เมื่อบทสนทนาอันแสนครื้นเครงดำเนินไปได้พักใหญ่ ฉินอี้เพ่ยก็เอ่ยขึ้น “เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าจะพาเจ้าเยี่ยมชมโรงเรียน จะได้ถือโอกาสพาเจ้าไปพบพี่รองด้วย ที่สำคัญตอนนี้มีเพื่อนหลายคนเลยกำลังรอเจ้าอยู่หน้าหอพัก”
เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปตามสายตาของฉินอี้เพ่ย ฉินอวี้โม่และหญิงสาวอีกสามคนก็เห็นองค์ชายฉีอวี้ โอวหยางชิงเฟิง รวมถึงสหายคนอื่น ๆ กำลังรอพวกเขาอยู่ที่ชั้นล่าง
นักเรียนใหม่ทั้งสี่คนพยักหน้าก่อนจะเดินตามรุ่นพี่หนึ่งปีอย่างฉินอี้เพ่ยออกไปทันที
“อวี้โม่ พวกเจ้าพร้อมแล้วหรือ ?”
เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งห้าเดินลงมา โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ก็เดินเข้ามาหา
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ฉินอี้เพ่ยและเหล่าคนรุ่นเยาว์แห่งนครไป๋อวิ๋นทั้งหมดดูเหมือนจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงแนะนำลั่วอวิ๋นบุรุษจากเมืองเยว่กวางให้คุณหนูสามตระกูลฉินได้รู้จัก
ฉินอี้เพ่ยพาทุกคนไปยังสถานที่ที่ทางโรงเรียนใช้เป็นที่รับประทานอาหาร ขณะเดียวกันระหว่างทางนางก็แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในโรงเรียนไปด้วย
การจะจบการศึกษาจากที่นี่ได้มีอยู่ด้วยกันสองเงื่อนไข ข้อแรกคือการก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชน และข้อที่สองคือมีรายชื่อเป็นหนึ่งในสิบของ ‘ทำเนียบนภา’ ทำเนียบนภาดังกล่าวนี้เกิดจากการนำความสามารถของนักเรียนทั้งโรงเรียนมาเปรียบเทียบและเรียงลำดับตามความเหนือชั้น โดยผู้ที่จะมีรายชื่อเป็นหนึ่งในทำเนียบนภาได้จะต้องมีความสามารถและความแข็งแกร่งที่โดดเด่นที่สุดเป็นหนึ่งในร้อยของโรงเรียน หรือหากจะกล่าวโดยง่าย ทำเนียบนภาก็หมายถึงนักเรียนผู้มีความสามารถดีเด่นร้อยคนแรกแห่งโรงเรียนราชสำนัก
การจัดอันดับความสามารถของศิษย์แห่งโรงเรียนราชสำนักนั้นมีเป้าประสงค์สำคัญคือ เพื่อเป็นการแสดงเกียรติยศแก่เหล่านักเรียนผู้มีผลการเรียนดีเลิศ และเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักเรียนคนอื่น ๆ ในการพัฒนาฝีมือ ฝึกปรือพลัง และเสริมสร้างศักยภาพของตนเอง ซึ่งนอกเหนือจากทำเนียบนภาแล้ว ในโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้ยังมีการจัดลำดับความเก่งกาจของศิษย์ทั้งหลายอีกสองประเภทหลัก ๆ นั่นก็คือ *‘ทำเนียบพสุธา’*และ ‘ทำเนียบดาวรุ่ง’
ทำเนียบนภาเป็นการจัดเรียงลำดับจากความสามารถของ*‘นักเรียนทั้งหมด’*ในโรงเรียน ดังนั้นถึงแม้จะเป็นเด็กเข้าใหม่แต่ถ้าหากมีความสามารถสูงส่งและมีความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นกว่าศิษย์รุ่นก่อนหน้าได้ พวกเขาก็จะถูกจัดเข้าไปอยู่ในทำเนียบนภาได้เช่นกัน ซึ่งหลักเกณฑ์เดียวกันนี้ก็ถูกนำไปใช้กับ *‘ทำเนียบพสุธา’*ด้วย ทว่าสำหรับ *‘ทำเนียบดาวรุ่ง’*จะมีเงื่อนไขที่ละเอียดอ่อนกว่า
