ตอนที่ 249 หมอดูคนนี้น่าจะหลอกลวง

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

หนึ่งคนสองสัตว์เลี้ยงเงียบงัน มองสวีเสี่ยวหลานที่กำลังจะทะลวงขั้น ในใจเหมือนมีสัตว์เทพนับหมื่นวิ่งทะยาน

อันหลินยิ่งคิดไปกันใหญ่ว่าสุสานนี้เป็นของวงศ์ตระกูลสวีเสี่ยวหลาน ใช้เส้นสายยังสู้นางไม่ได้เลย

พลังปราณฟ้าดินก่อตัวเป็นกระแสวน หลั่งไหลสู่ร่างกายของสวีเสี่ยวหลานอย่างบ้าคลั่ง

สวีเสี่ยวหลานซึมซับพลังปราณอันบริสุทธิ์ รากปราณเริ่มมีพันธุ์ไฟสีทองก่อตัว ผลักดันพลังยุทธ์ของนางอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ทลายพันธนาการบางอย่าง

ตูม! กลิ่นอายหนาแน่นแผ่ออกจากตัวนาง

นางลืมตาขึ้น นัยน์ตาสุกใสหยาดเยิ้มมีดวงไฟสีทองไหลเวียน กระจายความน่าเกรงขามอันอหังการ

“ยินดีด้วยที่ทะลวงขั้นสำเร็จ รีบเลี้ยงข้าวเร็ว!” อันหลินสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายจากสวีเสี่ยวหลาน จึงแสดงความยินดี

สวีเสี่ยวหลานยิ้มบางๆ ดวงตาที่เปลวไฟสีทองยังไม่เลือนหายจ้องมองอันหลิน แววตาทอประกายเย้ายวนใจ งดงามสูงส่ง และเจือความอ่อนโยนเป็นกันเองอย่างปิดไม่มิด

“ข้ามีข่าวดีจะบอกเจ้า ข้าไม่ได้ทะลวงขั้นอย่างเดียวนะ แม้แต่พลังแห่งสายเลือดก็ถูกกระตุ้นแล้ว”

“คงต้องเลี้ยงเยอะๆ หน่อย”

สวีเสี่ยวหลานคิดๆ แล้วพลิกฝ่ามือ ผลไม้สีแดงฉานก็ปรากฏกลางฝ่ามือของนาง ด้านบนมีมังกรไฟตัวจิ๋วรายล้อม “นี่ ผลมังกรไฟ เป็นผลไม้วิเศษขั้นสาม อร่อยมาก ข้าเลี้ยง!”

“คุณพระ ทำไมผลมังกรไฟนี่ดูไม่เหมือนกับที่ข้าเคยกิน” อันหลินเบิกตากว้าง พูดอย่างประหลาดใจ

เขาหยิบผลมังกรไฟที่สวีเสี่ยวหลานให้ กัดคำใหญ่แล้วเริ่มเคี้ยว

ตูม! รสชาติเผ็ดร้อนอย่างยิ่งรุกรานต่อมรับรสของเขาอย่างบ้าระห่ำ ราวกับจะระเบิดอย่างไรอย่างนั้น

“พับผ่าสิ น้ำ ขอน้ำให้ข้าหน่อย!” อันหลินรู้สึกเหมือนมีไฟแผดเผา ไฟกำลังลุกไหม้!

“อย่าดื่มน้ำ กลืนลงท้องไป ปากก็ไม่เผ็ดร้อนแล้ว!” สวีเสี่ยวหลานหว่านล้อม

อันหลินกลืนลงท้องตามคำบอก ปากไม่ร้อนแล้วจริงๆ ด้วย แต่หลังจากนั้น…

“ให้ตายสิ ท้องข้า…ช่วยด้วย!” อันหลินรู้สึกว่ามีไฟลุกโหมภายในช่องท้องของตน ท่าทางเหมือนจะระเบิดให้ได้

สวีเสี่ยวหลานเห็นอากัปกิริยาของอันหลินก็อดขำไม่ได้ เสียงหัวเราะกัวงานดังก้องตำหนัก ฟังดูไพเราะเสนาะหู

ตอนแรกอันหลินหวั่นวิตกมาก แต่หลังท้องร้อนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกถึงเปลวไฟบริสุทธิ์ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ผ่อนคลายสบายตัวขึ้นมาทันที ประหนึ่งเส้นลมปราณตูถูกทะลวง[1]

