ตอนที่ 248 : วันชาติ

ในวันที่ 1 ตุลาคมนั้นเป็นวันชาติ ทั้งประเทศจะจัดงานเฉลิมฉลองกัน

เมืองหัวเซี่ยรายล้อมไปด้วยกำแพงสูงหลายร้อยเมตร ด้านในกำแพงนั้นมีชาวหัวเซี่ยเป็นสิบล้านคน ด้วยการที่อยู่ในยุคสัตว์อสูร พวกเขาจึงได้แต่อาศัยอยู่ในเมือง

ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่ทำงานอย่างหนักตลอดทั้งวันเพื่อสร้างความเจริญและพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้รับมือกับสัตว์อสูรได้ แต่พวกเขาก็ไม่ลืมว่าด้านนอกกำแพงนั้นแต่เดิมแล้วคือที่อยู่ของพวกเขา มันคือความหวังของพวกเขา เป็นธรรมดาที่พวกเขาอยากจะทวงคืนดินแดนที่เสียไปและทวงเอาอิสระภาพกลับมา

วันชาตินี้จัดขึ้น 3 วัน มันคือวันหยุดของทุกคน พวกเขาจะได้พักจากการทำงานหนักพร้อมกับดื่มด่ำไปกับงานฉลอง มันจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เป็นสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกคน

เมืองนี้แบ่งเป็นหลายเขตและมีงานจัดขึ้นหลายที่ด้วย

ตามข้างทางนั้นมีต้นไม้สูงรวมถึงกระถางดอกไม้ถูกวางเรียงรายเอาไว้เป็นตัวหนังสือต่าง ๆ มีการแห่มังกรรวมถึงลดราคาสินค้าต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการจุดพลุอีกด้วย

แน่นอนว่าพื้นที่ที่โดดเด่นที่สุดคือลานขนาดใหญ่หน้าศาลาว่าการของเมือง

ลานที่นั่นจุคนได้กว่าแสนคน ตั้งแต่เช้านี้ก็มีคนทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกัน แค่ 9 โมงคนก็เต็มจนยากจะเดินเบียดเสียดเข้าไปได้

เหตุผลที่เป็นแบบนั้นเพราะจะมีงานใหญ่จัดขึ้นที่นี่ มันคือพิธีชักธง จะมีการปราศรัยจากเจ้าเมืองและจะมีขบวนพาเหรดทหาร นอกจากนี้หัวหน้าผู้ตรวจสอบก็จะมาปรากฏตัวที่นี่ เพื่อมอบเหรียญรางวัลต่าง ๆ

แน่นอนว่าเพื่อที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้คน ทางเมืองจึงได้ทำการมอบของขวัญให้กับผู้คน มันมีรางวัลหลายร้อยชิ้น ตราบใดที่มีสายรัดข้อมือระบุตัวตนก็มีสิทธิ์ที่จะลุ้นของรางวัลได้

ทั้งสองข้างหน้าประตูศาลาว่าการนั้นมีเวทีที่สูง 30 เมตร และยาวกว่า 100 เมตร คนสำคัญของเมืองยืนอยู่บนเวทีแห่งนั้น

เวทีทางซ้ายเป็นพื้นที่ของผู้ตรวจสอบและเจ้าหน้าที่ทางการทหาร เวทีทางขวาคือพื้นที่เจ้าหน้าที่ทางการเมือง

ตรงหน้าประตูเมืองนั้นมีถนนที่กว้างกว่า 3 เมตร และยาวกว่า 300 เมตร นำไปสู่ใจกลางลาน

และมีเวทีอยู่ที่ลานซึ่งจะมีนักร้องคอยทำการแสดงให้ผู้ชมได้รับชม เจ้าเมืองจะทำการปราศรัยและให้รางวัลกับทุกคนที่เวทีแห่งนี้

รอบเวทีนั้นพื้นที่ด้านในจะเป็นของคนที่ได้รับการเชิญมาร่วมงาน พวกคนที่ได้รับเชิญจะมีตัวตนที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งคนสำคัญจากตระกูลใหญ่ มีผู้ตรวจสอบระดับสูง, ครูใหญ่ของมหาวิทยาลัยหัวเซี่ย, ผู้อาวุโสจากสำนักลับและคนสำคัญอื่น ๆ ในเมืองต่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รึชาวบ้านทั่วไปนั้นทุกคนต่างก็พากันยืน ไม่มีใครมีสิทธิ์นั่งเลย แม้แต่เจ้าเมืองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