สำหรับผู้ที่จะถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งนั้น มีข้อกำหนดพิเศษคือจะต้องเป็นนักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักไม่ถึงสามปีและมีอายุไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้น ทว่าโดยปกติแล้ว การที่ศิษย์ส่วนใหญ่ที่มีชื่อในทำเนียบดาวรุ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักเรียนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนในปีการศึกษานั้นก็เป็นเพราะผู้ที่เข้าโรงเรียนมามากกว่าหนึ่งปีโดยส่วนมากมักเลือกที่จะเปลี่ยนไปแข่งขันกันในการจัดอันดับอีกสองทำเนียบที่ให้ผลประโยชน์และมีภาษีที่ดีกว่า
แน่นอนว่าเหล่านักเรียนที่มีรายชื่อติดหนึ่งในร้อยของทำเนียบทั้งสามประเภทได้นั้นจะได้รับผลประโยชน์ที่เรียกได้ว่า ‘ยิ่งใหญ่’ และผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่ได้รับนี้ก็จะเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนโดยตรง
บริเวณใจกลางของโรงเรียนราชสำนักเป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า*‘หอคอยวิญญาณ’* ที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งรวมของพลังมายาอันเข้มข้น ความหนาแน่นของพลังมายาภายในหอคอยศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้สูงกว่าภายนอกหลายเท่าตัว หากว่าศิษย์คนใดในโรงเรียนต้องการจะเข้าไปภายในหอคอยวิญญาณจะต้องจ่ายด้วยของสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ*—หินมายา*
โดยปกติแล้วนักเรียนทั้งหลายจะได้รับการแจกจ่ายหินมายาจากทางโรงเรียนคนละสี่ก้อนต่อเดือน หินมายาหนึ่งก้อนนั้นสามารถใช้สำหรับเข้าไปฝึกฝนภายในหอคอยวิญญาณได้เป็นเวลาสองชั่วยาม ส่วนหินมายาทั้งหมดสี่ก้อนต่อเดือนก็หมายความว่า ในเดือนหนึ่ง ๆ เหล่าศิษย์จะสามารถเข้าไปฝึกฝนในหอคอยวิญญาณได้เป็นเวลาแปดชั่วยามซึ่งก็แน่นอนว่าเวลาเพียงแค่นั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการอันไร้ขีดจำกัดของจอมยุทธ์ผู้มุ่งมั่นทั้งหลาย ดังนั้นทางโรงเรียนจึงมีวิธีการหรือช่องทางที่ช่วยเปิดโอกาสให้นักเรียนได้หินมายาเพิ่ม
ตัวอย่างเช่น ภารกิจท้าทายทั้งหลายที่ทางโรงเรียนจัดหาเอาไว้ให้เหล่านักเรียนได้เข้าร่วม ซึ่งหลังจากจัดการภารกิจเหล่านั้นจนสำเร็จลุล่วงแล้ว นักเรียนที่เข้าร่วมก็จะได้รับสิ่งของหลากหลายประเภทเป็นรางวัลตอบแทน ที่บ้างก็เป็นอาวุธหรือสมบัติมีค่า บางครั้งก็เป็นแก่นมายาและแกนชีวิต และบ่อยครั้งที่ของรางวัลเป็นหินมายาจำนวนหนึ่งซึ่งนับว่าไม่น้อยเลย
อย่างไรก็ตามในวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดที่จะได้รับหินมายาจำนวนมากก็คือการมีรายชื่อติดอยู่ในทำเนียบทั้งสามประเภทของโรงเรียนราชสำนัก
นักเรียนที่อยู่ในอันดับที่หนึ่งของ ‘ทำเนียบนภา’ จะได้รับหินมายาเป็นรางวัลตอบแทนจำนวนถึงหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนต่อเดือน ซึ่งก็มีค่าเท่ากับสามร้อยชั่วยามสำหรับการฝึกฝนภายในหอคอยวิญญาณ อันดับที่สองจะได้หินมายาหนึ่งร้อยก้อน และอันที่สามจะได้แปดสิบก้อน ส่วนอันดับที่หกไปจนถึงอันดับที่สิบจะได้ห้าสิบก้อน ขณะที่อันดับที่สิบเอ็ดจนถึงอันดับที่หนึ่งร้อยจะได้สามสิบก้อน
