บทที่ 258: ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมได้? ก็ใช้กำลัง!
บนเนินหญ้า โรเอลที่กำลังตื่นตระหนกจ้องมองไปที่บรรพบุรุษของเขาอย่างเงียบ ๆ
ลมพัดและแนวหญ้าก็ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ มีเลือดพุ่งออกมาเล็กน้อยจากหน้าอกของโร แอสคาร์ดขณะที่เขาพูดประโยคนั้นออกมา โรเอลก็จ้องไปที่บรรพบุรุษที่ตื่นเต้นมากเกินไปของตน พร้อมคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ
เขาพูดประโยคที่ฟังดูโรคจิตขนาดนั้นออกมา ด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสาแบบนี้ได้ยังไง?
“ขอโทษนะ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะครับ?”
“ข้าบอกว่าเจ้าควรจะทำให้เด็กสาวของตระกูลแอคเคอร์มันน์ท้อง…”
“โอเค หยุดเลย”
โรเอลยกมือขึ้นเพื่อหยุดโร แอสคาร์ด พลางนวดขมับเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะที่เริ่มก่อตัวขึ้น
“แต่คุณทิ้งข้อความไว้บนร่างกายของเคเดย์บอกว่าอย่าไว้ใจ ตระกูลแอคเคอร์มันน์ไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ ข้าทำแบบนั้น และตอนนี้ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม แต่นี่มันต่างกัน การทำให้เด็กสาวจากตระกูลแอคเคอร์มันน์ท้อง ไม่ได้หมายความว่าเป็นการไว้วางใจพวกเขานี่นา?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
โรเอลอุทาน
เด็กหนุ่มจ้องไปที่โรผู้สงบนิ่งด้วยความตกตะลึง ขณะที่แก้มของเขาแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนจะพูดต่อ
“การทำให้ใครสักคนท้องไม่ได้หมายถึงเราต้องแต่งงานกับคนนั้นเหรอ? คุณจะแต่งงานกับคนที่คุณไม่ไว้ใจได้ยังไงครับ!”
“หา ทำไมต้องแต่งงาน? นั่นเป็นความคิดที่ล้าสมัยมากเลยนะ ไม่อยากเชื่อว่าคนจากรุ่นอนาคตจะพูดแบบนั้นออกมา… แค่ก! อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ตัดสินใจด้วยตัวเองเถอะ!”
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของโรเอลที่เหมือนพูดคำว่า ‘คุณเป็นพวกสวะเหรอ’ โรก็เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าลูกหลานของเขาได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างเหมาะสมมาก ในด้านศีลธรรมและความรับผิดชอบ มันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนแบบเขาจะไปทำใครท้องและปัดความรับผิดชอบ
แม้ด้านหนึ่ง โรจะรู้สึกยินดีกับสิ่งนี้ เนื่องจากการมีบุคลิกที่ยอดเยี่ยมเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่ได้ปลุกพลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด บุคคลที่เก็บสะสมความโสโครกไว้ในใจมีแต่จะให้โอกาสแก่ศัตรู
ในทางกลับกัน การมีบุคลิกที่ยอดเยี่ยมนั้น ไม่เป็นประโยชน์ต่อภารกิจที่โรมอบหมายให้กับโรเอล แค่มองไปยังใบหน้าที่แดงก่ำของโรเอลก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กหนุ่มจากอดีตส่ายศีรษะ
เมื่อพิจารณาจากความเขินอายของโรเอลแล้ว เขาคงไม่เคยจับมือผู้หญิงมาก่อนด้วยซ้ำ
โรอดไม่ได้ที่จะกังวลว่าเชื้อสายของตระกูลแอสคาร์ดอาจจบลงในรุ่นของโรเอล อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ แม้ว่าเขาจะคิดไม่ผิดที่บอกว่าโรเอลไม่เคยจับมือผู้หญิงมาก่อน แต่มันเป็นเพียงเพราะว่าผู้หญิงมักจะเป็นฝ่ายจับมือเขาก่อนเสียมากกว่า
ไม่ว่าจะในกรณีใด โรเอล ก็ขาดความสามารถในการรุกเข้าจีบสาว และมันเป็นปัญหาใหญ่มาก
ตระกูลแอคเคอร์มันน์ เป็นราชวงศ์ของจักรวรรดิออสทีน ซึ่งเป็นพวกเชื่อมั่นในแนวคิดความบริสุทธิ์ของสายเลือด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่บุตรสาวของตระกูลแอคเคอร์มันน์จะถูกใจบุรุษแห่งจากตระกูลแอสคาร์ด
ต่อให้เธอมีใจให้เขา เธอก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการปกป้องจากขุนนางรอบ ๆ ตัว โรเอลอาจจะยังคงมีโอกาสถ้าเขาเป็นผู้เล่นมือเก๋า ทว่าเขาในตอนนี้กลับเป็นแค่เพียงมือใหม่ในสนาม
ไม่มีทางเลยที่โรเอลจะสามารถเอาชนะใจเธอได้…
โรไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีใด ๆ ได้ เขาจึงได้แต่กำหมัดด้วยความกังวล ในที่สุดเขาก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและสั่งสอนอย่างเฉียบขาด
“ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะทำอย่างไร แต่เจ้าต้องมีลูกที่มีสายเลือดของตระกูลแอคเคอร์มันน์ผสมอยู่ให้ได้ ถ้าเจ้าเกลี้ยกล่อมเธอไม่ได้ ก็ต้องใช้กำลังแทน!”
