บทที่ 257: ฉันจะมอบหมายภารกิจให้คุณ
บนเนินเขา เด็กหนุ่มสองคนยืนประจันหน้ากันอยู่ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น หลังจากนั้นร่างอวตารของเหล่าเทพเจ้าโบราณที่ต่อสู้อยู่ก็ค่อย ๆ สลายหายไป
ร่างกายของโรเอลอยู่ในสภาพทรุดโทรมจนน่าสยดสยอง ทว่าบนใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่ริมฝีปาก เด็กหนุ่มนั้นอารมณ์ดีมาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ทำสิ่งที่สำคัญสำเร็จ
ในตอนที่โรเอลใช้คาถาเวทหัวใจแห่งธารน้ำแข็ง เขามีเวลาเหลืออีกไม่ถึงยี่สิบวินาที ย้อนกลับไปในตอนนั้น มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่างเกี่ยวกับพลังการฟื้นคืนชีพอย่างต่อเนื่องของโร แอสคาร์ด เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้สองทางในการกำจัดเงานั่นเอง
หนึ่งคือกำจัดแสงทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ออกไป ตามสุภาษิตที่ว่า ‘เงาไม่สามารถดำรงอยู่หากขาดซึ่งแสงสว่าง’ อีกประการหนึ่งก็คือแนวคิดที่ไม่มีอยู่ในทวีปเซีย ‘แสงที่ไร้เงา’
วิธีแรกนั้นง่ายกว่ามากสำหรับโรเอล เขามีหลายวิธีมากมายที่จะบรรลุผลลัพธ์ดังกล่าว เช่นหมอกสีขาวที่ร่ายออกมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มไม่ใช่คนที่จะทิ้งโอกาสให้สูญเปล่าไปกับแผนการเพียงแผนเดียว ดังนั้นเขาจึงเตรียมการสำหรับความเป็นไปได้อีกอย่างไว้ด้วย
การกำจัดเงาทั้งหมดนั้นยากกว่ามาก เพราะมันยังเป็นที่ถกเถียงว่าเงานั้นยังคงมีอยู่ในเมื่อไม่มีแสงหรือไม่ แต่การเกิดขึ้นของแสงย่อมส่งผลให้เกิดเงาขึ้นตามธรรมชาติ
แล้วโรเอลจะบรรลุผลลัพธ์ที่เขาต้องการได้อย่างไร?
ทุกคนในทวีปเซียไม่น่าจะมีคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับคำถามนี้ มีคาถาเวทมากมายที่ใช้เงา แต่ไม่มีคาถาเวทไหนที่สามารถกำจัดเงาได้ เพราะเงานั้นไม่ได้เกิดมาจากพลังเวท
แทบไม่มีการวิจัยใด ๆ ในทวีปเซียเกี่ยวกับมัน แต่มีบางอย่างในอดีตชาติของโรเอล ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ดังกล่าวได้
โคมไฟไร้เงา
มันคือสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์ในชาติก่อนของโรเอล ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในการผ่าตัด ทฤษฎีนี้มีเบื้องหลังการทำงานของมัน เน้นไปที่การใช้แหล่งกำเนิดแสงหลาย ๆ แหล่งจากมุมต่าง ๆ เพื่อขจัดเงาจากทุกด้าน เพื่อให้มีสภาพปลอดเงา
แม้ว่ามันจะไม่สามารถกำจัดเงาทั้งหมดไปได้ แต่ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้
ความสามารถของโร แอสคาร์ดนั้นทรงพลังมาก แต่กฎของโลกนี้ก็คือ คาถาเวทที่ทรงพลังจะต้องมีเงื่อนไขการใช้งานที่รุนแรงเช่นกัน ความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ภายใต้ความเข้มข้นของแสงนั้นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่ามันมีข้อจำกัด
นี่เป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงมาก ทั้งคาถาเวทลวงตา การปะทะกันของเทพเจ้าโบราณ และการดวลกันระหว่างน้ำแข็งกับเปลวเพลิง แต่ท้ายที่สุดแล้วโรเอลก็ยังได้รับชัยชนะเหนือโร แอสคาร์ดผู้มีระดับแก่นแท้สูงกว่า ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมาก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงร่างจำแลงที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณก็ตาม
โร แอสคาร์ดตัวจริง น่าจะปกปิดความลับเบื้องหลังคาถาเวทอมตะของเขาได้ดีกว่านี้มาก ผ่านคำพูดและการกระทำ
“ให้ตายสิ เขาเป็นสัตว์ประหลาดชัด ๆ”
โรเอลตั้งข้อสังเกตขณะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดันตัวเองขึ้น
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของโรเอล ทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มแข็งทื่อลงทันที
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ข้าเสียใจนะ”
…
สายลมเบา ๆ พัดผ่านความมืดมิด โรเอลหันศีรษะไปด้านหลัง มองไปยังร่างผอมบางด้วยความงุนงง พร้อมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัว
ข…เขาพูดได้ยังไง!
