวกันกับสหายตระกูลฉินของตนด้วย หากได้อยู่กับฉินอวี้โม่นางจะได้มีโอกาสฟังและสอบถามเรื่องราวแปลกประหลาดทั้งหลายที่สหายผู้นี้รู้และมักจะเล่าให้นางฟังโดยเฉพาะเรื่องกลไกที่น่าตื่นตาตื่นใจเหล่านั้น

“ข้าเองก็ขออยู่ชั้นเรียนเดียวกับพวกเจ้าด้วย”

โอวหยางชิงเฟิงยิ้มพลางกล่าวขึ้นอย่างเริงร่า เขาไม่สนใจว่าผู้ใดจะเป็นที่ปรึกษาอยู่แล้ว ขอเพียงมีสหายที่สนิทอยู่ร่วมชั้นเรียนเดียวกันก็พอ เขาจึงขอเลือกตามฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงโดยไม่ต้องคิด

ทว่าสิ่งหนึ่งที่คุณชายตระกูลโอวหยางไม่ทันได้สังเกตก็คือ คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของคุณหนูตระกูลเยว่งอง้ำไปชั่วขณะ

องค์ชายฉีอวี้และโฉมงามอันดับห้าหลิงซวงก็เลือกซ่างกวนซวี่เป็นที่ปรึกษาด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งนั่นก็เช่นเดียวกับลั่วอวิ๋นและก็แน่นอนว่าสาวน้อยเสี่ยวโร่วเลือกตามฉินอวี้โม่โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

ส่วนองค์หญิงน้อยฉีฉีนั้นเลือกอาจารย์สาวผู้ดูใจดีมู่โหยงเซียว และนั่นก็ทำให้หลิงเฟิงผู้เป็นสหายรักกับฉีอวี้ต้องเลือกตามนางไปด้วย ดังนั้นสองหนุ่มสาวผู้สูงศักดิ์จึงมีอาจารย์ที่ปรึกษาเดียวกับเทพธิดาโอสถเหย่าเซียนเอ๋อร์

ทางด้านสือซานและคณะเมื่อได้ยินว่าแม่นางฉินอวี้โม่ผู้น่าเลื่อมใสเลือกอาจารย์ซ่างกวนซวี่เป็นที่ปรึกษาพวกเขาเองก็ตัดสินใจเลือกตาม

หลังจากตัดสินใจกันอยู่พักใหญ่ นักเรียนหน้าใหม่กว่าหนึ่งร้อยคนของโรงเรียนราชสำนักก็ถูกแบ่งออกเป็นสองชั้นเรียนจนเสร็จสิ้น

“เอาล่ะในเมื่อพวกเจ้าทุกคนเลือกข้าเป็นที่ปรึกษาเช่นนี้ก็อย่าเสียใจภายหลังนะ”

ซ่างกวนซวี่ยิ้มพลางมองดูฉินอวี้โม่ด้วยความสนใจ เขาทราบว่าเหตุผลที่นักเรียนใหม่จำนวนไม่น้อยเลือกเขาเป็นที่ปรึกษา ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเลือกตามสาวน้อยผู้นี้

“ลำดับถัดไป ข้าจะให้คนส่งพวกเจ้าไปยังหอพักของนักเรียนใหม่ ภายในสามวันนี้จะยังไม่มีการเรียนการสอน ให้พวกเจ้าถือซะว่าเป็นวันหยุดพักผ่อน นอกเหนือจากชั้นเรียนสามัญของข้าแล้ว หากว่าพวกเจ้าสนใจพวกเจ้าก็สามารถไปสมัครเข้าร่วมชั้นเรียนอื่น ๆ เช่นการหลอม วิชาโอสถ หรือการฝึกสัตว์อสูรได้เช่นกัน สามวันหลังจากนี้ข้าจะบอกพวกเจ้าอีกครั้งว่าบทเรียนแรกจะใช้สถานที่ใดในการสอน”

เมื่อให้โอวาทกับนักเรียนใหม่ของตนเสร็จสิ้น ซ่างกวนซวี่ก็หันไปกล่าวกับบุรุษมีอายุที่ยืนอยู่ข้างกาย

บุรุษผู้นั้นพยักหน้าก่อนจะพาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตรงไปยังหอพักของนักเรียนใหม่

หอพักของนักเรียนใหม่ถูกแยกออกเป็นหอพักสำหรับบุรุษและหอพักสตรี แม้จะแยกส่วนกันอย่างชัดเจนแต่ก็อยู่ในพื้นที่ที่ติดกัน ในหอพักแห่งนี้ แต่ละห้องจะรองรับนักเรียนได้สี่คนซึ่งจากการจัดกลุ่มของอาจารย์แล้ว ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว หลิงซวงและเยว่ชิงเฉิงได้พักอยู่ในห้องเดียวกัน