เขากะพริบตาปริบๆ “นี่มันขมก่อนค่อยหวานหรือ”

สวีเสี่ยวหลานหยิบผลมังกรไฟออกมาลูกหนึ่งแล้วเขมือบ จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “ผิดแล้ว นี่มันเผ็ดก่อนค่อยสบายต่างหาก! ช่วยเพิ่มพลังยุทธ์ได้นิดหน่อยด้วย”

อันหลินพยักหน้า ผลมังกรไฟมีรสชาติเผ็ดร้อนมาก แต่เมื่อกินแล้วสบายกายมาก ทำให้เขาอดอยากกินอีกไม่ได้

เขาจึงรีบลงมือกินต่อ วนเวียนอยู่ระหว่างเผ็ดกับสบาย…

ต้าไป๋ไม่มีหน้าจะมองทั้งคู่แล้ว คิดว่าพวกเขากำลังอวดหมาอยู่

หลังกินผลมังกรไฟและพักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว ทั้งคู่ก็ออกเดินทางอีกครั้ง

“อืม ครั้งนี้เป็นตำหนักพยัคฆ์หรือ” อันหลินมองป้ายหน้าตำหนัก ในใจเดาว่าครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับมรดกของสัตว์

สวีเสี่ยวหลานยิ้ม “ก่อนหน้านี้ได้ยินเหนียนจวินเอ่ยถึงสิบสองนักษัตร ครั้งนี้คงจะเป็นตำหนักที่เกี่ยวข้องกับสิบสองนักษัตรเป็นหลัก”

ทั้งคู่ผลักประตูเข้าไปด้วยความคาดหวัง

ทว่าสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ ภายในตำหนักว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย

“เอ๊ะ เสือล่ะ” อันหลินพูดเสียงแปลกใจ

เขาคิดว่าในตำหนักพยัคฆ์ น่าจะสัตว์ประหลาดอย่างเสืออะไรทำนองนั้นเฝ้าอยู่จึงจะถูก

“เฮ้อ ท่าทางมรดกจะถูกเอาไปแล้ว” สวีเสี่ยวหลานผิดหวังเล็กน้อย

ทุกคนสำรวจภายในตำหนักอย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบเจออะไรอยู่ดี

พวกเขาไม่มีทางเลือก จำต้องเดินไปยังตำหนักถัดไป

ตำหนักเถาะ ภายในก็ว่างเปล่าเช่นเดิม

ตำหนักมะโรง ตำหนักมะเส็ง ตำหนักมะเมีย…

เดินทั่วตำหนักทั้งสิบสองนักษัตร แต่ก็ว่างเปล่าทั้งหมด

สุดท้ายมีเพียงตำหนักนักษัตรที่มีรูปสลักทั้งสิบสองนักษัตรสูงครึ่งตัวคนอยู่ ดูสมจริงราวมีชีวิต ท่าทางมีราคามากทีเดียว อันหลินลองย้ายพวกมันใส่แหวนมิติ แต่ก็ล้มเหลว

“กวาดทั้งสิบสองนักษัตรไปเกลี้ยงเลย นักพรตสองกลุ่มแรกสุดยอดเกินไปแล้วกระมัง สุดยอดขนาดนี้ยังถูกตำหนักแห่งสวรรค์ล้มอีกหรือ” อันหลินลูบคาง ใบหน้าฉายความไม่เข้าใจ “หากว่าสุสานมังกรแห่งนี้ ต้องการตามหาผู้ที่มีวาสนามาสืบทอดวิชาของมันละก็ เช่นนั้นคนที่มีวาสนาในการสืบทอดนักษัตรเหล่านี้ถูกกำจัดที่นี่ ก็เสียการสืบทอดไปเปล่าๆ ไม่ใช่หรือ”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือ ความจริงแล้วคนเฝ้าสุสานพวกนั้น ก็เป็นผู้สืบทอดที่ดีมากเหมือนกัน” สวีเสี่ยวหลานพูดยิ้มๆ