โรไม่เคยเสนอแผนดังกล่าวภายใต้สถานการณ์อื่น แต่เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม ในมุมมองของเขา โรเอลคงจะล้มเหลวอย่างน่าเศร้าภายใต้สถานการณ์ปกติ แต่ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าเหลือเชื่อที่เขาใช้ที่นี่ มันก็อาจจะยังพอมีความหวังอยู่บ้าง
ช่างมันเถอะ! หากเจ้าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้ ก็แค่ลักพาตัวเธอไปหรืออะไรทำนองนั้น เจ้ามีพลังที่จะทำแบบนั้นนี่นา!
ตราบใดที่โรเอลสามารถทำแบบนั้นได้ ตระกูลแอคเคอร์มันน์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องตัดใจ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะอยากทำสงครามกับจักรวรรดิเซนต์เมซิท ซึ่งอาจจะทำให้ตระกูลแอสคาร์ดต้องหลบซ่อนตัวอยู่ภายในเขตการปกครองของตนในอนาคต
สิ่งที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ โรเอลไม่จำเป็นต้องมีแผนการที่ซับซ้อน ความยากลำบากเพียงอย่างเดียวก็คือเขาจะลงมือทำมันได้สำเร็จไหม และโรก็เชื่อมั่นในตัวโรเอลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ก็แค่ลูกสาวของตระกูลแอคเคอร์มันน์ เธอจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนเชียว?
โรดูถูกความสามารถในการต่อสู้ของตระกูลแอคเคอร์มันน์มากเกินไป จนไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสีหน้าของโรเอล เมื่อเขาเสนอความคิดนี้ออกมา
คุณต้องการให้ผมลักพาตัวลิเลียน แอคเคอร์มันน์ ใช้กำลังบังคับเธองั้นเหรอ? ว้าว… ไม่รู้จะพูดยังไงเลยจริง ๆ
เมื่อมองดูใบหน้าของบรรพบุรุษที่ดูจะคิดว่ามันเป็นเรื่อง ‘ง่าย ๆ ‘ เด็กหนุ่มก็อยากจะถามว่า “คุณตั้งใจจะจบเชื้อสายของตระกูลแอสคาร์ดลงในรุ่นของผมสินะ?”
ลิเลียน แอคเคอร์มันน์ เป็นอัจฉริยะที่ไปถึงระดับแก่นแท้ 3 ได้ตั้งแต่มีอายุได้ 16 ปี ซึ่งเท่ากับโร ในยุคของเขา ที่สำคัญคือต่างจากบรรพบุรุษของเขาในร่างจำแลงที่ ‘ไร้จิตวิญญาณ’ ก่อนหน้านี้ ลิเลียน แอคเคอร์มันน์ เป็นบุคคลที่มีไหวพริบเฉียบแหลมและสามารถคิดกลยุทธ์ระหว่างการต่อสู้อย่างซับซ้อนได้
ถ้าโรเอลพยายามอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับลิเลียน มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น ก็คือลิเลียนโค่นเขาลงได้และฆ่าเขา หรือเขาจะพลาดพลั้งฆ่าลิเลียนไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ไม่มีความเป็นไปได้ที่สามอย่างแน่นอน
โรเอลไม่สามารถยั้งมือกับศัตรูที่มีความสามารถระดับเดียวกับลิเลียนได้ และถ้าเขาต้องทุ่มสุดตัว ทุกการโจมตีที่เขาโจมตีออกไปจะมีผลถึงตาย เด็กหนุ่มไม่สามารถยั้งการโจมตีของตนในวินาทีสุดท้ายได้ และลิเลียนเองก็ไม่น่าจะรอดจากการโจมตีของเขาไหว ต่อให้จะมีแพทย์ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถรออยู่ก็ตาม
หลังจากลังเลใจอยู่นานโรเอลก็ตัดสินใจที่จะไม่บอกโร ว่าเด็กสาวจากตระกูลแอคเคอร์มันน์ในยุคนี้เป็นอัจฉริยะ เด็กหนุ่มจึงถามบรรพบุรุษของตนต่อว่า ทำไม โรถึงได้หมกมุ่นอยู่กับแนวคิดเรื่องการให้กำเนิดบุตรระหว่าง ตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลแอคเคอร์มันน์
ทว่า จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ส่ายหัวให้กับคำถามนี้
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันเป็นคำสอนที่สืบทอดกันมาจากรุ่นบรรพบุรุษน่ะ”
“คำสอนจากบรรพบุรุษเหรอครับ?”