หวังเย่าไปที่ลานแห่งนั้นพร้อมกับทหารรับจ้างของเขา, จ้าวเมิ่งซี, ฟ่านฉิงเหมยและโจวอวิ๋น

ตอนแรกหวังเย่าไม่คิดจะมาที่นี่ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลเมืองนั้นเชิญเขามาที่นี่ เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้จึงได้แต่นำคนของเขาเข้าไปในเขตในที่ถูกเตรียมไว้ ในฐานะแขกรับเชิญ

กลุ่มทหารรับจ้างโลกาและคนอื่น ๆ พากันตื่นเต้นเพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องไปเบียดกับคนอื่น ๆ

หวังเย่าที่อยู่ด้านในนั้นพอใจกับตำแหน่งนี้เพราะสามารถมองเห็นศาลาว่าการได้ชัดเจน ที่นี่มีผู้คนอยู่มากมาย พวกนี้ต่างก็เป็นแขกที่ได้รับเชิญ มันมีหัวหน้าตระกูลหลายสิบคนจับกลุ่มรวมกันและยังมีกลุ่มผู้ตรวจสอบระดับสูงอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญของเมืองต่าง ๆ มาด้วย

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือกลุ่มคนจากสำนักลับ พวกเขาแต่งชุดตามสำนักตัวเอง แต่ละคนนั้นดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร

หวังเย่าแอบมองไปรอบ ๆ และพบว่าผู้อาวุโสตัวแทนของสำนักอู่ตัง, วัดเส้าหลิน, วัดโชโคะคุจิ, เขามังกรพยัคฆ์ , แตรทิเบต, สำนักฉวนเจินและสำนักอื่น ๆ ต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ พวกเขามาพร้อมกับผู้ติดตาม 12 คนรึไม่ก็ศิษย์ของตัวเอง

เขากับคนของเขายังไม่คิดเข้าไปยุ่งกับคนเหล่านั้น เขาแค่มองคนเหล่านั้นและจดจำเอาไว้แต่ในใจ เขารู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้ไม่ธรรมดา

“ผู้ตรวจสอบหวังเย่า ได้ยินชื่อเสียงมานานในที่สุดก็ได้พบกันสักที ฉันชื่อเหยียนเฉิงเยว่” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

หวังเย่ายืนอยู่กับกลุ่มผู้ตรวจสอบ เขาหันกลับมาและพบกับชายหนุ่มที่อายุประมาณ 20 ปี มีเหรียญตราดาว 2 ดวงแทนฐานะผู้ตรวจสอบ 2 ดาว

หวังเย่าหัวเราะออกมาแล้วตอบกลับ “ยินดีที่ได้พบ ผู้ตรวจสอบเหยียนเฉิงเยว่”

หวังเย่าเองก็เป็นผู้ตรวจสอบแต่เพราะเขาเป็นผู้ตรวจสอบหน้าใหม่และยุ่งอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้รู้จักผู้ตรวจสอบคนอื่น ๆ นอกจากเฉี่ยนเจินเฉียนและผู้ตรวจสอบ 4 ดาวทั้งสามคนแล้ว เขาก็ไม่รู้จักใครเลย

เหยียนเฉิงเยว่ยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “ดูสายตาของคนพวกนั้นที่จ้องมองมาที่พวกเราสิ มันดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด”

หวังเย่าเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา เขายิ้มแล้วตอบว่า “แล้วยังไง พวกเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ”

ผู้ตรวจสอบเหล่านี้ส่วนใหญ่อายุน้อยมาก อายุของพวกเขาต่ำกว่า 30 ปีทุกคน ซึ่งผู้ตรวจสอบเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น เป็นธรรมดาที่จะถูกเหล่าลูกศิษย์จากสำนักลับจ้องมอง

เหยียนเฉิงเยว่ไม่คิดว่าหวังเย่าจะตอบกลับแบบนี้ เขาไม่พอใจนิด ๆ ก่อนจะหรี่ตามองหวังเย่า แล้วไม่คิดจะพูดอะไรออกมาต่อ