โรเอลมั่นใจว่าผู้พิทักษ์แห่งแหวนที่ถูกสร้างขึ้นโดยโบราณสถานนั้นไม่มีความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นร่างจำแลงของร็อดริค หรือร่างจำแลงของโร แอสคาร์ดที่เขาต่อสู้อยู่ก่อนหน้านี้ ข้อบกพร่องนี้เองที่ทำให้เด็กใหม่ ระดับแก่นแท้ 4 พอจะมีโอกาสต่อต้านพวกเขาได้
ทว่าตอนนี้ร่างจำแลงกลับเริ่มพูดคุยกับโรเอล ที่สำคัญกว่านั้น สายตาของอีกฝ่ายยังเปลี่ยนไปอีกด้วย
โรเอลจ้องไปที่ยังดวงตาที่เป็นมิตรของโร แอสคาร์ดอย่างงุนงง ด้วยกรามล่างที่หย่อนคล้อยลงมา
ไม่ผิดแน่ ร่างที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขานั้นมีความรู้สึก อีกทั้งยังมีความรู้สึกคุ้นเคยที่อธิบายไม่ถูกทำให้โรเอลรู้สึกว่าบุคคลตรงหน้านั้นคือโร แอสคาร์ด ตัวจริงเสียจริง!
“ค…คุณ…”
โรเอลชี้ไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาด้วยนิ้วที่สั่นเทา เขาไม่สามารถหาคำที่จะอธิบายความคิดของตนเองได้ ซึ่ง โร ก็ถอนหายใจยาว ๆ เป็นการตอบกลับ
“แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่ร่างจำแลงที่มีทักษะของข้า แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับคนอื่นได้จริง ๆ ต้องเรียกว่าสมแล้วที่เป็นผู้สืบเชื้อสายพลังทางสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ดของเรา ใช่ไหม? เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”
“ร..โรเอลครับ…”
“ชื่อว่าโรเอลสินะ”
มีสายตาอันซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของโร ขณะที่เขาพึมพำชื่อโรเอลออกมา
เด็กหนุ่มคนนี้สามารถไปถึงระดับพลังดังกล่าวได้ แม้จะมีระดับแก่นแท้เพียงแค่ 4 ยิ่งไปกว่านั้น เทพเจ้าโบราณทั้งสองของเขาเองก็…
โรประเมินลูกหลานตรงหน้าเขาอย่างละเอียด ความทรงจำในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของเขายังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่เขาก็พอจะจำบางส่วนที่สำคัญได้ เช่นกระจกที่ซ่อนอยู่ในม่านหมอกของโรเอล
วิธีที่โรเอลใช้ในการพลิกสถานการณ์ในตอนท้าย อีกทั้งเทพเจ้าโบราณทั้งสองที่ต่อสู้เคียงข้างเขา เหนือความคาดหมายของโรไปมาก
แม้แต่ลูกหลานของตระกูลแอสคาร์ด ก็คงไม่สามารถค้นหาเทพเจ้าโบราณที่มีความสามารถระดับนั้นได้ง่าย ๆ แน่ การเรียกเทพเจ้าโบราณนั้นจำเป็นต้องมีสื่ออัญเชิญ แต่การได้มาซึ่งสื่ออัญเชิญนั้นยากมากจนเกือบจะเหมือนกับการค้นหาก้อนกรวดในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แม้ว่าจะสามารถอัญเชิญเทพเจ้าโบราณได้โดยไม่ต้องใช้วัตถุโบราณใด ๆ ได้ แต่นั่นก็ต้องใช้ดวงระดับพระกาฬ อีกทั้งยังอันตรายอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน
สื่ออัญเชิญทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่อนุญาตให้พวกเขาใช้ความสามารถควบคุมเทพเจ้าโบราณได้ในระดับหนึ่ง หากไม่มีมัน ย่อมหมายความว่าพวกเขาจะต้องเจรจากับเทพเจ้าโบราณเป็นการส่วนตัว ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จ เนื่องจากพวกเทพเจ้านั้นเรื่องมากขี้จุกจิก มีแนวโน้มที่จะขัดขืน
เด็กคนนี้ทำให้ตัวตนระดับนั้นยอมจำนนได้อย่างไรกัน? หรือว่าพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบเจ้านายกับคนรับใช้? แบบนั้นมันจะไม่อันตรายเกินไปหน่อยเหรอ?
