ตอนที่ 248 สวีเสี่ยวหลานคงจะเป็นผู้ชนะ

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

เมื่อสวีเสี่ยวหลานได้รับมรดกกระบี่ของตำหนักแห่งสารทแล้ว กลิ่นอายก็ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

“เฮ้อ เป็นอิสระสักที…มีผู้สืบทอดที่ดีปานนี้ ท่านคงจะไปสู่สุขติแล้วกระมัง” ชิวหนี่ทำหน้ารำลึกความหลัง จากนั้นก็ยิ้มเฝื่อนๆ ส่ายหน้าอย่างระอาใจ

ชิวหนี่ไม่พูดอะไรอีก บอกลาพวกอันหลินแล้วไปจากตำหนักแห่งสารท

สวีเสี่ยวหลานลากอันหลินไปยังตำหนักแห่งเหมันต์อย่างกระปรี้กระเปร่า

หลังอันหลินถูกวิชากระบี่ที่ตนภาคภูมิใจที่สุดทำร้ายจิตใจแล้ว สภาพจิตใจก็ไม่ต่างอะไรกับต้าไป๋เลย

หนึ่งคนถูกเกียรติยศแห่งศาสตร์กระบี่ทำร้ายจิตใจ อีกตัวถูกทำร้ายด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย หนึ่งคนหนึ่งสุนัขอยากจะอยู่เงียบๆ

พวกเขาพบกับตงหนานผู้มีผมสีเงินโบกสะบัดในตำหนักแห่งเหมันต์

ตงหนานคนนี้เปิดฉากด้วยประโยค ‘ชีวิตอ้างว้างเหมือนหิมะ ใครกันนะมาจุดประกายชีวิตอันอ้างว้างของข้า’

จากนั้นเขาก็ถูกสวีเสี่ยวหลานผู้ที่งดงามสูงส่งดุจพญาหงส์ดึงดูดใจให้ลุ่มหลง

“อา…เจ้าก็เหมือนเปลวไฟ ทำให้ใจข้าละลาย!”

“แม่นางโฉมงามท่านนี้ เจ้ายอมรับมรดกแห่งน้ำค้างจากข้าหรือไม่”

คำว่ามอบมรดก ทำให้อันหลิน ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์งงเป็นไก่ตาแตก

แต่สวีเสี่ยวหลานกลับส่ายหน้าจริงจัง “ข้าไม่เอา ข้าธาตุไฟ”

“นี่เจ้าไม่เข้าใจเสียแล้ว น้ำแข็งกับไฟไม่ขัดแย้งกัน กลับกันมันเชื่อมโยงกัน หนึ่งสถานที่เมื่อความหนาวเหน็บทั้งปวงจางหาย มันคือก็ไฟ!” ตงหนานอธิบายเสียงหนักแน่น จากนั้นก็ร่ายยาวอีกมากมายก่ายกอง

สวีเสี่ยวหลานถูกหวานล้อมจนยอมรับมรดกแห่งน้ำค้าง น้ำแข็งย้อยหยกลงกลางฝ่ามือ

แม้นางจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดตงหานมากนัก แต่ก็ยึดหลักไม่รับก็เสียดาย ฝืนรับมรดกก้อนนี้…

“สหายสวีเสี่ยวหลาน ขอยันต์ส่งสารหน่อยสิ” ตงหนานพูดด้วยสายตาที่ร้อนรุ่ม

“ไม่เอา วันหน้าหากมีวาสนาต่อกันย่อมพบกันอีก!” สวีเสี่ยวหลานปฏิเสธเด็ดขาดฉับไว

“อา…ข้าชอบผู้หญิงนิสัยร้อนแรงดุจเพลิงอย่างเจ้านี่แหละ!” ตงหนานกุมหน้าอก คิดว่าหัวใจจะละลายอีกแล้ว “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ พบกันครั้งหน้า ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้!”

หลังตงหนานพูดประโยคนี้ด้วยความไร้ยางอายแล้วก็เหาะออกจากตำหนักแห่งเหมันต์ไปอย่างอ้อยอิ่ง

จนถึงตอนนี้ ตงหนานยังไม่คุยกับอันหลิน เจ้าอัปลักษณ์และต้าไป๋เลยสักคำ

พวกเขาถูกมองเป็นอากาศธาตุ…

“ฮ่าๆ ๆ เหมือนว่ามรดกแห่งน้ำค้างนี่จะมีประโยชน์จริงๆ ด้วย หากสู้ท่ามกลางผืนหิมะ เปลวไฟของตัวเองจะไม่ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิต่ำ…” สวีเสี่ยวหลานแสดงอาการปลาบปลื้มใจ

นางคว้ามืออันหลินแล้วเดินไปที่ตำหนักอีกหลัง เรื่องแบบนี้ไม่เลวเลย!