“ใช่ ข้าเห็นมันในเอกสารลับ ระหว่างที่กำลังสืบสวนเกี่ยวกับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ มันมาจากจักรพรรดิชาร์ลส์ ในช่วงปีสุดท้ายของยุคที่สอง”
“จักรพรรดิชาร์ลส์? คุณกำลังพูดถึง ‘จักรพรรดิผู้จากไป’ งั้นเหรอ?”
หัวใจของโรเอล สั่นไหวเมื่อได้ยินข้อมูลนี้ ชาร์ลส์ แอคเคอร์มันน์ มีความสำคัญมาก ด้วยที่เขาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์ทุกคนคุ้นเคยกับชื่อของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งโรก็พยักหน้ายืนยันข้อสงสัยของโรเอล
“ใช่แล้ว ข้าหมายถึงจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิออสทีนโบราณคนนั้นนั่นแหละ ในตอนท้ายของยุคที่สอง ตระกูลอาร์เด้ได้ล่มสลายลงและชนชั้นสูงของจักรวรรดิต่างก็ติดอยู่ในความต่ำทราม ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ชาร์ลส์นั้นเป็นจักรพรรดิที่ยังอายุน้อยและมีความทะเยอทะยาน เขาจึงพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์กับทายาทของตระกูลอาร์เด้ ต้นตระกูลของตระกูลแอสคาร์ดของเราอีกครั้ง”
“นี่คือสิ่งที่ข้าพบ มันคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเขา ซึ่งมีประโยคต่อไปนี้ ‘เมื่อสายเลือดของอินทรีคู่ มาบรรจบกัน ประตูจะเปิดออกและความยิ่งใหญ่จะกลับคืนสู่ผืนโลก’ ”
โรอธิบายอย่างเคร่งขรึม
โรเอลเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เนื้อหานั้นดูเป็นนามธรรมไปสักหน่อย แต่ผู้ที่รอบรู้ในประวัติศาสตร์อย่างโรเอลย่อมสามารถตีความของความหมายในคำเหล่านั้นได้ในทันที
อินทรีคู่ อ้างถึงตรา ‘อินทรีสองหัว’ ของจักรวรรดิออสทีน แต่ทว่าตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้กลับมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อกาลเวลาผ่านไป
ย้อนกลับไปในยุคที่สอง ตราสัญลักษณ์ ‘อินทรีสองหัว’ ของจักรวรรดิออสทีนโบราณ ไม่ได้มีหัวสองหัวอย่างแน่นอน หัวนกอินทรีทางด้านซ้ายจะสว่างกว่าหัวนกอินทรีทางด้านขวา ซึ่งเป็นเทคนิคการวาดภาพที่ใช้กันทั่วไปในยุคนั้นเพื่อแสดงถึง ‘วัตถุที่ทับซ้อนกัน’ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ‘นกอินทรีสองหัว’ ของจักรวรรดิออสทีนโบราณ เป็นนกอินทรีสองตัวที่ทับซ้อนกันโดยเผยให้เห็นเพียงแค่หัว
นักประวัติศาสตร์หลายคนคิดว่าความจริงที่มีนกอินทรีตัวหนึ่งซ่อนอยู่หลังเงาของอีกตัวหนึ่งมีความหมายที่ซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ในช่วงเริ่มต้นของยุคที่สาม ตระกูลแอคเคอร์มันน์จึงได้ปรับโทนสีของนกอินทรีทั้งสองให้เท่ากัน และสร้างตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ‘อินทรีสองหัว’ ในปัจจุบันขึ้นมา ซึ่งเป็นการกระทำที่นักประวัติศาสตร์หลายคนมองว่าเป็นความพยายามที่จะฝังความลับบางอย่าง
โรเอลค่อนข้างจะงุนงงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังป่าเครอน แต่ที่เด็กหนุ่มได้ทราบเกี่ยวกับการมีอยู่ของตระกูลอาร์เด้จาก ‘พงศาวดาร’ มันก็ได้ตอบข้อสงสัยมากมายในใจเขา
นกอินทรีที่ซ้อนทับกันอยู่น่าจะหมายถึงตระกูลอาร์เด้ ซึ่งพยายามปกป้องจักรวรรดิออสทีนโบราณจากเงามืด หากมองจากมุมดังกล่าว เนื้อหาของจดหมายที่ชาร์ลส์ แอคเคอร์มันน์ ทิ้งไว้เบื้องหลังนั้นกำลังผลักดันให้เกิดการรวมตัวของตระกูลแอสคาร์ด และ ตระกูลแอคเคอร์มันน์
อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามอีกมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ
‘ประตู’ หมายถึงอะไร? มันเป็นประตูที่แท้จริงหรือเป็นเพียงแค่การอุปมา? และ ‘ความรุ่งโรจน์จะกลับคืนสู่โลก’ หมายความว่าอย่างไร?