ทางด้านเหย่าเซียนเอ๋อร์ องค์หญิงฉีฉี หวังรั่วอี และหลิวหว่านเยียนอยู่ในห้องเดียวกันซึ่งนี่ก็ทำให้เหย่าเซียนเอ๋อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์มากนัก นางไม่ชอบคุณหนูแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์ ส่วนหลิวหว่านเยียนนั้นนางแทบไม่อยากจะมองหน้าเลยด้วยซ้ำ ทว่านางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย

“อวี้โม่ เจ้าคงตั้งใจจะสมัครเข้าชั้นเรียนช่างหลอมสินะ ?”

หลังจากจัดแจงห้องพักเรียบร้อย เยว่ชิงเฉิงก็เอ่ยถาม นางรู้ดีว่าฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์ในด้านการหลอมที่สูงส่งและยังทราบอีกด้วยว่าคุณหนูตระกูลฉินชื่นชอบในด้านนี้ คุณหนูช่างหลอมจึงเอ่ยถามขึ้นมา

ฉินอวี้โม่พยักหน้าในเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาในสถาบันมีชื่อเสียงอย่างโรงเรียนราชสำนักแล้ว นางจึงอยากเข้าชั้นเรียนช่างหลอมของที่นี่เป็นธรรมดา

“ท่านปู่กระซิบสั่งข้ามาว่า ถ้าเจ้าไม่คิดอยากจะเข้าชั้นเรียนช่างหลอมให้ข้าโน้มน้าวเจ้าให้ได้ แต่การที่เจ้ายินดีที่จะเข้าเรียนเองอย่างนี้ช่วยข้าประหยัดเวลาได้มากทีเดียว”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวด้วยความโล่งอก นางกังวลอยู่ว่าฉินอวี้โม่จะไม่เข้าชั้นเรียนช่างหลอมเพราะเคยได้ร่ำเรียนมาจากสมาคมแล้ว

“ท่านปู่บอกว่าการสอนของชั้นเรียนช่างหลอมของที่นี่แตกต่างจากที่สมาคมเรา มีหลายสิ่งที่เจ้าจะเรียนรู้ได้จากที่นี่เท่านั้น ไม่มีสอนที่อื่น ข้าหวังว่าเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก !”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่นคล้ายผู้อาวุโสสั่งสอนคนรุ่นเยาว์ ดูเหมือนคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมจะถูกปรมาจารย์เยว่เหยาผู้เป็นปู่ของนางกำชับมาไม่น้อยเลย นางจึงเน้นย้ำเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำและเพื่อบอกให้ทราบว่านางเข้าใจดี นางต้องการเข้าเรียนศาสตร์แห่งการหลอมตามแบบของโรงเรียนราชสำนักอยู่แล้ว ที่นี่มีเครื่องมือเฉพาะทางมากมาย แม้แต่ผู้เฒ่าเยว่เหยาแห่งสมาคมช่างหลอมก็ยังชื่นชม

— ก๊อก ก๊อก ก๊อก —

เสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าประตู เสี่ยวโร่วน้อยรีบลุกขึ้นไปทำหน้าที่เปิดประตูตามความเคยชิน

“ขออภัย ฉินอวี้โม่พักอยู่ในห้องนี้ใช่หรือไม่ ?”

ที่ด้านนอกประตูนั้นมีสตรีรูปโฉมงดงามผู้หนึ่งยืนส่งยิ้มสดใสมาให้ เมื่อดูด้วยสายตาแล้วคนผู้นี้น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเยว่ชิงเฉิงคือสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี

“แม่นางคือใคร ? ท่านมีธุระกับคุณหนูของข้าหรือ ?”

เสี่ยวโร่วมองจ้องสตรีที่อยู่ด้านนอกด้วยความฉงน สาวน้อยไม่ได้รีบตอบคำถามแต่ถามคำถามกลับไปแทน

“ข้ามาเยี่ยมคุณหนูของเจ้า เจ้าคือเสี่ยวโร่วสินะ”

หญิงสาวผู้นั้นแย้มยิ้มอีกครั้ง แล้วเอ่ยเสียงนุ่มกับเสี่ยวโร่ว

“ทำไมแม่นางถึงทราบได้ล่ะ ?”

