ตอนที่ 288 วันที่สิบหกอีกแล้ว

แม่สาวเข็มเงิน

เจียงป่าวชิงกลับไปถึงห้องยาตอนที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลง

ก่อนที่นางจะมาอยู่ที่นี่ หมู่บ้านนี้ไม่เคยมีร้านขายหยูกขายยามาก่อน พวกสมุนไพรหรือเครื่องปรุงยาต่าง ๆ ถูกสุมกองไว้ในอุโมงค์ใต้ดินจนมันขึ้นราและเน่าเสียไปหลายส่วน ในตอนนั้น เจียงป่าวชิงใช้เวลาอยู่นานกว่าจะคัดแยกเครื่องปรุงยาที่ยังดีอยู่ออกมาได้

กู่ฟู่กุ้ยเห็นว่าไอ้เด็กนี่กำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เขาจึงสั่งให้คนหาบ้านหลังเล็กให้เจียงป่าวชิงได้อยู่ตามลำพัง เจียงป่าวชิงจึงจัดเก็บบ้านนั้นให้ดีและทำเป็นร้านขายยาเสียเลย นอกจากนี้ ยังมีห้องสองห้องที่นางเปลี่ยนมันเป็นห้องพักสำหรับตัวเองหนึ่งห้อง สำหรับเจียงฉิงหนึ่งห้อง และเหลือไว้เป็นห้องเล็ก ๆ อีกห้องแล้วเรียกคนในหมู่บ้านมาช่วยสร้างเตาไฟฟืนให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการทำอาหารในบ้าน

เจียงป่าวชิงมองหน้าต่างห้องครัวที่เปิดตะเกียงส่องสว่างจากที่ไกล ๆ และคิดว่าเจียงฉิงคงกำลังทำอาหารอยู่

ทันทีที่นางเข้าไปในบ้าน กลิ่นหอมจากในห้องครัวก็เตะจมูกโดยตรง

“ข้ากลับมาแล้ว” เจียงป่าวชิงตะโกนไปทางห้องครัว

ไม่นานเสียงของเจียงฉิงก็ดังออกมาจากในครัว “พี่ป่าวชิง กลับมาแล้วรึ ? รอประเดี๋ยวนะ ข้ากำลังต้มโจ๊กข้าวฟ่างใส่พุทราแดง จะเสร็จแล้วจ้ะ”

เจียงป่าวชิงตอบรับไป ก่อนจะนำกล่องยาไปเก็บที่ห้องยา ไปล้างมือและออกไปช่วยในครัว

ไม่นาน ทั้งสองคนก็ทำอาหารเย็นเสร็จ เจียงฉิงยกโจ๊กข้าวฟ่างใส่พุทราจีนถ้วยใหญ่มาวางบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิง พร้อมทั้งพูดเสียงเบา “พี่ป่าวชิง พรุ่งนี้เป็นวันที่ไอ้นั่นของพี่จะมา พี่กินโจ๊กเพื่ออุ่นท้องก่อนเถอะนะ”

เจียงป่าวชิงลูบศีรษะเจียงฉิงเบา ๆ “อืม ลำบากเจ้าอีกแล้ว”

ใบหน้าเล็กของเจียงฉิงแดงก่ำทันที เด็กสาวส่ายหน้าและพูดขึ้น “ข้าสามารถช่วยพี่ป่าวชิงได้ จะพูดว่าลำบากได้ยังไงกันล่ะ ? อีกอย่าง ทุกครั้งที่ไอ้นั่นของพี่มา พี่จะปวดท้องน้อยทรมานตลอด ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วย แต่กลับไม่สามารถช่วยแบ่งเบาหรือช่วยอะไรพี่ป่าวชิงได้…”

อาจเป็นเพราะตอนที่ตกลงไปในน้ำเมื่อสามปีที่แล้วหรืออาจเป็นเพราะเมื่อก่อนร่างกายของเจียงป่าวชิงอ่อนแอเกินไป ประจำเดือนของนางมาครั้งแรกเมื่อต้นปีนี้ และทุกครั้งที่มาก็มักปวดตรงบริเวณท้องน้อยมากจริง ๆ

ครั้งแรกที่เจียงฉิงเห็นอาการเป็นเช่นนี้ นางก็คิดว่าเจียงป่าวชิงเป็นโรคอะไรเสียอีก นางร้องไห้คิดจะออกไปนอกภูเขาเพื่อไปตามหมอมาดูเจียงป่าวชิง จนเจียงป่าวชิงถึงกับทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว สุดท้ายก็ต้องให้ความรู้มากมายกับเจียงฉิงในด้านนี้ ถึงจะเกลี้ยกล่อมสาวน้อยให้หายตื่นตกใจได้

เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้เป็นช่วงที่จะต้องมีประจำเดือนอีกแล้ว เจียงป่าวชิงก็ลูบท้องตัวเองโดยไม่รู้ตัว และคิดว่าพรุ่งนี้คงจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากอีกหน

ในยุคสมัยเก่าไม่มี “ผ้าอนามัย” แต่ใช้สิ่งที่เรียกว่า “สายรัดประจำเดือน” แทน ซึ่งมันคือสายรัดที่เย็บด้วยผ้าฝ้ายและยัดด้วยขี้เถ้าจากพืชเพื่อช่วยในเรื่องซึมซับ

อันที่จริง เจียงป่าวชิงก็ไม่ได้อยากจะอะไรมาก ทว่าสิ่งที่นางทนไม่ได้มากที่สุดก็คือการที่สายรัดประจำเดือนนี้ จะต้องถูกล้างเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำ ๆ

เงินที่เจียงป่าวชิงเก็บออมไว้ ส่วนใหญ่จะถูกนำติดตัวลงจากภูเขาเพื่อไปซื้อผ้าฝ้ายสะอาด นางเย็บสายรัดประจำเดือนด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็มั่นใจได้ในความสะอาดและสุขอนามัยที่ดี

เรื่องพวกนี้ถือว่ายังดี ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือทุกครั้งที่มีประจำเดือน ท้องน้อยของนางมันไม่รักดี มักเจ็บเหมือนถูกใครบางคนคอยตีด้วยค้อนเสียทุกทีไป แต่โชคดีที่เจียงป่าวชิงเฝ้าอยู่ที่ร้านยา อยากหายาหรือบำรุงร่างกายอะไรก็สะดวก สองเดือนนี้อาการจึงเบาลงหน่อย

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดในใจว่าขอให้พรุ่งนี้ไม่เกิดเรื่องราวอะไรในหมู่บ้าน นางจะได้นอนพักผ่อนอยู่บนเตียงอย่างมั่นคงและปลอดภัย

……

ไม่รู้ว่าเจียงป่าวชิงซวยมากหรืออะไรกันแน่ ฟ้าถึงได้ไม่เป็นดั่งใจคิดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้านในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น ฝนยังจะมาตกเฉอะแฉะด้วย

อากาศหนาวชื้นแบบนี้ทำให้เจียงป่าวชิงรู้สึกปวดท้องมากกว่าเดิม แม้จะดื่มยาลดอาการปวดไปแล้วสองถ้วยก็ยังไม่ได้ผล จนตอนนี้ใบหน้าเล็กของนางซีดเผือดจนดูน่ากลัวแล้ว

โชคร้ายไปอีกเมื่อจิ้นหนิวผู้เป็นลูกน้องของหัวหน้าจิ้น มาเคาะประตูเรียกให้เจียงป่าวชิงไปตรวจดูอาการใครบางคน เรื่องราวที่เกิดขึ้นคือฝนตกถนนลื่น ลูกน้องคนหนึ่งของหัวหน้าจิ้นหกล้มลงตอนที่เขาเดินอยู่ในเส้นทางบนภูเขา ดูเหมือนว่าแขนกับกระดูกซี่โครงจะหัก สถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนมาก คนเจ็บไม่ควรเคลื่อนไหวร่างกาย พวกเขาจึงทำได้เพียงมาเรียกให้เจียงป่าวชิงไปช่วยดูอาการ

เจียงฉิงกัดฟันพูดออกไป “พี่ชายข้าป่วย ไปตรวจดูอาการไม่ไหวหรอก”

จิ้นหนิวสีหน้าขมขื่น “น้องเจียง เจ้าอย่าดื้อได้ไหมเล่า พี่น้องเราคนนึงกำลังแย่ เจ้าต้องเรียกให้พี่เจ้าไปช่วยสิ เอ๊ะ! แล้วทำไมเมื่อวานข้าเห็นสีหน้าของหมอเจียงยังดี ๆ อยู่เลยล่ะ” ไม่พูดเปล่า เขารีบหยิบลูกอมออกมาจากในกระเป๋าเสื้อและยัดใส่มือเจียงฉิง “ไป ไป ไป ไปกินลูกอมไป! ข้าจะเข้าไปคุยกับหมอเจียง”

เจียงฉิงยืนกราน นางขวางจิ้นหนิวอยู่ตรงนอกประตูและยัดลูกอมกลับเข้าไปให้จิ้นหนิวตามเดิม ไม่ว่าจะยังไงนางก็ไม่ให้เขาเข้าไป

“ไม่ได้! เจ้าเข้าไปไม่ได้!”