“มีเหตุผล…หมายความว่ามรดกก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อย ความจริงแล้ว ‘ผู้ที่มีวาสนา’ พวกนั้นไม่จำเป็นเลย หากว่ามีมรดกที่แท้จริง มรดกที่สมบูรณ์ของอิงหลงเสิ่นอิงจริงๆ ละก็ อาจจะอยู่ที่นั่น” เขาเงยหน้ามองตำหนักที่แผ่รัศมีสีขาว ดึงดูดใจผู้คน กล่าวว่า “ตำหนักแห่งสวรรค์”

ทั้งคู่มองตำหนักหลังนั้น เมื่อเห็นรัศมีแล้ว ความรู้สึก ‘อยากไปเหลือเกิน’ ก็โหมซัดในใจพวกเขาอย่างรุนแรง

“พวกเราไปยกเค้าของดีของตำหนักอื่นๆ ที่เหลือก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” อันหลินไม่กล้าจ้องตำหนักแห่งสวรรค์อีก เอ่ยปากพูดกับสวีเสี่ยวหลาน

ทั้งสองจึงเดินหน้าต่อไปด้วยประการละฉะนี้

มายังสถานที่ซึ่งมีชื่อว่าตำหนักแห่งชะตา

ตำหนักหลังนี้พิลึกยิ่งนัก พืชพรรณประหลาดมากมายเจริญงอกงามอยู่ข้างใน เช่นต้นไม้สีทอง ดอกไม้ที่ใหญ่กว่าต้นไม้ หญ้าที่เปล่งแสงหลากหลายสีสัน ล้วนเป็นพันธุ์ไม้ที่อันหลินไม่เคยพบเจอมาก่อน แม้แต่ในหนังสือภาพวัตถุล้ำค่าก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน

คลื่นพลังปราณของพวกมันรุนแรงอย่างยิ่ง ชัดเจนว่าไม่ใช่ของธรรมดา

หรือนี่จะเป็นมรดกที่เกี่ยวข้องกับพืชพันธุ์ประหลาด

อันหลินสะกดกลั้นความสงสัย เดินเข้าไปมามวลไม้

จากนั้นเขาก็เห็นชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีโต๊ะวางอยู่ข้างหน้า ด้านบนมีของแปลกๆ อย่างกระดองเต่า เงินทองแดงและดอกยาร์โรววางอยู่

“หนุ่มสาวผู้มีวาสนา ยินดีต้อนรับสู่ตำหนักแห่งชะตา ข้าคือมิ่งเหล่า ที่นี่ให้บริการทำนายดวงชะตาที่ยุติธรรม แม่นยำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเจ้าจะลองดูหน่อยไหม” ชายชราผมขาวยิ้มแย้ม กล่าวอย่างเปี่ยมด้วยเมตตา

อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานต่างก็ชะงัก ดูดวงงั้นหรือ!

“ไม่มีมรดกอื่น การทดสอบหรือกิจกรรมเกี่ยวกับสมบัติหรือ” อันหลินกะพริบตาปริบๆ ถามด้วยความสงสัย

มิ่งเหล่าหัวเราะชอบใจ “ตำหนักแห่งชะตามีเพียงบริการทำนายดวงชะตาเท่านั้น ข้าเป็นคนที่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ไม่มีสมบัติอะไรจะให้หรอก มีเพียงทำนายชะตา มีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นถึงสามหมื่นหินวิญญาณ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าดูเรื่องอะไร…”

อันหลินมุมปากกระตุกน้อยๆ ให้ตายสิ หลอกใครกันน่ะ เป็นคนที่อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่งแล้ว จะเอาของไร้ค่าอย่างหินวิญญาณไปทำอะไร!

ขณะที่เขากำลังตัดสินใจว่าจะหันหลังจากไปดีไหม สวีเสี่ยวหลานก็เดินเข้าไปถามอย่างยิ้มแย้มแล้วว่า “งั้นดีเลย มิ่งเหล่าช่วยทำนายให้ข้าทีว่า ในตำหนักแห่งสวรรค์มีภัยอันตรายอะไร”

“เอ๊ะ แม่หนูช่างฉวยโอกาสเก่งเสียจริง แต่วิธีถามของเจ้าผิดแล้ว ข้าทำนายดวงชะตาบุคคล มีเป้าหมายเป็นคน ไม่ใช่สถานที่ ข้าสามารถดูได้ว่า ‘เจ้า’ ไปตำหนักแห่งสวรรค์แล้วจะมีภัยอันตรายอะไรได้” มิ่งเหล่าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

สวีเสี่ยวหลานคิดว่า อันตรายที่ตนพบเจอ อาจเป็นอันตรายที่อันหลินต้องเจอด้วยเช่นกัน มันไม่ต่างกันมาก จึงพยักหน้า “ก็ได้ ท่านทำนายเถอะ!”