ส่วนผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของ *‘ทำเนียบพสุธา’*จะได้รับหินมายาแปดสิบก้อน ตั้งแต่ที่สองไปจนถึงอันดับที่ห้าจะได้ห้าสิบก้อน ส่วนอันดับอื่น ๆ ที่เหลือเรื่อยไปจนถึงอันดับที่หนึ่งร้อยจะได้หินมายาคนละยี่สิบก้อน
ส่วนทำเนียบดาวรุ่งนั้นจะได้รับผลตอบแทนเป็นหินมายาในจำนวนที่น้อยกว่าสองทำเนียบข้างต้น แต่อย่างไรเสียก็ยังนับว่าดีกว่านั่งรอให้ทางโรงเรียนมอบหินมายาให้เดือนละสี่ก้อนอยู่ดี
โดยผู้ครองที่หนึ่งใน*‘ทำเนียบดาวรุ่ง’* จะได้หินมายาห้าสิบก้อนต่อเดือน จากอันดับที่สองลงไปถึงอันดับที่ห้าจะได้รับหินมายายี่สิบก้อนและจากอันดับที่หกลงไปถึงอันดับที่สิบได้จำนวนสิบก้อน ส่วนอันดับอื่น ๆ ที่เหลือจนถึงหนึ่งร้อยจะได้รับหินมายาตอบแทนเป็นจำนวนห้าก้อนในแต่ละเดือน
หินมายาห้าก้อนนั้นเทียบได้กับเวลาสิบชั่วยามภายในหอคอยวิญญาณ การได้รับเวลาในหอคอยวิญญาณเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกถึงสิบชั่วยามต่อเดือนก็ถือเป็นสิ่งที่วิเศษมากแล้ว ขอเพียงแค่ติดหนึ่งในร้อยของทำเนียบดาวรุ่งก็จะได้หินมายาห้าก้อนมาโดยง่าย ด้วยเหตุนี้ทำให้นักเรียนหน้าใหม่ทั้งหลายต่างก็พยายามพัฒนาตัวเองกันอย่างเต็มที่เพื่อให้อย่างน้อย ๆ ได้มีชื่ออยู่ในทำเนียบดาวรุ่งและจะได้หินมายามาครอบครองเพิ่ม
ฉินอวี้โม่และสหายนักเรียนใหม่ทั้งหลายรับฟังคำอธิบายของฉินอี้เพ่ยอย่างตั้งใจพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ในบางครั้ง ซึ่งเมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งที่มองเห็นส่วนกึ่งกลางของโรงเรียนราชสำนัก ทุกสายตาก็หันไปจับจ้องยังหอคอยสูงที่ตั้งอยู่อย่างเด่นสง่า แม้จะอยู่ไกลถึงเพียงนี้แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความพิเศษของมัน อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูรู้สึกถึงกลิ่นอายและพลังอันแข็งแกร่งที่ถูกปลดปล่อยออกจากหอคอยแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน
‘หอคอยนั่นวิเศษทีเดียว หากว่านายหญิงเข้าไปอยู่สักเจ็ดวัน ท่านก็อาจจะก้าวข้ามไปยังขอบเขตมายาบรรพชนได้’
เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนว่าอสูรมายาผู้น่าเกรงขามจะทั้งประหลาดใจและรู้สึกชื่นชมในความพิเศษของหอคอยวิญญาณอย่างมาก
คำบอกเล่านั้นของซิวทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย การจะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตมายาบรรพชนนับว่ายากแสนยาก แม้ว่าตอนนี้นางอยู่ขอบเขตนภมายาเก้าดาราแล้ว และถึงแม้จะมีพรสวรรค์สูงส่งมากมายแต่ก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกเป็นปีกว่าจะมีโอกาสก้าวไปสู่ขอบเขตนั้นได้ ทว่าซิวกลับบอกว่าใช้เวลาเพียงเจ็ดวันในหอคอยวิญญาณนางก็สามารถทำได้สำเร็จ แม้ว่าอสูรแห่งโชคชะตาของนางจะค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านการคุยโม้โอ้อวดที่เกินจริงไปบ้างแต่ก็มันไม่เคยเอ่ยวาจาเหลวไหล หากมันกล่าวเช่นนั้นก็แสดงว่านั่นมีโอกาสเป็นไปได้จริง ๆ ดังนั้นในตอนนี้ ดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่จะมีเป้าหมายแล้วนั่นคือนางจะต้องพยายามรวบรวมหินมายาให้ได้จำนวนมากเพื่อให้ได้เข้าไปฝึกฝนยังหอคอยวิญญาณสักครั้ง