เสี่ยวโร่วประหลาดใจหนักขึ้น นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายรู้ชื่อของนางได้อย่างไร

“ฮา ๆ เสี่ยวโร่ว ให้พี่สาวเข้ามาเถอะ”

ฉินอวี้โม่พอจะคาดเดาตัวตนของสตรีผู้มาเยือนได้แล้ว นางจึงสั่งให้เสี่ยวโร่วปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาได้

หญิงสาวที่จะมาหานางทันทีตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนและยังรู้ตัวตนของเสี่ยวโร่วคงไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากคุณหนูสามตระกูลฉิน*–ฉินอี้เพ่ย* ลูกพี่ลูกน้องที่นางยังไม่มีโอกาสได้พบ

“พี่สาว ?”

เสี่ยวโร่วชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจเรื่องราว

“อ่า เสี่ยวโร่วต้องขออภัยคุณหนูอี้เพ่ยด้วย”

เสี่ยวโร่วยิ้มและเปิดทางให้ฉินอี้เพ่ยเข้ามา

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์จะจำข้าได้ด้วย”

ฉินอี้เพ่ยยิ้มใจดีขณะเดินเข้ามาภายในห้อง คุณหนูสามตระกูลฉินมองไปยังผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวที่กำลังยืนอยู่ในมุมหนึ่ง

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์เจ้าทำให้พี่คนนี้คิดถึงจะแย่แล้ว”

ฉินอี้เพ่ยยิ้ม นางไม่ได้ปกปิดความปีติยินดีภายในแววตาแม้แต่น้อย สาวงามโผเข้าไปกอดฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว

เมื่อครั้งยังเล็ก นางเคยเฝ้ามองฉินอวี้โม่ตอนเป็นทารกอยู่บ่อยครั้งตามประสาเด็กหญิงที่เห่อน้องสาวตัวน้อย อย่างไรก็ตาม เรื่องมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางได้ฟังท่านพ่อและท่านปู่บอกเล่าถึงลูกพี่ลูกน้องคนนี้อยู่บ่อย ๆ นางจึงอยากจะพบฉินอวี้โม่สักครั้งให้ได้

หากไม่ใช่เพราะกฎของโรงเรียนราชสำนักที่เข้มงวดมากและไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการ ฉินอี้เพ่ยก็คงจะขอกลับตระกูลไปเพื่อพบหน้าฉินอวี้โม่สักครั้งแล้ว

เมื่อรู้ว่าวันนี้คือวันที่เหล่านักเรียนใหม่จะเข้าพักในหอพัก นางจึงรีบสอบถามผู้ดูแลเพื่อตามหาว่าฉินอวี้โม่พักอยู่ที่ใด เมื่อทราบแล้วก็รีบตรงมาที่นี่ทันที

ฉินอวี้โม่คือหลานสาวคนสุดท้องที่เป็นทายาทสายตรงของผู้นำตระกูลฉิน ซึ่งแน่นอนว่านางเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉินอี้เพ่ย แม้ทั้งสองจะเคยพบกันเพียงแค่ในตอนที่ยังเล็กมาก ทว่าสายสัมพันธ์แห่งเครือญาติที่ใกล้ชิดก็ฝังรากลึกในหัวใจของพวกนาง

“วันนี้เสี่ยวโม่เอ๋อร์ไม่ได้เข้าชั้นเรียนหรือ ?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและความผูกพันจากฉินอี้เพ่ย ฉินอวี้โม่จึงส่ายศีรษะอย่างนุ่มนวล ในใจของนางมีความสุขเป็นอย่างมาก นี่เป็นอีกครั้งที่นางได้สัมผัสกับรสชาติของความรักและห่วงใยจากบุคคลที่มีสายเลือดใกล้เคียง รวมถึงความอบอุ่นจากพี่น้องร่วมวงศ์วาน

“วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเราได้เข้ามาที่นี่ วันนี้ถือเป็นวันหยุดของพวกเรา”

ฉินอี้เพ่ยยิ้มและปล่อยฉินอวี้โม่จากอ้อมกอดก่อนจะดึงให้นางนั่งลง

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ไว้ข้าจะพาเจ้าไปพบกับพี่รองวันหลัง ต่อไปให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่สามนะ เข้าใจไหม ?”