“จ่ายเงินก่อน เรื่องนี้สามหมื่นหินวิญญาณ” มิ่งเหล่าแบมือ

อันหลิน “…”

นี่เป็นนักพยากรณ์ที่ไม่มีสง่าราศีมากที่สุดที่เขาเคยเจอ

สวีเสี่ยวหลานเบะปาก หยิบหินปราณสามก้อนออกจากแหวนมิติแล้วยื่นให้ชายชรา

มิ่งเหล่าใช้ด้ายสีขาวเชื่อมต่อกับข้อมือของสวีเสี่ยวหลานแล้วหลับตาลง กระดองเต่ากับเหรียญอักขระบนโต๊ะเริ่มเคลื่อนไหว

ครู่หนึ่งเขาก็มองสวีเสี่ยวหลานอย่างตกตะลึง เอ่ยถามว่า “เจ้ากับตำหนักแห่งสวรรค์มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นนัก สายใยที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นเหมือนกำแพงที่ไม่อาจทำลายได้ ขัดขวางการมองเห็นของข้า เจ้า…เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ามังกรเสิ่นอิง”

สวีเสี่ยวหลานกะพริบตาปริบๆ “ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องนี่นา จะว่าไปข้าจะมีอันตรายอะไรในตำหนักแห่งสวรรค์กันแน่”

มิ่งเหล่าส่ายหน้าช้าๆ “ไม่อาจทราบได้…”

สวีเสี่ยวหลาน “…”

อันหลิน “…”

“ข้าขอเงินคืนได้ไหม” สวีเสี่ยวหลานถามด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์

อันหลินก็มองชายชรานิ่งๆ เช่นกัน เจ้านี่ต้องหลอกแน่ๆ

ให้ตายสิ ทำนายไม่ได้สักอย่างยังมีหน้าเก็บเงินอีกเหรอ เป็นโจรสินะ!

มิ่งเหล่าถูกทั้งสองจ้องจนเก้อเขิน รีบชี้แจงเป็นพัลวันว่า “ข้าต้องใช้พลังมหาศาลในการดูดวงชะตา หินวิญญาณเหล่านี้ใช้เพิ่มพลังให้ข้า ฉะนั้นจึงคืนไม่ได้ หากคืนครั้งหน้าข้าก็ดูดวงไม่ได้แล้วน่ะสิ…”

มิ่งเหล่าพูดด้วยน้ำใสใจจริง นัยน์ตาแดงก่ำ ทำให้ความโกรธของอันหลินกับสวีเสี่ยวหลานลดลงไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อย… เอาง่ายๆ เลย ช่วยดูหน่อยว่าข้าจะมีแฟนเมื่อใด”

ตอนแรกอันหลินอยากพูดว่า ให้มิ่งเหล่าช่วยดูให้ว่าเขาจะพบเจออันตรายอะไรที่ตำหนักแห่งสวรรค์ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นคำพูดเหลวไหลเหมือนสวีเสี่ยวหลาน จึงเลือกเรื่องที่ค่อนข้างง่าย

“แฟนคืออะไร” มิ่งเหล่ากะพริบตาปริบๆ

อันหลินได้สติ รีบแก้ไขว่า “ดูให้หน่อยว่าข้าจะมีคู่เมื่อใด!”

สวีเสี่ยวหลานหน้าขึ้นสีเมื่อได้ฟัง เบนสายตามองที่อื่น

มิ่งเหล่าหัวเราะร่วน เรื่องนี้เขาถนัด พูดขึ้นมาทันทีว่า “ได้เลยๆ เรื่องนี้จ่ายแค่หนึ่งหมื่นหินวิญญาณ”

อันหลินพยักหน้า ยื่นหินปราณก้อนหนึ่งให้มิ่งเหล่า

มิ่งเหล่าใช้ด้ายสีขาวพันรอบข้อมืออันหลินแล้วเริ่มพยากรณ์

ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาทันที

…………………….

[1] เส้นลมปราณตู เป็นเส้นลมปราณสองเส้นที่เกี่ยวข้องกับการยืดอายุ