‘นายหญิง โรงเรียนราชสำนักแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งลึกลับมากมาย ข้าไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดมันถึงดึงดูดผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศในแผ่นดินใหญ่ให้เข้ามาเรียนที่นี่ได้’
ซิวอดไม่ได้ที่จะชื่นชมสถาบันอันเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีดินแดนต้องห้ามนั่นที่หนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีหอคอยแสนวิเศษนั่นอีก โรงเรียนราชสำนักถือเป็นสถานที่ที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“พี่สาม การจะเข้าไปอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งได้จะต้องทำอย่างไรบ้าง หรือว่าพวกเราจะต้องเอาชนะผู้ที่อยู่ในทำเนียบเหล่านั้นเพื่อจะได้ครอบครองอันดับนั้นแทน ?”
เมื่อตั้งเป้าหมายได้เช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามฉินอี้เพ่ยในทันที
“อะไรกัน เสี่ยวโม่เอ๋อร์สนใจทำเนียบดาวรุ่งอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอี้เพ่ยยิ้ม นางเองก็อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งด้วยเช่นกัน แต่นางอยู่ในอันดับที่สาม ส่วนพี่รองของนาง*–ฉินอี้เฉียง*นั้นอยู่ในอันดับที่สามสิบสามของทำเนียบพสุธา
เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของน้องสาว ฉินอี้เพ่ยก็ยิ้มและอธิบายให้ฉินอวี้โม่และเหล่าเด็กใหม่คนอื่น ๆ ฟัง
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ที่ด้านหนึ่งของจัตุรัสของโรงเรียนราชสำนักจะมี *‘ศิลาวิญญาณ’*อยู่ ขอเพียงพวกเจ้าถ่ายเทพลังเข้าไปภายในศิลาก้อนนั้น หากว่าพลังของเจ้าแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเจ้าก็จะถูกจัดเข้าไปอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งทันที”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของฉินอี้เพ่ยก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นกันเป็นอย่างมาก คุณหนูสามตระกูลฉินจึงพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังศิลาวิญญาณที่ใช้จัดอันดับ
“ถ้าพวกเจ้าต้องการดูอันดับของนักเรียนก็ไม่ยาก ที่ด้านหนึ่งของศิลาวิญญาณจะมีรายชื่อของทั้งร้อยคนที่อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งแสดงอยู่ และทุก ๆ ครั้งที่สามลำดับแรกมีการเปลี่ยนแปลง ทางโรงเรียนก็จะมีเสียงประกาศดังแจ้งเตือนให้ทุกคนได้รับทราบด้วย”
เมื่อเดินมาถึงด้านหนึ่งของจัตุรัสของโรงเรียนพวกเขาทุกคนก็สังเกตเห็นก้อนศิลาสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งนี่ก็คือเครื่องมือในการจัดอันดับดาวรุ่งและที่ด้านข้างของศิลาก้อนใหญ่ก้อนนี้ก็แสดงรายชื่อของนักเรียนที่ติดอันดับทั้งหนึ่งร้อยคน