อันหลินนวดคลึงใบหน้าของตัวเอง สุดท้ายก็อดบ่นไม่ได้ว่า “สวีหลาน สุสานมังกรเหมันต์นี่เป็นของครอบครัวเจ้าหรือ”

“ฮะ” สวีเสี่ยวหลานมองอันหลิน จากนั้นก็เข้าใจความหมายของอันหลิน โบกมือแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “คงเพราะข้ามีวาสนากับสุสานมังกรแห่งนี้กระมัง…”

อันหลินพยักหน้าจริงจัง “วาสนา มหัศจรรย์เหนือบรรยาย!”

ทั้งคู่มาถึงตำหนักหลังที่ห้า ตำหนักนี้ชื่อว่า ‘สังวัจฉระ’

“หนึ่งปีมีสี่ฤดู หรือตำหนักนี้จะเกี่ยวข้องกับตำหนักก่อนหน้านี้” สวีเสี่ยวหลานมองตำหนักตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากลอง

“คงจะกระมัง หรือไม่ก็ความรู้ด้านวรรณกรรมของเจ้าของสุสานมังกรมีปัญหา ถึงได้ตั้งชื่อแบบนี้” อันหลินเองก็ไม่แน่ใจ อย่างไรเสียต้องเข้าไปดูถึงจะรู้

ผลักประตูเข้าไป

สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือชายวัยกลางคนที่สง่างามดุจสัตบุรุษ เมื่อเขาเห็นทั้งสองคน ก็เป็นฝ่ายทักทาย “ยินดีต้องรับสหายทั้งสองมาถึงสังวัจฉระ ขณะเดียวกันก็ยินดีกับพวกเจ้าที่ได้รับมรดกวสันต์ คิมหันต์ สารทและเหมันต์ ข้าชื่อเหนียนจวิน”

รู้ว่าพวกเขาได้รับมรดกของทั้งสี่ตำหนัก คนคนนี้อาจเป็นบอสใหญ่จริงๆ ก็ได้

อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานเห็นดังนั้นก็เริ่มแนะนำตัวเอง จากนั้นมองชายตรงหน้าอย่างสงบเสงี่ยม

พวกเขาพอจะคาดเดาเอกลักษณ์ของสุสานมังกรแห่งนี้ได้แล้ว

แต่ละตำหนักจะมีผู้เฝ้าสุสานหนึ่งคน ผู้เฝ้าสุสานจะเลือกผู้สืบทอดมรดกด้วยตัวเอง ขอเพียงพลังชีวิตสุดท้ายของเสิ่นอิงไม่ปฏิเสธคนคนนั้น เช่นนั้นการสืบทอดมรดกจะสำเร็จ ผู้เฝ้าสุสานก็จะได้รับอิสระเช่นกัน

วิธีออกโจทย์ของคนพวกนี้พิลึกกึกกือ จะยกมรดกให้หรือไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ล้วนๆ จุดนี้วิเคราะห์จากความพิลึกของผู้เฝ้าสุสานสี่คนก่อนหน้านี้ได้

เหนียนจวินดูท่าทางเป็นบุรุษที่ค่อนข้างสุขุมเยือกเย็น และค่อนข้างมีมาดของบอส

เมื่อเขาได้ฟังทุกคนแนะนำตัวแล้ว ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “มรดกของตำหนักสี่ฤดูดีกว่ามรดกของตำหนักนักษัตรเยอะโข แต่น่าเสียดายที่นักพรตสองกลุ่มแรกถูกตำหนักแห่งสวรรค์ล่อลวง พลาดการสืบทอดนี้ไป พวกเจ้าต่อต้านความเย้ายวนของรัศมีตำหนักสวรรค์ เดินมาทีละก้าวได้ ดีมาก!”

อันหลินกะพริบตาปริบๆ ที่แท้กลยุทธ์สำรวจแบบปูพรมของเขาได้ผลปานนี้เชียวเหรอ

“แล้วในบรรดาพวกเจ้า ใครได้รับมรดกสี่ฤดูบ้างเล่า” เหนียนจวินมองอันหลิน สวีเสี่ยวหลาน ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ เอ่ยถามอย่างสนใจ

สวีเสี่ยวหลานก้าวออกไปข้างหน้า ยิ้มอย่างเก้อเขิน

เหนียนจวินพยักหน้าแล้วมองทุกคนต่อ

เงียบสงัดไปชั่วขณะ

เหนียนจวินเห็นคนอื่นๆ ไม่แสดงปฏิกิริยา จึงอดถามไม่ได้ว่า “ไม่มีแล้วหรือ”