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความสามารถในการใช้พลังเวทน้ำแข็งของเขา มันไม่ใช่ความสามารถของเทพเจ้าโบราณ แต่เป็นของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ ถ้าจำไม่ผิดนั่นน่าจะเป็น…
การรับรู้นั้นทำให้ใบหน้าของโรเคร่งเครียด แต่ในไม่ช้าความสนใจของเขาก็ถูกช่วงชิงไปโดยจี้ที่โรเอลสวมอยู่รอบคอ โรโน้มตัวเข้าไปดูใกล้ ๆ ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นจี้อำพันชัด ๆ
“อำพันอดามันไทน์? เจ้าได้เจอกับเคเดย์แล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่ เคเดย์ มอบสิ่งนี้ให้ผม”
โรเอลตอบพร้อมพยักหน้า
เด็กหนุ่มตระหนักว่านี่เป็นโอกาสดีสำหรับเขาที่จะตรวจสอบสิ่งที่ตนได้ยินมาจากเคเดย์ และรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม ดังนั้นเขาจึงถามโรในทันที
“ผมเคยไปที่ป่าเครอน และเหตุผลที่ผมมาที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่านี้ ก็เพื่อตามหา ‘นักวิชาการ’ ของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ นั่นคือเป้าหมายของคุณในตอนนั้นใช่ไหมครับ? แล้วคุณหาเขาเจอรึเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้ใบหน้าของโรมืดมนลงเล็กน้อย เขาค่อย ๆ ส่ายหัวก่อนที่จะถามคำถามแปลก ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการสนทนาของพวกเขากลับไป
“ความถี่ที่ทายาทของตระกูลแอสคาร์ดสามารถปลุกพลังสายเลือดของตระกูลขึ้นมาได้ในเร็ว ๆ นี้คือเท่าไหร่?”
“หืม… ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่ปลุกพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาได้ ในช่วงสามศตวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่คุณหายสาบสูญไป”
โรเงียบไปเมื่อได้ยินตัวเลขนั้น
“อย่างนั้นหรือ? ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีเจ้า ความหวังยังคงมีอยู่ ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิต…”
โรใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเสียงของเขาทั้งเบาและแหบแห้ง จนฟังดูราวกับว่าเขาพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
โรเอลมองไปที่บรรพบุรุษผู้สิ้นหวังและถอนหายใจเบา ๆ เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่พอสมควร
ตระกูลขุนนางที่ผลิตลูกหลานที่มีพลังทางสายเลือดออกมา ทุก ๆ สองสามศตวรรษถือได้ว่าเป็นตระกูลที่ตกต่ำลงอย่างไม่ต้องสงสัย ในฐานะผู้นำตระกูลผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของตระกูลแอสคาร์ด มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะยอมรับความจริงนี้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งโรเอลก็เกิดความสงสัย
“ผมขอถามสถานการณ์ในปัจจุบันของคุณได้ไหมครับ?”
“ข้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจิตสำนึกที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ในฐานะผู้พิทักษ์แห่งแหวน”
“เข้าใจแล้วครับ… การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของคุณหมายความว่ามีข้อมูลสำคัญหรือภารกิจบางอย่างที่คุณต้องการถ่ายทอดให้ผมฟังใช่รึเปล่า?”
โรเอลเหลือบมองดูดาบสั้นที่แทงเข้าไปในร่างของโร พร้อมถามอย่างรวดเร็ว ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันระหว่างพูด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในภาพยนตร์ที่เขาเคยดูในอดีตชาติ โรครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
“ข้ามีบางอย่างที่อยากให้เจ้าจัดการ… มีลูกสาวของตระกูลแอคเคอร์มันน์กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาแห่งนี้รึเปล่า?”
“ใช่ มีอยู่คนนึงครับ…”
โรเอลตอบช้า ๆ พลางกะพริบตาด้วยความสงสัย
ดวงตาของโรเปล่งประกายทันทีที่ได้ยินคำตอบ เขาตบไหล่ของโรเอลอย่างตื่นเต้นและอุทานด้วยความยินดี
“วิเศษสุด ๆ ไปเลย! นี่คือภารกิจของเจ้า ทำให้เธอท้องซะ!”