ฉินอวี้โม่ไล่สายตามองรายชื่อเหล่านั้นทันที และเมื่อนางสังเกตเห็นชื่อของฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงพี่สาวพี่ชายทั้งสองของนาง คุณหนูคนสุดท้องแห่งตระกูลฉินก็อดยิ้มออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้
“ว้าว อี้เพ่ยไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงขนาดอยู่ในอันดับที่สามของทำเนียบดาวรุ่งได้ ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
เยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ เองก็กำลังมองดูรายชื่อนักเรียนที่ติดอันดับด้วยเช่นกัน และเมื่อเห็นรายชื่อของสหายผู้เป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนทุกคนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าแค่โชคดีเท่านั้น หลังจากเดือนนี้ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าไปท้าชิงในทำเนียบพสุธาแทน การจะขึ้นอันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมันยากเกินไปสำหรับข้า ยิ่งกว่านั้นก็จะเป็นการลดคู่แข่งในทำเนียบดาวรุ่งให้พวกเจ้าด้วย”
ฉินอี้เพ่ยยิ้มแย้ม ความแข็งแกร่งของนางสามารถขึ้นไปอยู่ในร้อยอันดับแรกของทำเนียบพสุธาได้แล้ว ทว่านางเพียงแต่อยากรอคอยฉินอวี้โม่และสหายนักเรียนใหม่คนอื่น ๆ ให้มาถึงก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ทำเนียบพสุธา
นอกจากรายชื่อของผู้ที่ถูกจัดอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งแล้ว บนศิลาใหญ่ก้อนนี้ยังมีรายชื่อของผู้ที่อยู่ในทำเนียบใหญ่อีกสองประเภทของโรงเรียนราชสำนักแสดงอยู่ด้วย ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่าคนที่อยู่ในอันดับที่หนึ่งของทำเนียบนภาคือผู้มีนามว่า*–ปิงเสวียน* อันดับที่สองคือลั่วเฉิน และอันดับที่สามคือจีหย่ง ขณะที่เพ่ยหลงนั้นเป็นที่หนึ่งของทำเนียบพสุธา โดยมีหลี่จิ่งอยู่ในอันดับสอง ส่วนทำเนียบของดาวรุ่งนั้น ผู้ที่มีชื่ออยู่เป็นคนแรกด้วยบนสุดมีนามว่า*–จีชาง* และถัดลงมาคือหลิวฉาน
“ไหน ๆ พวกเจ้าก็มาถึงที่นี่แล้ว พวกเจ้าก็น่าจะลองทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเองดูนะ ข้าว่าอย่างพวกเจ้าน่าจะติดทำเนียบดาวรุ่งได้ หากได้ติดอันดับมันจะช่วยให้พวกเจ้าสามารถเข้าไปฝึกฝนในหอคอยวิญญาณได้มากขึ้นในทุก ๆ เดือน”
ฉินอี้เพ่ยกล่าว อย่างไรวันนี้ก็มาจนถึงที่นี่แล้ว นางจึงเชิญชวนให้รุ่นน้องหน้าใหม่ทั้งหลายลองทดสอบความแข็งแกร่งเพื่อดูอันดับของตัวเอง
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าเห็นชอบ
“ข้าขอลองก่อน”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มพลางก้าวออกไปด้านหน้าก่อนจะวางมือลงตรงช่องว่างบนศิลาวิญญาณสีดำสนิท
“ตั้งสมาธิให้ดีปลดปล่อยพลังมายาของเจ้าออกมา ถ่ายเทมันเข้าไปในศิลาก้อนนี้แล้วลองสัมผัสถึงพลังของมันดู”
ฉินอี้เพ่ยกล่าวแนะนำโอวหยางชิงเฟิงด้วยรอยยิ้ม