สวีเสี่ยวหลานพยักหน้า “ผู้ที่ได้รับมรดกมีข้าคนเดียว…”

เหนียนจวินมุมปากกระตุก “เจ้าได้สี่ฤดูไปหมดเลยหรือ”

สวีเสี่ยวหลานหน้าขึ้นสี แม้แต่นางเองก็รู้สึกลำบากใจแล้ว แต่ก็พยักหน้าอยู่ดี

“ช่างเป็นวาสนาที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก…” เหนียนจวินมองฟ้าแล้วรำพัน

ตอนนี้อันหลินอยากจะยุยงเหลือเกินว่า ดูสินายท่าน สวีเสี่ยวหลานได้มรดกไปเยอะแยะมากมายแล้ว มรดกที่เหลือ ให้พวกเราได้ลิ้มลองบ้าง

เหนียนจวินมองสวีเสี่ยวหลานด้วยความชื่นชม “ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะให้คนที่ได้รับมรดกของสี่ฤดูประลองกันสักหน่อย เพื่อค้นหาผู้ชนะคนสุดท้าย ตอนนี้รวมอยู่ที่คนคนเดียวแล้ว”

“อีกอย่าง พลังชีวิตของเสิ่นอิงไม่ปฏิเสธเลย นี่เป็นสี่ฤดูที่สมบูรณ์แบบ…”

“สหายสวีเสี่ยวหลาน หยกวิญญาณสี่ฤดูของตำหนักนี้ยกให้เจ้าแล้วกัน”

เหนียนจวินพูดแล้วหยิบอัญมณีสีมรกต เหลือง แดงและขาว ยื่นให้สวีเสี่ยวหลาน

สวีเสี่ยวหลานมองหยกวิญญาณสี่ฤดูอึ้งๆ ติดอยู่ในภวังค์ความตกใจ

รูปแบบเปลี่ยนจากมรดกเป็นมอบอัญมณีหรือ ความรู้สึกแบบนี้ไม่เลวเหมือนกัน…

อันหลินเบิกตากว้าง มุมปากกระตุก เหมือนมีมีดปักกลางใจ

นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกแล้ว! ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็มอบอัญมณีให้แบบนี้เลยเหรอ!

จากนั้นแววตาของเขาก็เริ่มเลื่อนลอย เราเป็นใคร ทำไมเราต้องมาที่นี่ เรามาที่นี่เพราะอะไร

เขาคิดว่านอกจากตัวเองจะเป็นตัวประกอบที่ทำหน้าที่ตกใจที่นี่แล้ว เหมือนจะไม่มีอะไรให้ทำแล้ว

“ภารกิจของข้าสำเร็จแล้ว แถมยังทำได้ดีมากทีเดียว…” เหนียนจวินหันหน้ามองสวีเสี่ยวหลานแวบหนึ่งด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ต้องไปแล้ว แล้วพบกันใหม่”

พูดจบเหนียนจวินก็เหาะขึ้นฟ้า ไปจากตำหนักหลังนี้

ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์เคยชินกับเรื่องราวแบบนี้แล้ว ใบหน้าจึงเรียบเฉยและยอมจำนนต่อชะตา

“ข้าคิดว่าอัญมณีนี่ชักนำพลังทั้งหมดในร่างกายของข้า!” สวีเสี่ยวหลานนัยน์ตาเป็นประกาย ขณะเดียวกันหยกสี่ฤดูในมือของนางก็ระเบิดลำแสงที่สว่างไสวแตกต่างกันสี่ชนิด

จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที “กริ๊ด! ข้าสัมผัสได้ว่าพลังภายในร่างกายกำลังผสานกัน กำลังเพิ่มพูน…”

อันหลินได้ยินก็เริ่มเป็นห่วง พูดเสียงร้อนรนว่า “เสี่ยวหลาน ทำใจดีๆ ไว้! มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”

ใบหน้าของสวีเสี่ยวหลานแดงเรื่อ ท่าทางดูเจ็บปวด มันทำให้อันหลินปวดหนึบในใจ

ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ก็กรูเข้ามาอย่างเป็นห่วง

เจ้าอัปลักษณ์มีพลังยุทธ์สูงที่สุด เป็นระดับกึ่งแปลงจิต มันกำลังจะตรวจชีพจรให้สวีเสี่ยวหลาน แต่สวีเสี่ยวหลานโบกมือปฏิเสธ

สวีเสี่ยวหลานอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่รู้สึกว่า…ข้าจะทะลวงขั้นแล้ว!”

อันหลิน “…”

ต้าไป๋ “…”

เจ้าอัปลักษณ์ “…”