พวกเขาพูดคุยกันไม่มากและเมื่อเห็นว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้คิดเห็นเหมือนกัน งั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันต่อ

หวังเย่ารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่เปลี่ยนไป เขายิ้มออกมา เขาไม่คิดจะหาเรื่องกับใครเพราะมันดูไม่มีเหตุผล

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะไม่ต้องเข้าร่วมการชุมนุมนี้ก็ได้ เขาไม่ได้ขาดอะไร ปกติแล้วถ้าอยากจะได้อะไรก็พึ่งตัวเองเพื่อแย่งชิงมันมา แล้วทำไมจะต้องไปแข่งขันกับคนอื่นเพื่อแย่งมันมาด้วย ?

ตอนนั้นเองเขาก็ได้ตัดสินใจ โลกนี้วุ่นวายอยู่แล้ว ชีวิตคนเรามีจำกัด หากจะเอาเวลาที่มีไปแย่งชิงกับคนอื่น เขาคิดว่ามันไร้ประโยชน์

เขาตัดสินใจว่าจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันในชุมนุมนี้ เขาจะเป็นแค่ผู้ชม แค่เป็นผู้ชมก็อาจจะได้ประสบการณ์ ไม่จำเป็นต้องลงไปสู้ด้วยตัวเอง ทักษะของสำนักลับเหล่านี้แม้ว่าจะโดดเด่นแต่ก็ไม่ได้เป็นของเขา การฝึกฝนมันอาจจะไม่ได้ทำให้เขาแกร่งกว่าเดิม ดังนั้นการแข่งขันนี้ถึงจะเป็นงานที่ดีแต่เขาก็ไม่คิดจะเสียเวลาด้วย

เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงประโยคหนึ่ง โลกนี้มีเหล้าอยู่เต็มไปหมด เขาไม่ต้องการใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดื่มเหล้า เขาควรเอาเวลาไปทำสิ่งที่มีความหมายจะดีกว่า

เกือบ 10 โมง พิธีเปิดงานก็เริ่มขึ้น

ตอนนั้นเองทุกคนก็พากันโห่ร้องขึ้นมา

บนเวทีหน้าศาลาว่าการมีชายคนหนึ่งก้าวขึ้นมาบนเวที เขาแต่งชุดทางการโดยมีเจ้าหน้าที่, ผู้ดูแลและผู้ตรวจสอบเดินตามหลังเขาขึ้นมา

คนเหล่านี้ก็คือผู้ตรวจสอบของเมืองหัวเซี่ย มีผู้ตรวจสอบ 5 ดาว 1 คน, 4 ดาว 4 คน, 3 ดาว 20 คน ในเวลาเดียวกันก็มีผู้บัญชาการผู้ตรวจสอบภูมิภาคหัวเซี่ย 1 คน บนบ่าของเขามีเหรียญ 6 ดาวประดับอยู่

หวังเย่าคิดว่าเขาคงได้พบกับผู้ตรวจสอบด้านล่างเวทีบ่อยขึ้น สำหรับพวกที่อยู่บนเวทีแล้ว เขาไม่รู้จัก

ตอนนั้นกลุ่มคนที่มาจากศาลาว่าการก็เดินออกมา คนตรงหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคนที่ดูแข็งแกร่ง

ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา ทุกสายตาต่างก็พากันจับจ้องไปที่เขา หวังเย่าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

“นี่คือเจ้าเมืองฟางฉิงหัวสินะ เขาดูสง่าไม่น้อย” หวังเย่าคิด

เจ้าเมืองเดินผ่านถนนที่ยาวกว่า 300 เมตรขึ้นไปบนเวทีตรงใจกลางลาน แต่ละก้าวนั้นมีพลังที่ทำให้ทุกคนสงบลง มันถึงกับทำให้หวังเย่ารู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นภาพลวงตาของขุนเขาที่ตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม

เมื่อขึ้นมาบนเวที ฟางฉิงหัวก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นมา “ดนตรีบรรเลง ชักธงได้”

เมื่อได้ยินแบบนั้นธงที่อยู่ข้างเวทีก็ถูกชักขึ้นตามจังหวะของดนตรี มันสะท้อนไปกับแสงอาทิตย์

ตอนนั้นเมื่อเห็นธงที่ถูกชักขึ้น ทุกคนก็พากันทำความเคารพทันที