“ไม่ว่าในกรณีใด ตระกูลแอคเคอร์มันน์ มีความสำคัญต่อการฟื้นคืนชีพของตระกูลแอสคาร์ด แต่ปัญหาก็คือ จักรวรรดิออสทีนนั้นเป็นศัตรูกับจักรวรรดิเซนต์เมซิท ทำให้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสองตระกูลจะมารวมตัวกันอีก ในฐานะที่เป็นผู้ปลุกพลังสายเลือดของตระกูล มันจึงเป็นความรับผิดชอบของเจ้าในการหาทางรับสายเลือดของพวกเขามา!”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าควรระวังอย่าให้ตระกูลแอคเคอร์มันน์รู้เรื่องนี้ ตระกูลแอคเคอร์มันน์ในยุคนี้ไม่เหมือนกับยุคก่อน เห็นได้ชัดจากการที่พวกเขาเปลี่ยนตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มันต้องมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับพวกเขาแน่ ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรไว้ใจพวกเขา”
“…”
โรเอลนิ่งไปทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
คุณอยากให้ผมเอาชนะลิเลียนและพาเธอไปเงียบ ๆ โดยไม่ทำให้จักรวรรดิออสทีนตื่นตกใจเหรอ? นี่มันการลักพาตัวไม่ก็หนีตามกันชัด ๆ!
อะไรในโลกที่ทำให้คุณคิดว่าผมจะสามารถดึงดูดองค์หญิงผู้เป็นที่นับถือของจักรวรรดิออสทีน ให้ละทิ้งความรุ่งโรจน์ของเธอและหนีไปด้วยกันได้ หา!
โรเอลรู้สึกโกรธเคืองอย่างยิ่งกับความคาดหวังที่สูงเกินจริงของบรรพบุรุษ เด็กหนุ่มเสียเปรียบอย่างมากตั้งแต่เริ่มแล้ว ด้วยที่เขามาจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท แล้วเขาจะไปแข่งขันอะไรกับคู่ครองคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่รอลิเลียนอยู่ในจักรวรรดิออสทีนได้เล่า? นี่มันเป็นคำขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ชัด ๆ!
“จำเรื่องนี้ไว้ในใจ และทำให้แน่ใจว่ามันจะสำเร็จไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตกลงไหม? นอกจากนี้ข้ายังต้องคุยกับเจ้าเกี่ยวกับ ‘นักวิชาการ’ ด้วย”
“!”
ความคิดนอกเรื่องของโรเอลถูกดึงกลับมาทันที เมื่อโรกล่าวถึง ‘นักวิชาการ’ เด็กหนุ่มจากอดีตใช้เวลาในการรวบรวมความคิดก่อนที่จะเริ่มพูด
“จิตสำนึกของข้าย้อนกลับไปในช่วงปีที่สามในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ตอนที่ข้ามีอายุได้สิบหกปี ย้อนกลับไปในตอนนั้น ข้ายังไม่พบร่องรอยของ ‘นักวิชาการ’ เลย แต่ข้าแน่ใจว่าเขาเป็นผู้รอดชีวิตจากยุคที่สองและรู้ความลับต่าง ๆ มากมาย นั่นเป็นเงื่อนงำเดียวที่ข้ามีในตอนนี้”
โรยกมือขึ้นและถอดแหวนที่นิ้วออก มันเป็นแหวนที่ดูคุ้นตามากสำหรับโรเอล เพียงแต่ว่าสีของมันเพี้ยนไปเล็กน้อย
แหวนกุหลาบดำ?