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้ารับคำก่อนจะทำตามวิธีที่ฉินอี้เพ่ยบอก
ในตอนนั้นเองศิลาก้อนยักษ์ก็เรืองแสงสว่างวาบขึ้น ลมหายใจถัดมาตัวเลขก็ปรากฏให้เห็น ขณะเดียวกันรายชื่อของผู้ที่ติดอันดับหนึ่งในร้อยบนก้อนศิลาก็มีการเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อมองเห็นตัวเลขขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนก้อนศิลาสีดำ ทุกคนก็ตกตะลึงไปไม่น้อยก่อนที่ใบหน้าของพวกเขาจะปรากฏรอยยิ้มกว้างอย่างยินดี ไม่คิดเลยว่าโอวหยางชิงเฟิงจะติดเข้าไปเป็นหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งตั้งแต่เข้ามาที่นี่ในวันแรกได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังขึ้นไปถึงอันดับที่ยี่สิบสองได้เลยเช่นนี้อีก นี่ถือเป็นอันดับที่สูงมากเลยทีเดียว
“ชิงเฟิง ข้ายินดีกับเจ้าด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม แม้ว่าผู้ที่อยู่ในร้อยอันดับแรกจะเข้ามาเรียนก่อนคุณชายรองตระกูลโอวหยางผู้นี้ ทว่านักเรียนเหล่านั้นก็ยังไม่ถึงกับเป็นระดับอัจฉริยะของตระกูลใหญ่เช่นเดียวกับเขา จึงนับว่าไม่แปลกนักที่โอวหยางชิงเฟิงจะขึ้นไปเป็นอันดับที่ยี่สิบสองของทำเนียบดาวรุ่งได้ตั้งแต่แรกเข้า
“หลีกไป ข้าขอลองบ้าง”
เยว่ชิงเฉิงรีบพุ่งเข้ามาอย่างกระตือรือร้น นางผลักร่างใหญ่โอวหยางชิงเฟิงออกไปจนทำให้ใบหน้าที่กำลังยิ้มชื่นมื่นของคุณชายรองตระกูลโอวหยางเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงในทันที
“เอาล่ะ ข้าต้องไม่ด้อยไปกว่าเจ้าแน่”
ทว่าเมื่อตัวเลขแสดงอันดับขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็น คุณหนูใหญ่ตระกูลช่างหลอมก็ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง แต่หากมองดูใบหน้างดงามนั้นใช้ชัดเจนแล้วก็จะพบว่าเยว่ชิงเฉิงก็ดูพึงพอใจและมีความสุขอยู่ไม่น้อยเพราะนางได้เป็นอันดับที่สามสิบเอ็ดของทำเนียบดาวรุ่ง
หลิงซวง หลิงเฟิง เหย่าเซียนเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ผลัดกันเข้าไปลองทดสอบพลังกันทีละคน ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ถูกจัดเข้าไปอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งกันได้ทั้งหมด
แม้แต่ลั่วอวิ๋นที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มก็ยังเข้าไปอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งได้ แม้จะอยู่เพียงอันดับที่แปดสิบห้าก็ตาม
ยังเหลืออีกสามคนที่ยังไม่ได้ทำการทดสอบก็คือ องค์หญิงฉีฉี เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่
“ข้ายังไม่ถึงขอบเขตนภมายา ข้าคงติดอันดับไม่ได้หรอก พี่เสี่ยวโร่ว พี่อวี้โม่รีบลองทดสอบเร็วเข้าเถอะ”
องค์หญิงน้อยส่ายศีรษะ นางอยู่เพียงขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดาราเท่านั้น นางยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะมีโอกาสติดอันดับเหมือนเช่นสหายคนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตามเพราะยังอายุน้อย ฉีฉีจึงมีเวลาและโอกาสอีกมากมายที่จะพัฒนาตัวเองจนมีรายชื่อเป็นหนึ่งในการจัดอันดับทั้งหลายของโรงเรียนราชสำนักได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าองค์หญิงน้อยผู้ร่าเริงไม่เคยคิดจะยอมแพ้