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำ พี่ชายของฉินอี้เพ่ยคือ–ฉินอี้เฉียง เขาเองก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉินอวี้โม่และนางก็เคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง

“หากว่าเจ้ามีปัญหาอะไรในโรงเรียนก็มาหาข้าได้ หากผู้ใดกล้ารังแกเจ้า ข้ากับพี่รองจะจัดการคนผู้นั้นเอง”

ฉินอี้เพ่ยยิ้มและมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเอ็นดู น้ำเสียงและท่าทางของนางเป็นกันเองอย่างมากกับผู้เป็นน้องสาว

ในขณะที่ลอบพิจารณาสาวน้อยตรงหน้าอยู่นั้น ภายในใจของคุณหนูสามตระกูลฉินก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องสาวผู้นี้ช่างงดงามเหลือเกิน ปกติแล้วฉินอี้เพ่ยนับเป็นสตรีรูปโฉมงดงาม ทว่าเมื่อได้อยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ นางก็คิดว่าตนเองนั้นกลับดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้เพ่ยก็ไม่ได้มีความคิดริษยาแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางมีความสุขและภาคภูมิใจเสียมากกว่าที่มีน้องสาวที่งดงามกว่าผู้ใด

“เยว่ชิงเฉิง หลินซวง เสี่ยวโร่ว พวกเจ้าพักอยู่ห้องเดียวกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ ?”

เมื่อสังเกตเห็นเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่ ฉินอี้เพ่ยก็หันไปส่งยิ้มให้และกล่าวถาม

“พี่ฉิน นี่เพิ่งจะสังเกตเห็นพวกเราอย่างนั้นรึ ?”

เยว่ชิงเฉิงกลอกตาหน้ามุ่ย แต่ท่าทางเช่นนั้นดูเป็นการหยอกล้อเสียมากกว่า เมื่อดูจากน้ำเสียงและท่าทางของเยว่ชิงเฉิงแล้ว ฉินอวี้โม่ก็พอจะทราบได้ว่านางรู้จักฉินอี้เพ่ยดี

“ซวงเอ๋อร์ พอได้เจอน้องสาว พี่ฉินก็ดูเหมือนจะลืมพวกเราไปเลย”

กล่าวจบ เยว่ชิงเฉิงก็หันไปเอ่ยเสียงออดอ้อนราวกับเสียใจหนักหนา นางกำลังแสร้งเล่นบทสาวน้อยอาภัพผู้กำลังปรับทุกข์กับหลิงซวง แน่นอนว่าคุณหนูช่างหลอมจอมเซี้ยวกำลังหยอกล้อผู้ที่นางเรียกขานว่า ‘พี่ฉิน’ เล่นเท่านั้น

“ใช่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะเข้าโรงเรียนมาพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแท้ ๆ แต่ตอนนี้นางกลับเย็นชาและลืมเราเสียได้”

หลิงซวง ผู้ที่ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วแทบไม่เคยเห็นนางกล่าวหยอกล้อหรือเล่นตลกกับผู้ใดรับมุกเป็นลูกคู่เล่นบทโศกกับเยว่ชิงเฉิงอย่างไม่น้อยหน้า ทว่าเมื่อได้เห็นนางทำเช่นนั้นแล้วทุกคนก็อดยิ้มขำออกมาไม่ได้

ฉินอี้เพ่ย หลิงซวง และเยว่ชิงเฉิงอายุห่างกันเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น ก่อนที่ฉินอี้เพ่ยจะเข้าโรงเรียราชสำนัก ความสัมพันธ์ของพวกนางทั้งสามถือว่าดีมาก อย่างไรก็ตาม ฉินอี้เพ่ยต้องเข้าโรงเรียนราชสำนักก่อนหน้าพวกนางหนึ่งปีทำให้เมื่อนับจนถึงเวลานี้สตรีทั้งสามก็ไม่ได้พบเจอกันมาเป็นปีแล้ว

“พวกเจ้าล้อข้าเล่นแล้ว ใครจะลืมพวกเจ้าได้ล่ะ ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าและเสี่ยวโม่เอ๋อร์จะเป็นสหายที่สนิทกันถึงเพียงนี้”

ฉินอี้เพ่ยอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางเดินเข้าไปทักทายสหายทั้งสอง

“ชิงเฉิง ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่เห็นหน้าพวกเจ้ามาเป็นปี ฝีมือของพวกเจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ?”

ในพวกนางสามคน แม้ฉินอี้เพ่ยจะแข็งแกร่งที่สุดแต่ก็ไม่ถึงกับห่างชั้นกันมาก ทว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากได้เข้าศึกษาในโรงเรียนราชสำนัก ฝีมือของฉินอี้เพ่ยก็พัฒนารุดหน้าไปไม่น้อยทีเดียว

“ชิ รอให้พวกเราได้ฝึกฝนอยู่ในโรงเรียนสักระยะก่อนเถอะ พวกเราจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเรา”

เยว่ชิงเฉิงตอบก่อนจะยิ้มมุมปากพลางยักคิ้วให้ฉินอี้เพ่ย

ในตอนนี้บรรยากาศภายในห้องพักดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก หญิงสาวทั้งห้าสนทนาพาทีแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ กันอย่างออกรส

.

.