โรเอลจ้องไปที่อัญมณีสีดำบนแหวนและขมวดคิ้วด้วยความสับสน จากสิ่งที่เขารู้ แหวนกุหลาบทั้ง 9 ไม่ได้มีแหวนสีดำรวมอยู่ด้วย
“นี่คือ แหวนกุหลาบวงแรกสุด ที่เคยอยู่ในความครอบครองของ ‘นักวิชาการ’ ลักษณะเฉพาะของมันทำให้จิตสำนึกของข้าสามารถคงอยู่ในร่างนี้ได้ นั่นคือเหตุผลที่ข้าสามารถพูดกับเจ้าได้ในตอนนี้ มีข่าวลือว่า แหวนกุหลาบดำมีความสามารถในการนำทาง แต่มันไม่เคยตอบสนองตลอดเวลาที่มันอยู่ในความครอบครองของข้า การพบกันของเราเป็นสัญญาณว่าแหวนกุหลาบดำได้เลือกเจ้า และชัยชนะของเจ้าก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเจ้าคู่ควรกับมัน”
โรมองด้วยความอิจฉาในขณะที่แหวนกุหลาบดำบินไปอยู่ในมือของโรเอลโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ทั้งสองสัมผัสกัน แหวนก็เปล่งแสงที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของโรเอลและความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับ
“นี่มัน…”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ต้องกลับไปแบบคนง่อยแล้วสินะ”
โรกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นร่างจำแลงของโรก็เริ่มเปล่งแสงสลัวออกมาและเริ่มสลายไป
“โร คุณ…”
โรเอลอุทานด้วยความตกใจ
“ข้าบอกไปแล้วนี่ ว่าจิตสำนึกของข้าถูกเก็บไว้ในแหวนกุหลาบดำ มันถึงเวลาที่เราจะต้องอำลากันแล้ว”
“…”
คำพูดของโร บ่งบอกถึงความเสียใจ เขามองดูดวงตาอันเศร้าโศกของลูกหลาน ก่อนจะพบว่าอารมณ์ของตนกำลังพุ่งพล่าน
เด็กคนนี้มีอายุน้อยกว่าเราเสียด้วยซ้ำ แต่ชีวิตของเขากลับถูกกำหนดให้เต็มไปด้วยปัญหาและอันตราย มีความหวังเสมอเมื่อเจ้าต้องเผชิญกับความสิ้นหวัง ผู้สืบทอดพลังสายเลือดของตระกูลทุกคนเติบโตขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก นั่นคือชะตากรรมของพวกเรา
เหมือนกับทั้งข้าและวินสเตอร์ หรือแม้แต่บรรพบุรุษของเราในยุคที่สอง แม้ว่าเราจะปลุกพลังสายเลือดของพวกเราได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ตระกูลแอสคาร์ด ก็จะยังคงสืบเชื้อสายเดินหน้าต่อไป ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว
แม้โรจะมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับอนาคต เพราะเขามีความคิดว่าโรเอลอาจจะต้องเผชิญเรื่องอันตรายร้าย ๆ อีกในอนาคต แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาดหวังในตัวของอีกฝ่าย
… ตราบใดที่คนอย่างเขายังคงปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ โอกาสที่พวกเราจะได้ทวงคืนศักดิ์ศรีกลับคืนมาก็จะวนเวียนมาเสมอ
ด้วยความคิดดังกล่าว โรดึงดาบสั้นที่หน้าอกออก จัดเสื้อผ้าและผมของเขา เพื่อแสดงท่าทางที่สง่างามที่สุดต่อหน้าลูกหลานของตน
“นี่เป็นการสรุปความประสงค์ทั้งหมดของข้าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียใจไปหรอก มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนในอดีตเช่นข้าสามารถติดต่อกับใครบางคนจากอนาคตอย่างเจ้าได้ เจ้าอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องกลับไปยังที่ที่เจ้าควรอยู่”
ท่ามกลางเศษแสงที่กระจัดกระจาย โรได้ส่งรอยยิ้มอันเจิดจรัสที่สุดไปยังลูกหลานของเขาเป็นการปิดท้าย
“มันเป็นการพบพานอันน่ายินดีจริง ๆ ลาก่อน โรเอล แอสคาร์ด”