“เสี่ยวโร่วเจ้าลองดู”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้เสี่ยวโร่วก่อนจะบอกให้สาวใช้น้อยลองทดสอบ
แม้ว่าจะรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้างแต่เสี่ยวโร่วก็รีบพยักหน้า
สาวใช้น้อยวางมือลงบนศิลาสีดำ ไม่นานนักตัวเลขอันดับก็ปรากฏขึ้น เมื่อได้เห็นตัวเลขนั้นใบหน้านวลก็ระบายยิ้มกว้างจนเต็มหน้าอย่างมีความสุข
“คุณหนูข้าได้อันดับแปดสิบแปด”
“ยอดไปเลยเสี่ยวโร่ว เจ้าทำได้ดีมาก”
ในบรรดาสหายของนาง เสี่ยวโร่วนับว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับท้าย ๆ ยิ่งเมื่อวัดในด้านความแข็งแกร่งทางร่างกายแล้วสาวน้อยถือว่าอยู่ในอันดับรั้งท้าย ทว่านางก็ยังเป็นถึงจอมยุทธ์นภมายาจึงไม่แปลกที่จะติดทำเนียบดาวรุ่งของโรงเรียนราชสำนักได้เช่นกัน
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มดีใจไปกับเสี่ยวโร่ว สาวน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์เจ้าก็ลองดูด้วยเถอะ”
ฉินอี้เพ่ยอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของลูกพี่ลูกน้องผู้นี้มาก ก่อนหน้านี้นางได้ยินมาว่าน้องสาวของนางไม่สามารถฝึกฝนพลังมายาได้ แต่เมื่อเห็นว่านางสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนัก คุณหนูสามตระกูลฉินจึงอยากรู้ว่าเวลานี้ผู้เป็นน้องสาวเก่งกาจเพียงใดแล้ว
โอวหยางชิงเฟิงและสหายที่เหลือเองก็จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยความอยากรู้เช่นกัน จากการต่อสู้ในดินแดนต้องห้าม ฉินอวี้โม่แสดงให้เห็นแล้วว่าในบรรดาสหายรุ่นเยาว์ทั้งหมดนั้นนับว่านางแข็งแกร่งที่สุด พวกเขาจึงใคร่รู้เหลือเกินว่าคุณหนูตระกูลฉินคนงามผู้นี้จะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ในการจัดอันดับนักเรียนของโรงเรียนราชสำนัก
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับแล้ววางมือลงในช่องว่างบนศิลาใหญ่สีดำ ในเมื่อจะได้รับประโยชน์อันดีเยี่ยมจากการติดอันดับ แน่นอนว่าอดีตสาวนักฆ่าผู้มาจากศตวรรษที่ 21 ก็ย่อมไม่ต้องการพลาดโอกาสนี้ไป ส่วนเรื่องที่ว่าจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่เท่าไหร่นั้นนางเองก็อยากจะรู้อยู่เช่นกัน
หลังจากถ่ายเทพลังเข้าไปในก้อนศิลาแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังบางส่วนจากก้อนศิลาที่ส่งตรงเข้ามาสำรวจพลังทั่วทั้งร่างของนาง ทว่าเพียงชั่ววูบเดียวพลังเหล่านั้นก็ถูกก้อนศิลาดึงกลับไปอย่างรวดเร็ว
แสงสว่างปรากฏขึ้นมาพร้อม ๆ กับตัวเลขตัวใหญ่ และในระหว่างที่ทุกคนกำลังเบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวเลขนั้น ผู้ที่อยู่ในโรงเรียนราชสำนักเกือบทั้งหมดก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้น