“ได้! เจียงฉิง เจ้าเก่งนักใช่ไหม ? งั้นข้าจะไปตามหัวหน้าสามมาที่นี่!” จิ้นหนิวเริ่มมีน้ำโห เขาถลึงตาใส่เจียงฉิงแล้วรีบหมุนตัววิ่งออกไปท่ามกลางสายฝน

เจียงฉิงเองก็กลัวหัวหน้าจิ้น แต่นางรู้ว่าร่างกายของพี่ป่าวชิงของนางสำคัญกว่า เจ็บขนาดนั้น แถมยังเพิ่งดื่มยาแก้ปวดแต่สีหน้ากลับซีดเหมือนผี ต่อให้นางสามารถยืดเวลาได้นิดเดียวนางก็เอา

อย่างน้อย ๆ ให้พี่สาวของนางได้ผ่อนคลายสักนิดก็ยังดี

ผ่านไปไม่นาน จิ้นหนิวก็พาจิ้นเทียนหยู่มาที่นี่

สีหน้าของจิ้นเทียนหยู่ค่อนข้างหงุดหงิด เขาถลึงตาใส่เจียงฉิง “พี่ชายเจ้าล่ะ ?”

เจียงฉิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ข้าบอกแล้วไงว่าเขาป่วย…”

จิ้นเทียนหยู่มีท่าทีฟึดฟัดไม่พอใจมาก เขาขมวดคิ้ว หันหน้าไปถามจิ้นหนิวว่า “วันนี้วันที่เท่าไหร่ ?”

จิ้นหนิวชะงักไป เขาพยายามเค้นเสียงตอบหัวหน้าสามของเขา “วันที่สิบหกเดือนเจ็ดขอรับ…”

“วันที่สิบหกอีกแล้ว” จิ้นเทียนหยู่พึมพำด้วยสีหน้าอ่านยาก “ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้มาสองสามเดือนแล้ว ไอ้น้องเจียงนี่ป่วยทุกวันที่สิบหกเลยรึ ?”

จิ้นหนิวมองหัวหน้าสามของเขาอย่างงุนงง “หัวหน้าสาม ท่านกำลังพูดถึงอะไรขอรับ ?”

จิ้นเทียนหยู่ไม่สนใจจิ้นหนิว เขาจะเข้าไปในบ้านแต่เจียงฉิงกลับยื่นแขนสั่น ๆ มาขวางไว้อยู่ตรงหน้าจิ้นเทียนหยู่ แต่ก็ยังแอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง “หัวหน้าสาม ไม่ได้นะขอรับ… เข้าไปไม่ได้”

อย่างไรเสียจิ้นเทียนหยู่ก็เป็นโจร เขาหิ้วเจียงฉิงขึ้นมา เดิมทีนึกอยากจะกระแทกเจียงฉิงลงไปบนพื้น แต่เขาชะงักเล็กน้อยและคิดว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นน้องชายของเขาคนหนึ่ง สุดท้ายเขาโยนเจียงฉิงไปกระแทกบนตัวจิ้นหนิวแทน

จิ้นหนิวอุทานออกมาเบา ๆ และรีบใช้แขนรัดเจียงฉิงที่ยังคงดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขา “แหม เจ้ากระต่ายน้อย กระแทกซะข้าเจ็บมากเลยเชียวนะ… เฮ้ ๆ ๆ อย่าดิ้นเซ่! ให้หัวหน้าสามเข้าไปคุยกับหมอเจียงนั่นแหละดีแล้ว เจ้าไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขาหรอก”

ถึงอย่างไร ตัวจริงของเจียงฉิงก็เป็นเด็กผู้หญิงที่อายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น นางเคยเป็นขอทานตัวน้อยมาหลายปี ร่างกายนางจึงผอมแห้งแรงน้อย และที่สำคัญ นางดูเหมือนอายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ นางจะต่อต้านแรงของผู้ชายอายุเกินสิบแปดได้อย่างไร

เจียงฉิงทำได้เพียงตะโกนอย่างดิ้นรนและจนปัญญา “พี่ป่าวชิง! พี่ป่าวชิง!”

จิ้นเทียนหยู่เข้าไปในห้องของเจียงป่าวชิง “เหล่าจิ่วตกจากบนภูเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกซี่โครงกับแขนของเขาคงจะหัก และตอนนี้เขาก็เจ็บจนสลบไปแล้ว น้องเจียง แม้เจ้าจะป่วยแต่ถ้าเดินได้เจ้าก็น่าจะ…”

จิ้นเทียนหยู่ยังร่ายยาวไม่ทันจบ เขาก็ตกตะลึงอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออก

เขาเห็นเจียงป่าวชิงนั่งอยู่บนเตียง คล้ายกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งมัดผมเสร็จ ใบหน้าเล็กซีดขาวราวกับคนตาย สีหน้าก็ดูเหี่ยวเฉามากเช่นกัน